ทาสแห่งเงา บทที่ 9 การคิดในสิ่งที่ปรารถนา
มีปัญหาเกิดขึ้น
พวกเขาวางแผนที่จะเดินไปตามถนนขึ้นไปยังช่องเขาและจากนั้นก็ข้ามไป ออกห่างจากจุดที่เกิดเหตุสังหารหมู่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนที่ค่ำคืนจะมาถึง แต่ทว่าถนนนั้นไม่มีอีกต่อไปแล้ว
ในช่วงเวลาของหลายเดือนที่ผ่านมา หรืออาจจะแค่เมื่อวาน เกิดก้อนหินถล่มอย่างรุนแรง ทำลายถนนแคบๆ นั้นทั้งหมด และทำให้ส่วนอื่นๆ ไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ ซันนี่ยืนอยู่บนหน้าผาของช่องว่างอันกว้างใหญ่ ก้มหน้ามองลงไปโดยไม่ได้แสดงสีหน้าใดเป็นพิเศษ
"ตอนนี้เราจะทำอะไรต่อไป"
เสียงของทาสนักวิชาการอู้อี้ เพราะปกของเสื้อคลุมขนสัตว์ที่มาจากกองขยะ ผู้ติดตามของเขา ทาสเจ้าเล่ห์ มองไปรอบๆ อย่างโกรธเคือง สายตาของเขาหยุดที่ซันนี่ เหยื่อที่เหมาะสมที่สุดที่จะระบายความคับข้องใจของเขา
"ข้าจะบอกเจ้าว่าเราต้องทำอะไร! กำจัดตัวถ่วง!"
เขามองรองเท้าบู๊ตอย่างดีของซันนี่ และหันไปหาผู้กล้า
"ฟังนะ ท่านลอร์ด เจ้าหนูคนนี้อ่อนแอเกินไป เขากำลังทำให้เราช้าลง! นอกจากนี้ เขายังแปลก เขาไม่ได้ทำให้ท่านช้าลงบ้างเหรอ?"
ทหารหนุ่มตอบด้วยการขมวดคิ้วเชิงตัดสิน แต่ทาสเจ้าเล่ห์ยังไม่จบ
"ดู! ดูสิว่าเขากำลังจ้องมองมาที่ข้า! ข้าขอสาบานต่อพระเจ้า ตั้งแต่เขาเข้าร่วมกองคาราวาน ก็ไม่มีอะไรถูกต้องอีกเลย บางทีผู้เฒ่าอาจพูดถูก เจ้าหนูนี่ถูกสาปโดยเทพแห่งเงา!"
ซันนี่พยายามดิ้นรนที่จะไม่กลอกตา มันเป็นเรื่องจริงที่เขาโชคร้าย อย่างไรก็ตาม ความจริงทั้งหมดตรงกันข้ามกับสิ่งที่ทาสเจ้าเล่ห์พยายามพูดเป็นนัย ไม่ใช่ว่าเขาดึงดูดความโชคร้ายมาสู่กองคาราวานทาส ตรงกันข้าม เป็นเพราะกองคาราวานถึงวาระตั้งแต่เริ่มต้นก่อนที่เขามาลงเอยอยู่ที่นี่
ทาสนักวิชาการกระแอมไอ
"แต่ข้าไม่เคยพูดเช่นนั้น…"
"ยังไงก็ได้! แต่เราควรกำจัดเขาทิ้งไปเผื่อไว้ก่อนไม่ดีหรือ?! เขาไปต่อนานกว่านี้ไม่ได้อยู่ดี!"
ทาสนักวิชาการมองไปซันนี่อย่างแปลกๆ บางทีอาจเป็นเพราะซันนี่จเร่ิมหวาดระแวง แต่ดูเหมือนว่าจะมีการวางแผนอย่างเย็นชาเล็กน้อยในดวงตาของทาสสูงอายุ แต่สุดท้าย ทาสนักวิชาการก็ส่ายหน้า
"อย่ารีบร้อนเกินไป เพื่อนของข้า เจ้าหนูนี่อาจพิสูจน์ได้ว่ามีประโยชน์ในภายหลัง"
"แต่…"
ในที่สุดผู้กล้าก็พูดขึ้น ยุติการทะเลาะวิวาทของพวกเขา
"เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ส่วนที่ว่าเขาจะทนได้นานแค่ไหน ก็แค่ห่วงตัวเจ้าเอง"
ทาสเจ้าเล่ห์กัดฟันแน่น แต่แล้วก็โบกมือ
"ดี เช่นนั้นแล้วเราจะทำอะไรต่อไปจากนี้?"
ทั้งสี่มองไปยังถนนที่พังทลาย จากนั้นก็มองลงไปตามทางลาดของภูเขา และสุดท้าย ก็มองขึ้นไป ที่ซึ่งกำแพงหน้าผาสูงชันถูกหินที่ตกลงมาถล่มแยกออกจากกัน หลังจากเงียบไปสักพัก ทาสนักวิชาการก็พูดขึ้นในที่สุด
"จริงๆ แล้ว ในสมัยก่อน เคยมีเส้นทางที่นำไปสู่ยอดเขา ซึ่งบางครั้งมันก็ถูกใช้โดยผู้แสวงบุญ ต่อมาจักรวรรดิได้เพิ่มเติมบางส่วนของเส้นทางและสร้างถนนที่เหมาะสมทับบนนั้น ซึ่งแน่นอนว่าตอนนี้ได้นำไปสู่ช่องเขาแทนที่จะเป็นยอดเขา"
เขาเงยหน้าขึ้น
"เศษซากของเส้นทางเดิมควรจะอยู่เหนือเราที่ไหนสักแห่ง ถ้าเราไปถึง เราน่าจะหาทางกลับไปยังส่วนที่ไม่เสียหายของถนนได้"
ทุกคนมองตามสายตาของเขา ขยับตัวอย่างไม่ค่อยรู้สึกสบายใจเมื่อคาดว่าจะต้องปีนขึ้นไปบนผนังลาดชันที่อันตราย ยกเว้นผู้กล้า ซึ่งแน่นอนว่ายังคงสงบนิ่งราวกับนักบุญ
เนื่องจากหินถล่ม ผนังลาดชันจึงไม่ได้เป็นกำแพงแนวตั้งอีกต่อไป แต่ถึงกระนั้น ผนังลาดชันก็ยังคงค่อนข้างแหลมคม
ทาสเจ้าเล่ห์เป็นคนแรกที่พูดขึ้น
"ปีนนั่นงั้นรึ? เจ้าบ้าไปแล้วงั้นรึ"
ทาสนักวิชาการยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้
"เจ้ามีความคิดเห็นที่ดีกว่านี้ไหม"
ไม่มีใครที่มี ดังนั้นหลังจากการเตรียมตัวเล็กน้อย พวกเขาก็เริ่มปีนขึ้น ทาสเจ้าเล่ห์และทาสนักวิชาการถืออาวุธที่พวกเขาเก็บมาจากศพของทหารที่เสียชีวิตอย่างไม่ยอมปล่อยวาง แต่ซันนี่ ด้วยความเสียใจ ได้ตัดสินใจทิ้งดาบสั้นที่เพิ่งค้นพบไว้ข้าองหลัง เขารู้ว่าการปีนครั้งนี้จะเป็นการทดสอบขีดจำกัดความอดทนของพวกเขา
ดาบตอนนี้อาจดูไม่หนักขนาดนั้น แต่น้ำหนักที่เพิ่มมาทุกๆ กรัมนั้นจะไห้ความรู้สึกเหมือนกับน้ำหนักเป็นตันอย่างรวดเร็ว ในฐานะสมาชิกที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่ม เขาได้ดิ้นรนอย่างมากที่จะตามให้ทัน ดังนั้นจึงมีทางเลือกไม่มากนัก การปลดเหล็กทิ้งสักสองสามกิโลกรัมเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่ต้องทำ
การเดินขึ้นไปตามถนนบนภูเขาด้วยน้ำหนักของเสบียงบนบ่าของเขานั้นยากพออยู่แล้ว แต่การปีนขึ้นไปบนภูเขากลับกลายเป็นการทรมานอย่างแท้จริง เพียงครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น เขารู้สึกเหมือนกล้ามเนื้อกำลังจะละลาย ปอดของเขาใกล้จะระเบิด
ซันนี่กัดฟันแน่นและเดินหน้าต่อไป เขาต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอให้ระวังการวางเท้าของตนเองด้วย บนทางลาดชันที่เป็นน้ำแข็งที่ไม่เสถียรนี้ การก้าวพลาดเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้ชายคนหนึ่งตกลงไปจนเสียชีวิตได้
'เพียงแต่คิดถึงแต่สิ่งที่น่าพึงพอใจ' เขาคิด
แต่ว่าเขาสามารถเรียกหาความคิดที่มีความสุขอะไรได้บ้าง?
เมื่อล้มเหลวในสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ซันนี่ก็เริ่มจินตนาการว่าเขาจะได้รับรางวัลอะไรบ้างเมื่อสิ้นสุดการทดสอบนี้ ข้อดีของฝันร้ายแรกคือสิ่งสำคัญที่สุดที่มนตร์มอบให้กับผู้ตื่น
แน่นอน หลังจากการทดสอบแล้ว พวกเขาจะได้รับความสามารถที่มากขึ้นและปรับปรุงพลังของพวกเขาอย่างมากมาย แต่เป็นครั้งแรกนี้ที่จะกำหนดว่าผู้ตื่นจะมีบทบาทอะไร ศักยภาพของพวกเขาจะดีแค่ไหน และราคาเท่าไหร่ที่พวกเขาต้องจ่าย… ไม่ต้องพูดถึงเครื่องมือที่จำเป็นเพื่อความอยู่รอดและเติบโตในดินแดนแห่งความฝัน
ประโยชน์หลักของผลลัพธ์ของฝันร้ายแรกนั้นเรียบง่าย แต่ก็อาจสำคัญที่สุด หลังจากเสร็จสิ้นการทดสอบแล้ว ผู้แสวงหาจะได้รับมอบความสามารถในการรับรู้ และโต้ตอบกับแก่นวิญญาณ แก่นวิญญาณเป็นพื้นฐานของระดับและพลัง ยิ่งมีแก่นที่แข็งแกร่ง ก็จะยิ่งสามารถเติบโตได้มากขึ้นเท่านั้น
สิ่งมีชีวิตจากฝันร้ายก็เป็นเช่นเดียวกัน ซึ่งมีข้อแม้ที่ร้ายแรงแตกต่างจากมนุษย์ พวกมันสามารถมีแก่นวิญญาณหลายแก่น สัตว์ร้ายที่ต่ำต้อยมีเพียงหนึ่งแก่น แต่จ้าวปีศาจอย่างเช่นจ้าวภูผามีห้าแก่นวิญญาณ ช่างน่าบังเอิญ วิธีเดียวที่จะปรับปรุงแก่นวิญญาณนั้นก็คือกลืนกินเสี้ยววิญญาณที่เก็บมาจากซากศพของสิ่งมีชีวิตผู้อาศัยในดินแดนแห่งความฝันอื่นๆ
นั่นเป็นเหตุผลที่ผู้ตื่นพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตจากฝันร้ายที่ทรงอำนาจแม้ว่าจะต้องเสี่ยงตายก็ตาม
ประโยชน์ที่สองนั้นตรงไปตรงมาน้อยกว่า แต่ก็มีความสำคัญ หลังจากเสร็จสิ้นฝันร้ายแรกแล้ว ผู้แสวงหาจะได้รับการเลื่อนขั้นเป็น ผู้อยู่ในฝัน หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ผู้หลับไหล และสามารถเข้าถึงดินแดนแห่งความฝันได้ พวกเขาจะเข้าสู่เหตการณ์ประตูแห่งความฝันครั้งแรก หลังจากผ่านการทดสอบและอยู่ที่นั่นจนกว่าจะพบทางออกแล้ว พวกเขาก็จะกลายเป็นผู้ตื่นอย่างสมบูรณ์ ช่วงเวลาระหว่างจบฝันร้ายแรกจนกว่าจะเข้าสู่ดินแดนแห่งความฝันนั้นสำคัญมาก เนื่องจากเป็นโอกาสสุดท้ายในการฝึกฝนและเตรียมตัวให้พร้อม
ในกรณีของซันนี่ เวลามีเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น ซึ่งก็แย่พอๆ กับการได้รับมันมา
และจากนั้นก็มีประโยชน์สุดท้าย ที่ไม่เหมือนใครสำหรับผู้แสวงหาทุกคนที่ผ่านการทดสอบ… ความสามารถเฉพาะตัวแรก
นี่คือ "พลังพิเศษ" ที่ยกระดับผู้ตื่นเหนือมนุษย์ทั่วไป ความสามารถเฉพาะตัวนี้มีความหลากหลาย ไม่เหมือนใคร และทรงอำนาจ บางอย่างสามารถแบ่งออกเป็นประเภทเช่น การต่อสู้ การใช้อาคม และการประดิษฐ์ แต่บางอย่างก็อยู่เหนือจินตนาการ ด้วยพลังแห่งความสามารถของพวกเขา ผู้ตื่นสามารถช่วยโลกจากการกลุ้มรุมโจมตีจากสิ่งมีชีวิตแห่งฝันร้ายได้
แต่ทว่า พลังนั้นมาพร้อมกับหลุมพราง พร้อมกับความสามารถแรกของพวกเขา ผู้ตื่นทุกคนก็จะยังได้รับข้อบกพร่องมาด้วย บางครั้ง ก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นการตอบโต้ ข้อบกพร่องเหล่านี้มีความหลากหลายพอๆ กับความสามารถ มีตั้งแต่ไม่เป็นอันตรายไปจนถึงทำให้พิการ หรือ ในบางกรณีก็ถึงกับเสียชีวิต
##ซื้อข้าวให้ผู้แปลสักจานที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com นะคะ
'ฉันสงสัยว่าทาสวิหารจะได้รับความสามารถประเภทไหนกัน' ซันนี่คิด เขาไม่ได้มองโลกในแง่ดีเกินไปเกี่ยวกับโอกาสของเขา 'ตัวเลือกของข้อบกพร่องนั้น ในทางกลับกัน ดูเหมือนจะไร้ขีดจำกัด ได้แต่หวังว่าความสามารถเฉพาะของฉันจะพัฒนาขึ้นเมื่อสิ้นสุดความล้มเหลวนี้ หรือให้ดียิ่งไปกว่านี้ เปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์'
หากผู้แสวงหาทำได้ดีเป็นพิเศษ ก็มีโอกาสที่ความสามารถเฉพาะที่เขาได้รับจะผ่านการวิวัฒนาการเบื้องต้น ความสามารถเฉพาะนี้ ก็เช่นเดียวกับแก่นวิญญาณ มีระดับตามศักยภาพและความหายาก ระดับต่ำสุดเรียกว่า ผู้หลับไหล ตามมาด้วย ผู้ตื่น ผู้ทรงอำนาจ ผู้เหนือธรรมชาติ ผู้เป็นเลิศ ผู้รวมศรัทธา ร่างศักดิ์สิทธิ์ แม้ว่าจะไม่มีใครเคยเห็นระดับสุดท้ายก็ตาม
'ด้วยจำนวนเรื่องห่วยๆ ที่มันให้ฉันต้องผ่าน มนตร์นี้ ถ้ามันมีมโนธรรมอยู่บ้างก็ควรจะให้ฉันอย่างน้อยก็ให้ความสามารถเฉพาะระดับผู้ตื่น ใช่ไหม? หรือไม่ก็ผู้ทรงอำนาจ!
สุดท้าย ก็มีโอกาสเพียงเล็กน้อยที่จะได้รับ ชื่อแท้จริงซึ่งเป็นอะไรบางอย่างคล้ายกับตำแหน่งกิตติมศักดิ์ที่มนตร์มอบให้กับผู้ตื่นที่ชื่นชอบ ชื่อนั้นไม่มีประโยชน์ แต่ดูเหมือนว่าผู้ตื่นที่มีชื่อเสียงทุกคนจะมีชื่อนี้ ถือเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นเลิศสูงสุด แต่อย่างไรก็ตาม จำนวนคนที่ได้รับชื่อจริงในช่วงฝันร้ายแรกนั้นน้อยมากจนซันนี่ไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้
'ใครต้องการความเป็นเลิศกัน? ขอพลังให้ฉันแทน!'
เขาก่นด่า รู้สึกว่าการพยายามคิดในสิ่งที่ปรารถนาแบบนี้มีแต่จะทำให้เขาหดหู่และโกรธมากขึ้นกว่าเดิม
'บางทีฉันอาจจะแพ้ความฝัน'
อาการแพ้แบบนี้คงเป็นเรื่องน่าขันจริงๆ เมื่อพิจารณาว่าเขาถูกกำหนดให้ใช้เวลาอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตที่เหลืออยู่ในดินแดนแห่งความฝัน หากเขายังรอดชีวิตได้นานพอที่ได้ไปถึงจุดนั้น
อย่างไรก็ตาม การหลบหนีทางจิตใจของซันนี่นั้นไม่ได้ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง เมื่อมองขึ้นไปจากหินลื่นใต้ฝ่าเท้าของเขา เขาสังเกตเห็นว่าดวงตะวันคล้อยต่ำลงมากแล้ว เมื่อลองมาคิดดู อากาศก็ดูเหมือนจะเย็นลงมากเช่นกัน
'อย่างน้อยก็ช่วยให้ผ่านเวลาไปได้' ซันนี่คิด
กลางคืนใกล้เข้ามาอีกครั้ง