ตอนที่ 43 ทุ่งหญ้าม่วง
เบื้องหลังประตูกางเขนเป็นที่ราบกว้างใหญ่ไพศาลของทุ่งหญ้าสีม่วง
ที่ใต้เท้ามีหญ้าสีม่วงเติบโตอยู่ในทุกหนแห่ง และเมื่อมองไปรอบๆ ตัวดูเหมือนจะคล้ายกับทะเลสีม่วงมองสุดสายตาไม่มีสิ้นสุด ถังเทียนและอาโมรี่อ้าปากค้างด้วยความตกใจขณะมองดูภาพนั้น
“โห โห โห งดงามมาก” อาโมรี่ไม่อยากเชื่อตาตนเอง ขณะที่เขาตะลึงมองทุ่งหญ้าข้างหน้าอย่างโง่งม
“น่าอัศจรรย์จริงๆ” ถังเทียนมีสีหน้าตกตะลึงเช่นกัน
ผู้เฒ่าเว่ยเป็นคนแรกที่กลับได้สติ เมื่อเขาถอนใบหญ้าออกมาทันที จากนั้นไม่นาน เขามีกระบอกเล็กๆในมือและใช้มันกราดใส่ไปตามหญ้า ก่อนที่เขาจะถอนหายใจกล่าวว่า“ไม่มีพิษ”
“นั่นอะไรหรือ?” ถังเทียนชี้ไปที่กระบอกเล็กๆ ในมือของผู้เฒ่าเว่ย
“กระบอกตาแท้ เป็นสมบัติดวงดาวชั้นเหล็กของหมู่ดาวกล้องจุลทรรศน์” ผู้เฒ่าเว่ยกล่าพลางยื่นกระบอกเล็กให้ถังเทียนดู
ถังเทียนรับมา ทันทีที่มันอยู่ในมือ ก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักหนักและมีชิ้นส่วนเล็กๆของแก้วอยู่ภายในถังเทียนเลียนแบบการกระทำของผู้เฒ่าเว่ยและถอนหญ้าม่วงขณะที่เขาวางมันเข้าไปข้างในและพบว่ามีตัวอักษรปรากฏขึ้นมาบนแผ่นแก้ว
“หญ้าเมฆม่วง, ไม่มีพิษ วิธีใช้ – ไม่ทราบ”
“โห โห โห! ไอ้ของนี่มันเหลือเชื่อจริงๆ” ถังเทียนอุทานด้วยความประหลาดใจ
“ขอดูหน่อย ให้ฉันดูบ้าง” อาโมรี่ยื่นมือแย่งออกมา
“นี่คือสมบัติดวงดาวแน่นอน” ผู้ดฒ่าเว่ยมีสีหน้าเคร่งขรึม“มันเป็นรางวัลจากสงครามที่ฉันได้ตอนยังหนุ่ม เป็นไงล่ะ น่าประทับใจใช่หรือไม่? โอว ใช่แล้ว อาวุธเหล็กดำของหมู่ดาวเตาหลอมแม้ว่าจะไม่ใช่สมบัติดวงดาว ถ้าหากพวกแกใช้ได้เหมาะสมพวกมันก็จะทรงพลังเป็นอย่างมาก”
พวกเขาทั้งสองตั้งใจฟังในทันที
“ดาวเตาหลอมเป็นกลุ่มดาวที่ค่อนข้างแปลกและเป็นกลุ่มดาวแห่งเดียวที่ปราศจากสมบัติดวงดาวผู้คนของดาวเตาหลอมมีความรอบรู้ในเรื่องการหลอมและพวกเขาใช้แร่พิเศษของกลุ่มดาวเตาหลอมที่เรียกว่า ‘แผ่นเตาหลอม’เพื่อเพิ่มการถลุงของพวกเขาและได้รับกลุ่มอาวุธที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ” ผู้เฒ่าเว่ยเริ่มอธิบายว่า“ฉะนั้น อาวุธของดาวเตาหลอมก็เหมือนกับสมบัติดวงดาวนี้เองลองกระตุ้นปราณของพวกแกลงไปในอาวุธ แล้วก็อัญเชิญพวกมันดู”
“ฟังดูงี่เง่าไปหน่อย...” ถังเทียนทำปากยื่นแต่เขายังคงลองกระตุ้นปราณของเขาลงไปในถุงมือเหล็กดำ ขณะที่เขาเงยหน้าของเขาจะถาม“จะอัญเชิญได้อย่างไรกัน?”
“เอ..นี่ ฉันไม่แน่ใจเหมือนกัน” ผู้เฒ่าเว่ยตอบด้วยท่าทางที่ไม่น่าไว้ใจ
ถังเทียน “.........”
เมื่อยามที่ถังเทียนรู้สึกว่าผู้เฒ่าเว่ยจะต้องหลอกเขาเป็นแน่เขาก็รู้สึกได้เล็กน้อยกับการเชื่อมต่อระหว่างถุงมือเหล็กดำของเขาอาจจะเป็นไปได้ว่าผู้เฒ่าเว่ยมิได้ล้อเล่น?
ถังเทียนลองอัญเชิญดู ขณะที่เขารวบรวมความกล้าของเขา ก็เรียกออกมาเบาๆ “เตาหลอม”
พรึ่บ!
จู่ๆ เปลวเพลิงสีแดงก็ปรากฏออกมาจากถุงมือและถุงมือของถังเทียนก็ห่อหุ้มไปด้วยเปลวเพลิงแดง อย่างไรก็ตามถังเทียนมิได้รู้สึกร้อนเลยกลับกลายเป็นหญ้าม่วงใต้เท้าของเขาเริ่มที่จะแห้งเหี่ยวราวกับพวกมันสูญเสียความชุ่มชื้น
ถังเทียนจ้องมองถุงมือเหล็กดำที่ห่อหุ้มไปด้วยเปลวเพลิงของเขาอย่างโง่งม
เขาช่างเหมาะสมกับชื่อจริงๆ
ผู้เฒ่าเว่ยมีนัยน์ตาเป็นประกายแปลกใจวูบหนึ่ง
อาโมรี่มองดูและลองเลียนแบบถังเทียนขณะที่เขาเรียกเช่นเดียวกันต่อหน้าดาบยาวเหล็กดำของเขา “เตาหลอม”
พรึ่บ!เปลวเพลิงพุ่งออกมาจากดาบ และอาโมรี่มองดูราวกับเขากำลังถือดาบเพลิงสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น “โอ้ ว้าว! ทรงพลังเป็นบ้า!”
เจ้าตัวแสบสองคนนี่...
คิ้วของผู้เฒ่าเว่ยกระตุก
เขากระแอมเบาๆ “มันเรียกว่าเพลิงเหล็กดำซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของอาวุธดาวเตาหลอม อย่างไรก็ตามมีเพียงไม่กี่คนที่รู้เกี่ยวกับมัน ในอนาคต พวกแกทั้งสองจะต้องเจอศาสตราวุธต่างๆสมบัติลี้ลับ แกจะต้องจดจำไว้ว่า มีเพียงการยอมรับจากพวกมันแล้วเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถใช้ออกด้วยพลังแท้จริงของพวกมัน ในอดีตฉันเป็นกังวลว่าพวกแกอาจจะพึ่งพาพลังของมันมากเกินไป เพียงแต่ในตอนนี้…”
ผู้เฒ่าเว่ยเงยหน้าของเขาขณะที่เขาสำรวจไปรอบๆที่ราบกว้างใหญ่ของหญ้าสีม่วงก่อนที่จะกล่าวอย่างจริงจัง “พวกแกทั้งสองต้องระวังตัวไว้”
ตลอดที่ราบกว้างใหญ่ ปรากฏเงาเลือนลางของผู้คนอื่นบางคนมีวิชาตัวเบาอันน่าเหลือเชื่อ ขณะที่สามารถมองเห็นเป็นเพียงจุดสีดำ
“เราควรจะรีบไหม?” อาโมรี่ยังสังเกตมองดู
“เร่งรีบ? แกจะต้องจำไว้ว่าภายในสถานที่ต่างแดน แกจะต้องไม่รีบเร่งส่งเดช” ผู้เฒ่าเว่ยดูคล้ายเป็นผู้รอบรู้ขณะที่เขามองขึ้นไปยังบนท้องฟ้า“ความต่างของเวลาในที่นี้และเมืองซิงฟงประมาณเจ็ดชั่วโมง น่าจะมืดในเร็วๆนี้พวกเราจะต้องหาสถานที่ที่ปลอดภัยเพื่อจะพักแรมในยามราตรี”
พวกเขาพลันเห็นผู้เฒ่าเว่ยกระทำบางอย่างเหมือนเล่นกล และภายในมือของเขาก็ปรากฏเรือน้อยน่ารักลำหนึ่ง เรือมีขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าฝ่ามือของเขา แต่ดูงดงามและมีลายละเอียดชัดเป็นเรือที่แล่นได้อย่างโดดเด่น ผู้เฒ่าเว่ยถ่ายปราณส่วนหนึ่งเข้าสู่เรือและพวกเขาก็เห็นว่าเรือที่กำลังแล่นอยู่ขยับ ก่อนที่จะชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง
“เรือวารีนำทาง สมบัติดวงดาวชั้นเหล็กจากหมู่ดาวใบเรือ” ผู้เฒ่าเว่ยอธิบายต่อ“มันมีความสามารถเพียงอย่างเดียว ค้นหาแหล่งน้ำ ระยะห่างน่าจะอยู่ประมาณ 200 ลี้”
ถังเทียนและอาโมรี่ต่างรู้สึกหลงใหลในสมบัติต่างๆที่ผู้เฒ่าเว่ยนำออกมา
ผู้เฒ่าเว่ยเก็บเรือวารีนำทางของเขาและเดินนำข้างหน้า “ในฐานะรุ่นอาวุโส ฉันจะสอนสั่งเด็กใหม่ทั้งสองอย่างพวกแก บางครั้งแม้ว่าจะเป็นเพียงสมบัติระดับต่ำและธรรมดาก็อาจใช้ช่วยชีวิตพวกแกได้”
“ปู่นี่ร้ายกาจนัก ปู่โกหกพวกเราว่าปู่ยากจนนี่!” สีหน้าของถังเทียนคล้ำ
อาโมรี่ควงดาบเหล็กดำของเขา ขณะที่เขาปลดปล่อยรังสีสังหาร “ปู่ใช้การ์ดเงินล่อลวงฉันมาที่นี้…”
“เอ่อ…” ผู้เฒ่าเว่ยดูเหมือนตระหนักได้กว่ากลเม็ดของเขาถูกเปิดโปงแล้วขณะที่เขากระแอมพลางหัวร่อ “ความจริง ฉันยืมของเหล่านี้มาจากสหาย ฮ่าฮ่า…”
“ไปตายซะ!…”
“ปู่กล้าหลอกลวงเด็กอย่างพวกเรา…”
ท่ามกลางการทะเลาะวิวาทของพวกเขา ความเร็วในการเคลื่อนไหวของพวกเขาก็รวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อการเคลื่อนไหวของผู้เฒ่าเว่ยจะเร็วที่สุด และเขาดูเหมือนจะผ่อนคลายความเร็วของถังเทียนก็มิได้ช้านัก วิชาระดับสาม แปดก้าวไล่จับจั๊กจั่นของเขาไม่ได้ใช้ในการวิ่งเดินทาง แต่เส้นชีพจรปราณของเขานั้นแข็งแกร่งเขาสามารถที่จะรักษาความเร็วของเขาได้ ในทางตรงกันข้ามอาโมรี่มีรูปแบบที่แตกต่างเขาวิ่งด้วยขาก้าวยาวๆ ด้วยการเดินทางของทุกคน ทุกย่างก้าวของเขาจมลึกลงไปในโคลนขณะที่แต่ละย่างก้าวสามารถส่งเขาออกไปข้างหน้าหลายฟุต เสียงกึกก้องขณะที่เขาก้าวไปข้างหน้าเสียงนั้นพอที่จะทำให้ผู้คนตระหนกภายในเส้นทางของเขาอย่างโชคร้ายได้
“ถังเทียนแกได้เรียนรู้สิ่งใดบ้างเกี่ยวกับร่างกระเรียนที่สอง?” ผู้เฒ่าเว่ยถามขณะที่เขากำลังวิ่ง และพวกเขาล่วงลึกไปในดินแดนที่ราบอันกว้างใหญ่และไม่มีสัญญาณใดๆของผู้คนโดยรอบ
“ไม่เลย” ถังเทียนตอบกลับอย่างช่วยไม่ได้ “ร่างสองไม่ขยับเลยสักนิดไม่ว่าฉันจะทำยังไงก็ตามช่างมันเถอะ ฉันหวังว่า หมัดพิฆาตน้อยจะมีความก้าวหน้าบางอย่าง”
“ถังพื้นฐาน มาประลองกันสักครั้งเถอะ…” อาโมรี่กล่าว
“ระวัง!” ผู้เฒ่าเว่ยตะโกนทันที
เท้าของอาโม่หลี่กำลังเหยียบที่หญ้าหย่อมหนึ่ง ยามเมื่อได้ยินเสียงเตือนดังภายในใจฉันพลันเขาก็ทำตามคำเตือนของผู้เฒ่าเว่ย เขาชักเท้ากลับมา
ควั่บ!
เงาม่วงพุ่งออกมาจากพื้นดิน
อาโมรี่หดร่างของเขา และวาดดาบเหล็กดำภายในมือของเขาฟันเงานั้นอย่างคล่องแคล่ว
เงาขาดเป็นสองส่วน และตกลงไปบนพื้นหญ้า
อาโมรี่ยืมแรงของดาบที่เขาฟันออกไป ขณะที่ร่างของเขาก็เหินไปยังตำแหน่งที่ถังเทียนอยู่ถังเทียนยกมือของเขาขึ้นคว้าอาโมรี่ไว้ สีหน้าของเขาซีดขาวก่อนหน้านี้เขาได้กระทำตามสัญชาตญาณล้วนๆ และในตอนนี้เขาก็คืนสติกลับมาแล้ว และตระหนักได้ว่าเฉียดฉิวเพียงไร
ท่าทางของผู้เฒ่าเว่ยจริงจังขณะที่เขาก้าวไปอย่างระวังไปยังตำแหน่งที่เงาสีม่วงหล่นลงไป
แล้วถังเทียนและอาโมรี่ก็มองเห็นรูปร่างของเงานั้น
เงาสีม่วงก่อนนั้นความจริงเป็นเถาวัลย์สีม่วงที่ไขว้พันกันรูปร่างมันคล้ายกระเป๋าสานกลม และภายในผนังกระเป๋ามีหนามแหลมคมเป็นซี่ๆถังเทียนและอาโมรี่ทั้งสองรู้สึกว่าหัวใจของพวกเขาเย็นเฉียบยามเมื่อเห็นมันถ้าพวกเขามิได้ระมัดระวังเพียงพอและถูกมันจับได้ พวกเขาก็คงจะ…
สีหน้าของอาโมรี่ขาวซีด
ผู้เฒ่าเว่ยหยิบเอา กระบอกตาแท้ และส่องไปที่เถาวัลย์พลางกล่าว “พวกแกจะต้องระมัดระวังไว้มันเรียกว่ากรงม่วง อันตรายอย่างยิ่งหนามของมันเป็นพิษทำให้เป็นอัมพาต มีสารละลายภายในกระเปาะนั้น รากของมันมีค่าแต่พวกมันฝังอยู่ลึกอย่างมากในดิน ยุ่งยากเกินไป”
สีหน้าของพวกเขาต่างซีดเผือด สีของกรงม่วงนี้เป็นสีเดียวกับหญ้าเมฆม่วงและมันก็ซ่อนตัวอยู่ภายในหญ้า แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะแยกแยะความแตกต่างของมันทะเลหญ้าม่วงนี้กลับกลายเป็นที่อันตรายในสายตาพวกเขายิ่งขึ้น
“ฉันมีวิธีการที่จะจัดการกับสิ่งเหล่านี้” น้ำเสียงผู้เฒ่าเว่ยทุ้มลึกและคันเบ็ดก็ปรากฏมาภายในมือของเขา ที่บนปลายคันเบ็ดมีคางคกห้อยอยู่
คางคกร้องอย่างต่อเนื่องขณะที่ถังเทียนและอาโมรี่จ้องมองด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าผู้เฒ่าเว่ยวางแผนจะทำอะไร
เพียงแต่เห็นว่าผู้เฒ่าเว่ยก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวและขณะที่คันเบ็ดภายในมือของเขาก็ถูกเหวี่ยงออกไป เงาหนึ่งก็ปรากฏขึ้นภายในพงหญ้า
“ฮะ!” โดยไม่ต้องชักดาบออกจากฝักของเขา เขาก็เหวี่ยงฝักดาบของเขาและเงาร่างสีม่วงก็ถูกผ่าแยกออกเป็นสองส่วน หล่นลงท่ามกลางพื้นหญ้า
ถังเทียนและอาโมรี่จ้องมองอย่างตื่นตะลึง นี่มันเป็นไปได้หรือ…
หลังจากนั้นไม่นาน
มือของถังเทียนก็ถือคันเบ็ดไว้เจ็ดหรือแปลดคัน รวบถือไว้รวมกันแต่ละคันห้อยไว้ด้วยคางคก เสียงร้องดังไม่หยุด ขณะที่เขาพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อให้ดูสง่างามอาโมรี่จับดาบของเขาเตรียมพร้อม จ้องมองไปรอบๆ และผู้เฒ่าเว่ยมองดูอย่างเฉื่อยชาอยู่ด้านหลัง
ทันใดนั้นก็มีเงาพุ่งวาบออกมาจากทุ่งหญ้า และอาโมรี่ก็ฟันไปข้างหน้ากวัดแกว่งด้วยดาบของเขา
“ดูวิชาวัวคลั่งของฉันเสียก่อน!”
และเงาสีม่วงก็ปรากฏขึ้นอีก
“ลิ้มรสดาบสายลมของฉันเป็นไง!”
“ดูดาบสังหารคางคกของฉันสิ!”
พวกเขาทั้งสองผสานงานร่วมกันเป็นอย่างดี และพวกเขาก็มีความคืบหน้ารวดเร็วอีกครั้ง
หลังจากเดินมาประมาณสี่ชั่วโมง ในที่สุดพวกเขาก็พบแหล่งน้ำ เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ปรากฏในสายตาของพวกเขา ดูราวกับเป็นเพชรสีน้ำเงินขนาดใหญ่ ส่องประกายระยิบระยับเกินเปรียบขณะที่พวกเขาเข้าใกล้ทะเลสาบ พวกเขาก็พบเห็นสิ่งมีชีวิตมากมายหลายรูปแบบวานรที่มีปีกกำลังบินอยู่ กิ้งก่าที่ดูคล้ายปลา และนกที่มีหลากสีสันมากมายเหินบินข้ามผ่านทะเลสาบ
มีก้อนหินสีขาวอยู่มากมายรอบๆทะเลสาบ ขณะที่ผู้เฒ่าเว่ยใช้กระบอกตาแท้ของเขาพวกเขาก็ค้นพบว่ามันเรียกว่า หินเกล็ดหิมะ และเป็นวัสดุหินที่มีคุณภาพสูงเพียงแต่กับสามคนนี้ พวกมันต่างไม่มีค่าอะไร
ผู้เฒ่าเว่ยตัดสินใจที่จะพักแรมในที่นี้ ขณะที่มีสัตว์อสูรมากมายซึ่งกล่าวได้ว่าปราศจากสัตว์อสูรขนาดใหญ่ที่ทำให้พวกเขาจะต้องคอยระวังซึ่งทำให้ดูค่อนข้างปลอดภัย
ผู้เฒ่าเว่ยเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดี ที่เขาหยิบเอากระโจมออกมากาง
ตอนนี้ท้องฟ้าค่อยๆมืดลง และค่ำนี้ดูแตกต่างออกไป แทนที่มันจะเป็นสีส้มแต่กลับดูสีอ่อนกว่า
มีเส้นสายหลากสีนับไม่ถ้วนอยู่บนท้องฟ้า จัดเรียงเป็นชั้นๆของสีดูน่าทึ่งอย่างแท้จริง
ผู้เฒ่าเว่ยหยิบหินสีดำออกมา ขณะที่เขาเริ่มที่จะก่อไฟและหินสีดำก็แตกกระจายภายในเปลวไฟ เปลวไฟก็สว่างวาบ ขณะที่ผู้เฒ่าเว่ยกล่าวว่า นี่คือหินติดไฟสามารถเผาไหม้ได้ตลอดทั้งคืน
พวกเขาทั้งสามจับกลุ่มรอบกองไฟและพูดคุยกัน
ถังเทียนพลันกล่าวถาม “นี่ ผู้เฒ่า ทำอย่างไรพวกเราถึงจะได้อันดับหนึ่ง?”
ผู้เฒ่าเว่ยพลันถามกลับ “แกต้องการเป็นอันดับหนึ่ง?!”
“อืม” ถังเทียนพยักหน้าด้วยท่าทางที่จริงจังของเขา
อาโมรี่มองดูถังเทียน “ฉันเห็นด้วยกับถังพื้นฐาน! พวกเราจะต้องได้อันดับแรก!”
“ถ้าพวกเราต้องการที่จะได้อันดับแรก…” ผู้เฒ่าเว่ยพลางขบคิดอยู่ชั่วครู่“พวกเราจะต้องหาหินภาษาดวงดาว”