ตอนที่แล้วตอนที่ 41 ประตูดวงดาวปรากฏ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 43 ทุ่งหญ้าม่วง

ตอนที่ 42 เป้าหมายครั้งนี้


แรงลมจากหมัดกำปั้นรุนแรงดังกึกก้องอยู่หลังประตูดาวกางเขน

ในสถานที่ซึ่งเวลาหยุดเดิน  ถังเทียนยืนอยู่คนเดียวไม่ขยับตั้งแต่แรกจนกระทั่งจบ

เสียงต่ำลึกของหมัดพิฆาตน้อยดังหึ่งอยูในหู  ปราณเที่ยงแท้ของเขาเหมือนเครื่องสายดนตรีบรรเลงสายแล้วสายเล่า  ต้องใช้ความอดทน เป็นวิธีฝึกที่ง่ายๆแต่น่าเบื่อ ไม่มีอะไรน่าทึ่ง ขณะที่คอยจับนับเวลาเงียบๆ เหงื่อเปียกเสื้อผ้าเขาเป็นทางยาวมีไอระเหยออกมาจากตัวเขา  ถังเทียนเหมือนเครื่องกลที่ทำสิ่งเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ทุกหมัดเต็มไปด้วยเหงื่อ  และทุกหมัดก็คือพลังรบ

ไม่มีใครพูดกับเขา  เขาสามารถได้ยินแต่เพียงลมจากหมัดของเขาเสียงหัวใจเต้นรุนแรงและหยาดเหงื่อที่หยดลงพื้นหินจนได้ยินเสียงหยด

มันแห้งและหมองไม่มีอะไรตื่นเต้นปล่อยหมัดซ้ำๆ ด้วยวิชาที่เขาคุ้นเคยที่ถึงระดับสุดยอดแล้ว  ฝึกฝน แล้วก็นั่งเดินลมปราณ  ฝึกท่ามวย แล้วก็นั่งเดินปราณ

นอกจากครั้งล่าสุด  เมื่อเขาใกล้จะหมดสติหลับลึก  ถังเทียนไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่น้อยนิด

เขาเหนื่อยสายตัวแทบขาดและถ้าเขาหลับตาลงเมื่อใด ถังเทียนก็จะเผลอหลับ

นี่เป็นศึกที่ท้าทายจริงๆ

จำนวนเลขบนประตูดาวกางเขนยังคงวิ่งจาก100,000 ไปจนถึง 200,000 ก่อนที่วันนี้จะขึ้นไปถึง 990,000

ปริมาณความพยายามและเหงื่อที่ถังเทียนเสียไป  มีแต่ประตูดาวกางเขนเท่านั้นที่รู้

หน้าของถังเทียนปกติจะไม่หัวเราะหรือดูเหี้ยม  มีแต่ความเคร่งขรึมเท่านั้น  ใบหน้าที่ปกติจะสงบและซื่อตรงจะถูกแทนที่ด้วยสีหน้าที่เจ็บปวด  เหมือนกับว่าเขาถูกดาบฟัน  และความเจ็บปรากฏอยู่ในดวงตาของเขา

ภาพของเขามีแต่ไล่จับดูภาพหมัดของเขา

ทันใดนั้นร่างของเขาสั่นวูบหนึ่งของความเข้าใจได้ถูกกระตุ้นอยู่ในตัวเขา

ในช่วงเวลาสั้นๆอาการสั่นที่อธิบายไม่ได้เริ่มจากแอ่งตันเถียนชั้นที่สาม

“ครืนนนน”

พร้อมกับการกู่ตะโกนก้องฉับพลัน ถังเทียนขยับขาเขาได้ไวดุจสายฟ้าและระเบิดพลังหมัดออกไป

ปราณเที่ยงแท้ปลดปล่อยออกมาทั่วร่าง  เหมือนกับด้ายนับไม่ถ้วนถูกดึงพร้อมกัน  ขณะที่ความเคลื่อนไหวของคลื่นนับไม่ถ้วน คล้ายกับคลื่นเสียงนับหมื่นที่ถังเทียนได้ปล่อยออกไปจากพลังหมัด

หมัดของถังเทียนกระแทกใส่กำแพงหมอกโดยไม่มีเสียงไม่มีการสังเกต

ปั้บ

เสียงนุ่มมากเหมือนว่าไม่ได้ใช้พลังแม้แต่น้อย

หมัดนี้สูบพลังเที่ยงแท้ของถังเทียนจนแทบไม่เหลือ  ความอ่อนเพลียทำให้สภาพใจว่างเปล่า  แต่เขายังรักษาท่วงท่าของหมัดไม่ขยับแม้แต่น้อย

แฮก  แฮก

เขาหายใจหนักเหมือนกับเป็นเครื่องสูบลม  เหงื่อไหลลงจากแก้มถังเทียนรูปหน้าของเขาแข็งจนดูเหมือนรูปปั้น

แฮก แฮก..สำเร็จหรือเปล่า..? หรือ...

ปัง!

ทันใดนั้นกำแพงหมอกต่อหน้าเขากลายเป็นเหมือนหิมะถล่ม  มองดูลูกหมอกเล็กๆ นับไม่ถ้วนสลายหายไปในอากาศ

แฮก....สำเร็จ...

สภาพแวดล้อมรอบทั้งหมดเริ่มหมุน

เวลายังมีหรือเปล่า?

กลับไปที่ห้องของเขา  ถังเทียนนอนกรนอยู่บนพื้นเสียงสนั่น

เขาไม่รู้ว่าเขาหลับไปนานเพียงไหน  แต่เมื่อเขาตื่นขึ้นมาอย่างมึนงง  ก็เป็นเวลากลางคืนแล้ว และความหิวได้ครอบงำตัวของเขา  ขณะที่มือและเท้าของเขาอ่อนแรง  ถังเทียนรู้สึกว่าเขาสามารถกินวัวได้ทั้งตัว

“อาหาร, อาหาร, รีบนำออกมา  รีบเอาอาหารออกมาเร็ว”

ถังเทียนกลืนน้ำลายตนเองและบ่นพึมพำมองหาอาหารเหมือนคนบ้า  โชคดีที่ทุกคนที่สถาบันคาราเมลเป็นนักกินตัวยงและระยะทางที่อยู่ห่างจากเมืองซิงฟงจึงมีอาหารเหลือเฟือมากมาย ถังเทียนรีบเอาขนมปังชิ้นใหญ่ออกมาและจัดการกินทั้งหมด

ทันใดนั้นสายตาเขามองลงไปที่สนามฝึก

อาโมรี่ยืนพิงรั้วกำลังขบคิดถึงเรื่องบางเรื่อง

เจ้าวัวแมงวัน…

ถังเทียนสับสน  ถ้าเจ้าวัวแมงวันกำลังพึมพำถึงเรื่องฝึกฝน  ถังเทียนจะแกล้งทำเป็นไม่เห็นขณะที่คู่แข่งของเขาโหมฝึกเป็นบ้าเป็นหลัง  แต่ยากที่จะได้เห็นความกังวลปรากฏบนหน้าของเขา

ทั้งที่ยังกินขนมปังเต็มปาก  ถังเทียนโผล่มาอยู่ข้างๆ อาโมรี่

“วัวแมงวัน, แกคิดเรื่องอะไรอยู่

อาโมรี่เงยศีรษะและพึมพำ“เราจะเข้าประตูดวงดาวกันพรุ่งนี้แล้วและฉัน... ฉันกระวนกระวายใจเล็กน้อย”

ถังเทียนประหลาดใจแต่ก็ยังปลอบเขา “อย่าห่วง, หนุ่มชาวฟ้าผู้นี้จะช่วยนาย”

ได้อยู่กับอาโมรี่มานานมากถังเทียนเข้าใจเขาดี แม้ว่าอาโมรี่อาจดูเหมือนห้าวและแข็งแกร่ง แต่ลึกๆ แล้วเขาเป็นคนใจดีมากและค่อนข้างขลาด

“ฉันได้ยินว่าถ้านายบุกเบิกดินแดนดังกล่าวมันอาจอันตรายมาก...” อาโมรี่ยังพึมพำต่อไป

“ที่นั่นยังมีอะไรต้องกลัว”  ถังเทียนตบไหล่ทั้งสองของอาโมรี่“นายคือลูกผู้ชายที่จะสร้างมรรคาบู๊เป็นของตนเอง นายต้องมองเหมือนกับว่าเป็นการฝึกอบรมแบบหนึ่งและไม่มีอะไรต้องกังวล  ไม่ว่าจะเป็นอันตรายอะไรก็ตามที่เราเผชิญ  เราจะฝ่าฟันทำลายมันด้วยกัน”

อาโมรี่ค่อยดูสบายใจมากขึ้นและจู่ๆ เขาถามขึ้น “ถังพื้นฐาน, นายไม่กลัวเหรอ?”

“ไม่” ถังเทียนพิงรั้งเคี้ยวขนมปังไปพูดไป“ฉันก็คิดเหมือนกัน ฉันจะกอบกู้อันดับหนึ่งให้ผู้เฒ่าเว่ย  เขามอบคัมภีร์ปราณกระเรียนให้ฉันและเขาเป็นคนดี แม้ว่าฉันไม่รู้ว่าผู้เฒ่าเว่ยมีอะไรดีหรือว่าทำไมเขาถึงได้ปกป้องสถาบันคาราเมล  ฉันคิดว่าเขามีเหตุผลเป็นของตนเอง ทุกคนมีบางอย่างที่พวกเขาต้องต่อสู้ให้ได้มา เนื่องจากนี่เป็นเรื่องที่ผู้เฒ่าเว่ยต้องการทำ  ฉันจะช่วยเขา ฉันต้องการเอาชนะคนอื่นๆ ชิงตำแหน่งที่หนึ่งมามอบให้ผู้เฒ่าเว่ย  ด้วยบัตรผ่านนี้สถาบันคาราเมลจะมีอานุภาพมาก  จากนั้นฉันจะขอให้ผู้เฒ่าเว่ยรับอาจารย์เฉินเข้าทำงานในสถาบันคาราเมล  อาจารย์เฉินเป็นอาจารย์ที่ดีมาก  ทันทีที่ฉันทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ  ฉันจะไปหาเชียนฮุ่ยโดยไม่มีอะไรต้องเสียใจเลย  ณ สวรรค์วิถี นี่คือเป้าหมายของฉันเวลานี้ ฉันต้องทำให้สำเร็จ”

“อันดับ.... อันดับหนึ่ง....”อาโมรี่เหม่อมองอย่างว่างเปล่า

“อืม...” ถังเทียนพูดไปกินขนมปังไป “เมื่อเรื่องนี้จบ ฉันจะต้องไปหาเชียนฮุ่ย  ต่อให้ฉันต้องจากไปฉันจะต้องเอาชัยชนะติดตัวไปด้วย เพื่อที่ว่าจะได้ไม่มีอะไรต้องค้างคาใจ”

อาโมรี่งุนงง

จู่ๆถังเทียนก็หันหน้ามาทางเขา “วัวแมงวัน! ทำไมนายถึงต้องการสร้างมรรคาวิชาบู๊เป็นของตนเอง?”

อาโมรี่ค่อยกลับคืนสู่ความเป็นจริงและเกาหัวแกรกๆกล่าวว่า “เมื่อฉันยังเด็ก  ฉันคิดว่ามันดูเท่ห์ดี  แต่พอฉันโตขึ้น  ฉันไม่รู้ว่าทำไม  ทุกครั้งที่ฉันคิดถึงเรื่องนี้ฉันจะกระตือรือร้นและมีแรงบันดาลใจมาก บางทีฉันรู้สึกนี่เป็นเรื่องที่มีเกียรติ”

“อย่างนั้นนายกลัวไหม?”  ถังเทียนกัดขนมปังอีกคำ“กลัวว่าหลังจากใช้ความพยายามไปมากมาย นายอาจไม่ได้อะไรกลับคืน? กลัวว่าแม้ว่านายจะเพียรพยายามอย่างหนักนายก็ยังจะห่างจากเป้าหมายของนาย?”

อาโมรี่ส่ายหน้า“จะมีอะไรต้องกลัวอีกเล่า มันเป็นการฝึกฝนและเป้าหมายก็ยอดเยี่ยมสง่างามอาจจะน่าเบื่อที่ชีวิตไม่มีอะไรเปลี่ยนในทุกๆ วัน เนื่องจากฉันยังอายุน้อยฉันสามารถทำอะไรก็ได้ที่ต้องการ บางทีฉันก็แค่รู้สึกเสียดายเล็กน้อยเท่านั้นเอง”

“อย่างนั้นทำไมนายถึงกลัวการต่อสู้?”  ถังเทียนเคี้ยวขนมปังชิ้นสุดท้ายเสร็จจึงหันมาจ้องมองอาโมรี่ด้วยสีหน้าจริงจัง “นายฝึกซ้อมอย่างหนัก และอบรมบ่มเพาะมามากเพื่อสร้างมรรคาวิชาบู๊ของตนเองนั่นไม่ใช่เพื่อคว้าเอาชัยชนะมาหรือ? ขอเพียงนายต่อสู้เพื่อชัยชนะ  ชัยชนะแต่ละครั้งก็เหมือนการเหยียบหินก้าวหน้าต่อไปและเมื่อได้ชัยชนะในแต่ละครั้ง นายจะก้าวเข้าไปสู่เป้าหมายของนาย  ศัตรูของนายแข็งแกร่งนายก็ต้องเอาชนะพวกเขาให้ได้  มรรคาวิชาบู๊ของนายก็จะได้แข็งแกร่งและสมบูรณ์แบบ”

“เริ่มต้นสู้พรุ่งนี้เอาชนะศัตรูให้ได้คนแล้วคนเล่าอย่ากลัวล้มเหลว อย่ากลัวตาย  อย่ายอมถอยหลัง”  ถังเทียนพูดต่อ“เราจะเคียงบ่าเคียงไหล่ทำลายศัตรูให้หมดด้วยกัน”

ถังเทียนชูฝ่ามือขวาของเขา

ลำแสงของดวงตะวันฉายลอดผ่านป่าตกลงบนฝ่ามือของเด็กหนุ่ม

อาโมรี่ได้รับการกระตุ้น  เหมือนกับว่าสิ่งคาใจหายไป  เขาพูดจริงจังว่า “ถังพื้นฐาน, นายพูดถูก  คงจะไม่มีความหมายอะไรถ้ามรรคาวิชาบู๊ที่ฉันสร้างขึ้นไม่อาจนำพาชัยชนะมาได้”

แปะ!

ฝ่ามือทั้งสองปรบกันกลางอากาศ

“ทำลายพวกมันให้หมด!”

ทั้งสองตะโกนพร้อมกันและหัวเราะไปด้วยขณะมองหน้ากันเอง

※※※※※※※※※※※※※※※

ประตูดวงดาวมีการจัดการอารักขาไว้อย่างแน่นหนา

ประตูดวงดาวแห่งนี้ตั้งอยู่ภายในถ้ำท่ามกลางภูเขาและหุบเขารกร้างพวกเขาขยายขนาดถ้ำและเห็นได้ชัดว่าเพิ่งดำเนินการมาได้ไม่นาน รอยบากถากฟันของขวานยังเห็นได้อย่างชัดเจน

ที่ด้านหน้าประตูดวงดาวหลายๆ สถาบันรอที่จะเข้าไป ที่น่าประหลาดใจก็คือเจ้าเมืองปฏิเสธความร่วมมือจากที่อื่น แต่พวกที่ได้รับเลือกสามารถจัดตั้งทีมเพื่อสู้กับสถาบันอื่นได้

ถังเทียนศึกษาดูประตูดวงดาวอย่างระมัดระวังและทันใดนั้นเขาสังเกตเห็นลักษณะคล้ายคลึงกันระหว่างประตูดาวกางเขนใต้และประตูดวงดาวที่หน้าเขา  นอกจากสัญลักษณ์กางเขนแล้วไม่มีความแตกต่างกันมาก

เว้นแต่ประตูแสงก็คือประตูดวงดาวเหมือนกัน?

แต่เป็นไปได้อย่างไรที่ประตูดาวกางเขนจะเข้ามาอยู่ในตัวเขาเองได้?

ก็ได้...ปัญหานี้ดูเหมือนจะซับซ้อนเกินไปบ้าง....

กลุ่มแรกที่ผ่านเข้าประตูดวงดาวไปก่อนก็คือสถาบันเทียนจิง ผู้นำนักเรียนเข้าไปก็คืออาจารย์ใหญ่ประจำสถาบันและซือหม่าเซียงซาน  แต่หน้าตาของคนอื่นๆ เคร่งขรึมจริงจัง  กลุ่มที่สองเป็นสถาบันเป่ยเยี่ยน  แล้วก็เช่นเดียวกันอาจารย์ใหญ่ของพวกเขาเป็นผู้นำเพียงแต่นักเรียนหญิงที่น่ารักเหมาะกับอาวุธกระบี่ทำให้ดูงดงามและสง่างามมากนับเป็นภาพงดงามจริงๆ

ถังเทียนจดจำหานปิงหนิงได้จึงกระโดดโบกมือให้ตะโกนว่า “อ่าฮะ, คุณหนู, คุณหนู, ขอให้โชคดีนะ!”

หานปิงหนิงถึงกับชะลอฝีเท้าและนักเรียนหญิงที่เดินตามหลังเธอก้มศีรษะหัวเราะกันคิกคัก

“โอว, นั่นคงเป็นถังเทียนสินะ?”  อาจารย์ใหญ่ยืนอยู่ด้านหน้าของนักเรียนได้หันหน้ามาถาม

หานปิงหนิงรู้สึกตัวอีกคราและรีบตอบว่า“ค่ะ, อาจารย์ใหญ่”

“แน่นอน, เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์”  อาจารย์ใหญ่เป่ยเยี่ยนกล่าวชม

เด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์....

หานปิงหนิงหนังตากระตุก

“หยวนหยวน!  สู้เต็มที่เลยนะ!”

ถังเทียนตะโกนอีกครั้ง  หานปิงหนิงแทบจะมโนภาพได้ออกว่าเสิ่นหยวนจะเก็บซ่อนอาการคันไว้ตรงที่ใด  สีหน้าเธอจึงกลับสู่สภาพปกติ

ความจริงได้แข่งขันก็มีความสุขแล้ว

เมื่อถึงคราวสถาบันแอนดรูว์หมู่ผู้คนถึงกับปากอ้าค้างเป็นครั้งแรก

“วิญญาณขุนพลที่ทรงพลังนัก!  รัศมีที่ทรงพลัง!”

“นี่ต้องเป็นการ์ดขุนพลที่โด่งดังแน่ๆ”

“หอกพรากวิญญาณ! โห...มันคือหอกพรากวิญญาณ!”

……

เสียงวี้ดว้ายดังผ่านหูไป  แต่โจวเผิงไม่ติดใจเลยแม้แต่น้อย  เขาจ้องมองถังเทียนอย่างเคียดแค้น  นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟัน

ถังเทียนมองดูโจวเผิงและเห็นเขาจ้องหน้ากลับมา  ตอนนี้เขานึกอะไรขึ้นมาได้จึงกระซิบบางอย่างกับอาโมรี่ อาโมรี่พยักหน้าและมองดูโจวเผิงอย่างตั้งใจ

ทั้งสองคนแยกกันยืนเผชิญหน้ากันเอง

ทั้งสองคนเริ่มทำท่าทางประหลาดๆและดึงดูดความสนใจจากคนรอบๆ ด้านได้ทันที

แค่เพียงดูอาโมรี่ก็เริ่มทำท่าเลียนแบบโจวเผิง ขณะกดมือลงที่คอหอยของเขาเอง เขาพูดด้วยเสียงสั่นสะท้านจนกระดูกสันหลังว่า “โอ๊ยโหยว..นี่มันจอมเกเรถังแห่งสถาบันแอนดรูว์ไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงดูเหนื่อยหนักนักเล่า?”

จากนั้นถังเทียนก็ปั้นท่าทางทำนองเดียวกันด้วยการแสยะยิ้ม “ดี, ฉันไม่เคยคิดเลยว่าแกจะเสนอตัวเองมาถึงที่นี่!”

ถังเทียนปล่อยหมัดออกไปช้าๆ  ขณะที่อาโมรี่จ้องดูเขาด้วยนัยน์เบิกโพลง  เขาเป่าแก้มจนโป่งประมาณว่าใช้พลังไปมากมายและดึงฝ่ามือช้าๆ

หมัดและฝ่ามือสัมผัสกันเบาหวิว

ทันใดนั้นอาโมรี่กุมฝ่ามือและกรีดร้องเสียงแหลม“ฉันจะฆ่าแก, ฉันจะฆ่าแกให้ได้!”

มาถึงตอนนี้ร่างที่เหมือนสัตว์ร้ายของเขาก็เริ่มเลียนแบบฉากในเหตุการณ์เขาเริ่มบิดตัวเหมือนกับว่าได้รับบาดเจ็บ มันดูน่ากลัวมาก

ทั้งสองคนกำกับและแสดงฉากนั้นกันเอง  พวกเขาไม่อาจสะกดกลั้นได้อีกต่อไปและระเบิดเสียงหัวเราะลั่น  คนรอบๆ ตัวพวกเขาถึงตระหนักได้ถึงความขัดแย้งระหว่างโจวเผิงและถังเทียน  ข่าวนี้แพร่ออกไปแล้ว ที่คาดไม่ถึงก็คือทั้งสองคนกลับเอาเหตุการณ์ที่เกิดในวันนั้นมาแสดงอีกครา  อาโมรี่แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมจนหลายๆคนอดที่จะหัวเราะไม่ได้

หน้าของโจวเผิงแดงก่ำ  เขากำหมัดแน่นจนนิ้วซีดขาว สายตาล้อเลียนเหล่านั้นสร้างความอับอายให้เขาอย่างไม่เคยมีมาก่อน

ถังเทียน!  อาโมรี่!

ฉันต้องบดกระดูกของพวกแกให้เป็นผุยผงแล้วโยนทิ้งเมื่อพวกแกตาย

เผียะ!

ถังเทียนกับอาโมรี่แปะมือกันอย่างมีความสุข

“นายแสดงได้เหมือนมาก”  ถังเทียนยกนิ้วให้

“ขอบคุณที่ชม” อาโมรี่คำนับอย่างสุภาพ

สองสหายหัวเราะลั่นทำให้โจวเผิงดูน่าสมเพชมากขึ้น  แม้แต่วิญญาณขุนพลก็พลอยหม่นหมองและซีดจางไปด้วย แม้แต่คนของตระกูลโจวก็ทำตัวห่างเหินกับโจวเผิงโดยไม่รู้ตัว ความเคลื่อนไหวของถังเทียนและอาโมรี่ครั้งนี้ร้ายกาจจริงๆ

หลังจากผ่านไปนานก็ถึงคราวสถาบันคาราเมล

“เข้าไปกันเถอะ!”  ผู้เฒ่าเว่ยเดินนำหน้า สีหน้าของเขามั่นคง  ในมือของเขาถือดาบโทรมๆ และเปื้อน  ดูคล้ายกับว่าเขาไปเก็บมาจากกองขยะถังเทียนและอาโมรี่ก้าวตามเขาไปอย่างกระชั้นชิดผ่านเข้าประตูไป

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด