ตอนที่ 44 ศิลาภาษาดวงดาว
“หินภาษาดวงดาว?” ถังเทียนและอาโมรี่เบิกตากว้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความอยากรู้ในงานชุมนุมวิทยายุทธเมืองซิงฟงคราวนี้ พวกเขาได้รับรู้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ใหม่ๆและยังได้ยินสิ่งที่พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
“ในหมู่ดาวแต่ละกลุ่มจะกำเนิดหินวิญญาณที่มีลักษณะเฉพาะตัวก้อนหนึ่งพลังปราณและหมู่ดาวจะรวมเป็นหนึ่ง เพียงแค่แกครอบครองมันแกก็จะผสานเป็นหนึ่งเดียวกับหมู่ดาวบางคนคาดเดาว่ามันเป็นแหล่งที่มาของสมบัติดวงดาว แต่นี่เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้นเมื่อแกมีหินภาษาดวงดาว แกสามารถปรับสร้างสถานที่ของแกได้ อำนาจของหินภาษาดวงดาวจะปกคลุมโดยรอบอย่างน้อยสองร้อยลี้และจะไม่ถูกโจมตีโดยสัตว์อสูร” ผู้เฒ่าเว่ยกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม“ด้วยความเคารพต่อหมู่ดาว สถานที่ปลอดภัยเพื่อความก้าวหน้ามันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งถ้าพวกเรามีหินภาษาดวงดาวแล้ว พวกเราก็สามารถที่จะคว้าอันดับหนึ่งได้”
“อา งั้นทางที่ดีพวกเราควรรีบเร่งตามหาหินภาษาดวงดาวกัน!” ถังเทียนยกมือของเขาทั้งสอง
อาโมรี่ก็ตะโกนเช่นเดียวกัน “อันดับหนึ่ง! อันดับหนึ่ง!”
ผู้เฒ่าเว่ยยังคงนิ่งอยู่ “พวกแกทั้งสองไม่รู้หรือว่าสำนักเทียนจิง เป่ยเยี่ยนและเหมิ่งโซ่วต่างก็ตามหาหินภาษาดวงดาวเหมือนกัน? ถ้าพวกเราจะต้องตัดสินใจเช่นเดียวกับพวกเขาพวกเราจะต้องเผชิญหน้ากับพวกเขาอย่างแน่นอน งานชุมนุมวิทยายุทธปกติได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างสมบูรณ์ในตอนนี้ คู่ต่อสู้แต่ละคนที่แกจะพบต่างอันตรายยิ่งนักถ้าหากมีโอกาสพวกเขาจะไม่ลังเลเลยที่จะสังหารแก! นี่ไม่ใช่การแข่งขันแล้วแต่มันเป็นการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย”
รอยยิ้มของถังเทียนจางหายไป เขาพยักหน้า “ฉันรู้แล้ว แต่แล้วอย่างไงล่ะ? อย่าบอกฉันนะว่าพวกเราควรจะถอย? ฉันไม่ต้องการถอย! ฉันต้องการเป็นที่หนึ่ง!”
เขากำหมัดแน่นพลางจ้องมองไปยังผู้เฒ่าเว่ยอย่างจริงจัง และกล่าวชัดถ้อยชัดคำ“ไม่ว่าจะอันตรายเพียงใด ฉันต้องการที่จะเป็นที่หนึ่ง!”
“ฉันเห็นด้วยกับถังพื้นฐาน!” อาโมรี่กล่าว
ผู้เฒ่าเว่ยสังเกตทั้งสองเป็นเวลานามพลางหัวร่ออย่างบ้าคลั่ง “ฮ่าฮ่าที่จริงแล้ว ฉันก็คาดคิดไว้แล้วเชียว! ว่าแกทั้งสองต่างฮึกเหิมกันเพียงใด! แม้แต่หัวใจที่สงบของฉันจะต้องเต้นไปพร้อมกับแก!งั้นก็ลุยกันเลย! ไปคว้าอันดับหนึ่งกัน!”
“วู้ฮู้!”
“ไชโย!”
ทั้งสองยกแขนของพวกเขาแสดงความร่าเริง
“หึหึ!” มุมปากของผู้เฒ่าเว่ยคดโค้งก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม “เนื่องจากพวกเราตัดสินใจที่คว้าอันดับหนึ่งนี้อย่างนั้นพวกเราจะต้องรีบเร่ง ในฐานะผู้อาวุโส ให้ฉันได้บอกมือใหม่อย่างพวกแกทั้งสองถึงวิธีการที่จะค้นหาหินภาษาดวงดาว”
มีสิ่งของชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นมาภายในมือของเขา เป็นวัตถุทรงกลมสีดำแต่ด้านนอกของวัตถุทรงกลมเป็นรางเลื่อน ด้านบนแกะสลักเป็นรูปแบบที่ซับซ้อนมีเข็มหนึ่งอันที่ดูคล้ายเป็นเข็มทิศติดอยู่ด้านนอกของรางเลื่อน
ถังเทียนพบว่าผู้เฒ่าเว่ยช่างน่าทึ่งยิ่งนัก เขามีสิ่งของแปลกๆมากมายดังนั้นเขาก็ชี้ไปที่มันพลางกล่าวถาม “นี้คืออะไร? เป็นสมบัติดวงดาวเช่นเดียวกันหรือ?”
“ถูกต้อง!” ปรากฏประกายแสงเยือกเย็นบนดวงตาของผู้เฒ่าเว่ย “เป็นสมบัติดวงดาวของหมู่ดาวเซกซ์แทนต์สมบัติขั้นเหล็กเรียกว่าเครื่องวัดสั่นสะเทือน เซกซ์แทนต์เป็นหมู่ดาวที่ซ่อนอยู่ระหว่างหมู่ดาวเจมินี่และหมู่ดาวไฮดราแกยังคงจำกระบอกตาแท้ ก่อนหน้านี้ได้หรือไม่? ที่มาจากหมู่ดาวกล้องจุลทรรศน์ ตั้งอยู่ทางด้านใต้ของหมู่ดาวแคปริคอร์นระหว่างหมู่ดาวนกกระเรียนและหมู่ดาวซาจิทาเรียสสมบัติดวงดาวของหมู่ดาวเซกซ์แทนต์และหมู่ดาวกล้องจุลทรรศน์เกือบทั้งหมดต่างใช้สำหรับการอำนวยความสะดวกและไม่ค่อยใช้ในการต่อสู้อย่างไรก็ตามไม่ควรดูแคลนสมบัติดวงดาวของหมู่ดาวดังกล่าว แกจะได้รู้ในอนาคตว่าสมบัติดวงดาวที่อำนวยความสะดวกเช่นนี้มักจะมีประโยชน์มากกว่าพวกที่ใช้ในการต่อสู้เสียอีก”
ถังเทียนและอาโมรี่ต่างกระตือรือร้นในการฟังและตระหนักได้ว่าโลกนี้ช่างกว้างใหญ่ไพศาลนักและก็ลึกซึ้งอย่างมากและน่าสนใจอย่างยิ่งกว่าที่พวกเขาจะจินตนาการถึง
“เครื่องวัดสั่นสะเทือนช่วยให้สามารถตรวจจับคลื่นพลังโดยรอบระยะหนึ่งร้อยลี้คลื่นพลังปราณแท้จริง สมบัติ และ วิญญาณขุนพล” ผู้เฒ่าเว่ยอธิบายขณะที่เขากระตุ้นปราณแท้จริงลงไปในเครื่องวัดสั่นสะเทือนภายในมือของเขา
เครื่องวัดสั่นสะเทือน เริ่มเลื่อนและชี้ไปในทิศทางหนึ่งแล้วสั่นอย่างต่อเนื่อง
“หือ?” แววประหลาดใจฉายอยู่ภายในดวงตาของผู้เฒ่าเว่ย
“เกิดอะไรขึ้น?” ถังเทียนถามอย่างร้อนใจ
“มียอดฝีมือที่ทรงพลังกำลังต่อสู้กันอยู่ ก่อเกิดคลื่นพลังปราณแข็งแกร่ง”ท่าทางของผู้เฒ่าเว่ยกลายเป็นแปลกประหลาด เขาพลันลุกขึ้นยืน ปิดตาของเขาลงและอ้าแขนทั้งสองรับลมยามราตรี เพียงชั่วคู่ เขาก็ลืมตาของเขาขึ้นและส่ายหัว“อย่าได้สนใจพวกเขาเลย”
ผู้เฒ่าเว่ยปรับเครื่องวัดสั่นสะเทือน อีกคราคราวนี้เข็มก็ชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง
“เดินไปทางนี้”
ทั้งสามเก็บกระโจมของพวกเขาและเริ่มติดตามผู้เฒ่าเว่ย เกาะกลุ่มเดินไปข้างหน้า
พวกเขามิได้พบเจออันตรายใดภายในยามค่ำคืน ความเร็วของพวกเขารวดเร็วยิ่งและบางครั้งผู้เฒ่าเว่ยก็จะหยิบเครื่องวัดสั่นสะเทือนออกมาเพื่อตรวจสอบทิศทาง
ยามเมื่อถึงเวลาเช้า ราวกับว่าท้องฟ้าถูกทาด้วยสีหลากสีปรากฏอยู่บนเหนือหัวของพวกเขาทั้งสาม ทั้งสามมิได้รู้สึกเหนื่อยล้าแม้ว่าพวกเขาจะต้องเดินมาตลอดทั้งคืน พวกเขายังคงมีพลังเช่นปกติ ทันใดนั้นเปลือกตาของถังเทียนก็กระตุกและชี้ไปยังที่หนึ่งไกลออกไป “มีผู้คนอยู่ที่นั่น!”
ผู้เฒ่าเว่ยมองไปโดยเร็วพลางถอนสายตากลับมา “เป็นพวกสถาบันเทียนจิง สมบัติดวงดาวของพวกเขาดีกว่าของฉันมากนักไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกเขาจะพบมัน”
“โอ้” ถังเทียนร้องตอบ
“พวกเขามีสมบัติดวงดาวมากมายได้อย่างไรกัน?” อาโมรี่กล่าวถามด้วยความสับสน “เมื่อฉันอยู่สถาบันเหมิ่งโซ่วฉันไม่เคยได้ยินว่าสถาบันฉันมีสมบัติดวงดาวเลย”
“แกสามารถซื้อพวกมันได้ตราบที่แกร่ำรวยพอ ขั้นเหล็กหรือทองแดงของสมบัติดวงดาวสามารถหาซื้อได้ที่ตลาดฉันได้ยินมาว่าสามารถซื้อได้กระทั่งสมบัติขั้นเงินเช่นเดียวกัน เพียงแต่ฉันมิเคยพบเห็นมาก่อนส่วนแกก็เป็นปกติที่แกจะไม่รู้ว่าสมบัติดวงดาวขั้นเหล็กเป็นสิ่งล้ำค่าจุดสำคัญมันอยู่ที่ว่าสถานที่อย่างหมู่ดาวอู่อันนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะหาซื้อมาได้”
ในที่สุดถังเทียนและอาโมรี่ก็เข้าใจ
“ไปกันเถอะ ทุกสิ่งอย่างขึ้นอยู่กับความสามารถของบุคคล” ผู้เฒ่าเว่ยกล่าวเต็มไปด้วยความมั่นใจ
เป็นที่แน่ใจแล้ว เมื่อพวกเขาก้าวไปข้างหน้า ผู้คนโดยรอบพวกเขาก็รีบเร่งเช่นเดียวกันภายในทะเลหญ้าเมฆม่วงอันกว้างใหญ่นี้ เหล่านักสู้เปรียบเป็นดังแพะปราดเปรียววิ่งไปบนพื้นดิน
ทันใดนั้นเอง ยอดเขาสีแดงที่สูงและยิ่งใหญ่ก็ปรากฏขึ้นภายในสายตาของผู้คนทุกคนที่กักตุนพลังปราณของพวกเขาไว้ก็เพิ่มความเร็วในการย่างก้าวของพวกเขารีบวิ่งไปยังยอดเขา
ถังเทียนและอีกสองคนก็เร่งขึ้นเช่นเดียวกัน
สองชั่วโมงต่อมา ทั้งสามก็มาถึงสถานที่ของภูเขาหิมะในที่สุด ผู้เฒ่าเว่ยมองไปยังยอดเขาสูงตระหง่านขึ้นไปบนท้องฟ้ายอดเขาปกคลุมไปด้วยหิมะ ภูเขาสีแดงเป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่งเขาเคาะไปบนเศษหินสีแดงและวางมันในกระบอกตาแท้
“หินนี้ไม่สามารถตรวจสอบได้ วิธีใช้ก็ไม่ทราบ”
ผู้เฒ่าเว่ยตกตะลึง
อาโมรี่ชี้ไปยังที่หนึ่งใกล้ๆ “ดูนั่น มีหุบเขาอยู่”
หลายคนต่างมองเห็นหุบเขาและต่างวิ่งไปยังหุบเขาอย่างเร่งรีบทั้งสามก็ต่างเร่งรีบเช่นเดียวกัน ปากทางเข้าหุบเขาไม่ใหญ่นัก กว้างราวเจ็ดถึงแปดเมตรและล้อมรอบไปด้วยหินสีแดง
“ระวังให้ดี อย่าให้ใครลอบโจมตีจากด้านหลังแกได้” ผู้เฒ่าเว่ยพึมพำ
ถังเทียนและอาโมรี่กลับกลายเป็นระวังตัวแจหลังจากที่ได้ยิน
หุบเขาลึกมากและซ่อนเร้นอย่างยิ่งเกินกว่าที่พวกเขาจะคาดถึง พวกเขาวิ่งไปเส้นตรงเป็นเวลานานก่อนที่จะถึงสุดทางของหุบเขา
ถังเทียนและอาโมรี่อ้างปากกว้าง พลางมองไปยังทิวทัศน์ที่เลิศเลอด้วยอาการงุนงงง
หน้าผาสีแดงปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของพวกเขา หน้าผาสูงมากและราบรื่นราวกับมีคนขัดมันสิ่งที่มหัศจรรย์อย่างที่สุดสำหรับถังเทียนและอาโมรี่ คือหน้าผามีถ้ำมากมายมันหนาแน่นไปหมด และแต่ละถ้ำก็ถูกปกคลุมไปด้วยแสงเป็นชั้นๆแสงเหล่านี้มีหลากสีสันและดูคล้ายกับเป็นฟองอากาศที่มีสีสันห้อยลงมาจากหน้าผา
ถังเทียนมองไปยังท้องฟ้า ขณะที่ดวงตะวันส่องแสงแรงกล้า สีสันก็เริ่มจากหายไป
“มันคือวงกตวิญญาณ!” ผู้เฒ่าเว่ยดูเคร่งเครียด
“วงกตวิญญาณ?” ถังเทียนและอาโมรี่พลางมองหน้ากันนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินเรื่องแบบนี้
“สมบัติดวงดาว หินภาษาดวงดาว และสมบัติอื่นมักจะแผ่พลังงานรอบๆพวกมัน พลังงานนี้กำเนิดมาเป็นเวลาหลายแสนปีแล้วยามเมื่อมันรวมเป็นหนึ่งกับสภาพแวดล้อม นั่นเป็นสิ่งที่พวกเราเรียกว่า วงกตวิญญาณ”ผู้เฒ่าเว่ยจ้องมองลึกเข้าไป “ดูเหมือนว่าหินภาษาดวงดาวจะอยู่ภายในนั้น”
“งั้นเส้นทางใดที่พวกเราควรจะเข้าไป?” ถังเทียนมองไปยังแสงสีรุ้งและตกอยู่อาการงุนงง “นี้มันมากมายนัก!”
“พวกเราได้แต่หวังพึ่งพาโชคแล้ว” ผู้เฒ่าเว่ยเหยียดแขนของเขา
“ใครจะเป็นคนเลือก?” อาโมรี่มองขึ้นไปยังบนท้องฟ้า
“งั้นมาตัดสินด้วยการเป่ายิงฉุบ!” ถังเทียนกล่าว
“เฮ้ เฮ้ ผู้เฒ่าผู้รอบรู้เช่นฉันจะมิมีวันเล่นเกมเด็กๆดังกล่าวกับเด็กน้อยเช่นพวกแกแน่”ผู้เฒ่าเว่ยดูคล้ายรังเกียจ
“เด็กๆ? นี้มันเห็นได้ชัดว่าเป็นการต่อสู้ด้วยความรวดเร็วของนิ้ว!ถ้าหากปู่เกรงกลัวที่จะแพ้ ปู่สามารถกล่าวออกมาได้เลย อย่าได้กังวล ฉันรู้หรอก ปู่แก่แล้วและการตอบสนองก็ช้าลงฉันสามารถเข้าใจได้…” ถังเทียนตอกหน้า
ผู้เฒ่าเว่ยจ้องมอง “ฉันชราแล้ว? การตอบสนองของฉันช้า? เหลวไหล! มาเถอะ! ให้ฉันได้แสดงให้พวกทารกน้อยเช่นพวกแกได้รู้ถึงคำกล่าวที่ว่า‘ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด!’ ฉันมีประสบการณ์เป่ายิงฉุบ มากว่าสามสิบปี…”
หลังจากการต่อสู้ที่ยากลำบาก ทั้งสองก็มองดูด้วยความเหลือเชื่อ อาโมรี่เดินไปยังหน้าผา
“ทำไมเขาถึงชนะได้?” ถังเทียนกล่าวถามอย่างสับสน
“นั่นสิ ทำไมกัน?” ผู้เฒ่าเว่ยตกตะลึงเช่นเดียวกัน
อาโมรี่ชี้ไปอย่างลวกๆ ที่แสงสีเหลือง “นี้ ฉันชอบสีนี้”
“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแกจะชอบสีสันที่สดใสเช่นนี้” ผู้เฒ่าเว่ยกลับมาเป็นเช่นปกติของเขาเพื่อปกปิดอาการในก่อนหน้านี้
“ถูกต้อง!” อาโมรี่กำหมัดองเขาพลางตะโกนอย่างจริงจัง “สีเหลืองคือสีที่ดุดัน ฉันชอบความดุดัน!โว้ว ฉันต้องการความรุนแรง ฉันต้องการความรุนแรง หมายความว่าฉันต้องการสีเหลือง!วู้ฮู้! ให้เป็นสีเหลืองที่ดุดัน!”
มุมปากของผู้เฒ่าเว่ยกระตุก ขณะที่ถังเทียนปกปิดใบหน้าด้วยมือของเขา
ดวงตารอบๆพวกเขาหันมาอย่างช้าๆ เหล่าสตรีมองไปยังพวกเขาด้วยท่าทางดูแคลนและรังเกียจ
ถังเทียนและผู้เฒ่าเว่ยรีบเร่งเข้าไปภายในถ้ำที่ปกคลุมไปด้วยสีเหลืองอย่างรวดเร็ว
วูบ
เมื่อพวกเขาเข้ามาภายในถ้ำ ทั้งสามรู้สึกถึงแรงดึงดูดมายังพวกเขา ไม่แม้แต่กระทั่งมีเวลาตอบสนองพวกเขาก็ถูกดูดลึกเขาไปภายในถ้ำโดยพลังอันแข็งแกร่งที่น่าทึ่ง
“โว้ว โว้ว…”
ทั้งสามร้องโวยวายดังก้องภายในถ้ำ
ในขณะมึนงง พวกเขามิรู้ว่าถูกลากไถลมาไกลเพียงใด ตุ้บ!ถังเทียนตกลงอย่างแรงบนหินแข็ง
ถังเทียนร้องจ๊ากด้วยความเจ็บปวดพลางลืมตาของเขาด้วยอาการงุนงงเขาเหวี่ยงตัวคลานขึ้นมา ประสบการณ์เมื่อครู่ช่างน่ากลัวนักหัวเข่าของเขาปวดล้าและสติของเขาก็มึนงงไปหมด
หือ?
ยามเมื่อถังเทียนกลับมาเป็นปกติ เขามองไปรอบๆเขา ผู้เฒ่าเว่ยอยู่ที่ใดกัน? แล้วอาโมรี่อยู่ที่ไหน?
ถ้ำนี้มีขนาดเท่ากับสนามสี่เหลี่ยม รอบตัวเขาปรากฏมีถ้ำสี่ถ้ำแต่ละถ้ำห้อมล้อมไปด้วยแสงสีแดง ขาว และดำ ภายในถ้ำที่ใหญ่นี้ เขาอยู่เพียงลำพัง
ในขณะนั้น ก็ได้ยินเสียงฝีเท้า ถังเทียนก็รีบเร่งตะโกน “ผู้เฒ่า วัวแมงวัน!”
มีเงาร่างหนึ่งเดินออกมาจากถ้ำที่ห้อมล้อมไปด้วยแสงสีขาว
“ถังเทียน ฉันคาดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นนาย”