ตอนที่ 42 เป้าหมายครั้งนี้
แรงลมจากหมัดกำปั้นรุนแรงดังกึกก้องอยู่หลังประตูดาวกางเขน
ในสถานที่ซึ่งเวลาหยุดเดิน ถังเทียนยืนอยู่คนเดียวไม่ขยับตั้งแต่แรกจนกระทั่งจบ
เสียงต่ำลึกของหมัดพิฆาตน้อยดังหึ่งอยูในหู ปราณเที่ยงแท้ของเขาเหมือนเครื่องสายดนตรีบรรเลงสายแล้วสายเล่า ต้องใช้ความอดทน เป็นวิธีฝึกที่ง่ายๆแต่น่าเบื่อ ไม่มีอะไรน่าทึ่ง ขณะที่คอยจับนับเวลาเงียบๆ เหงื่อเปียกเสื้อผ้าเขาเป็นทางยาวมีไอระเหยออกมาจากตัวเขา ถังเทียนเหมือนเครื่องกลที่ทำสิ่งเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทุกหมัดเต็มไปด้วยเหงื่อ และทุกหมัดก็คือพลังรบ
ไม่มีใครพูดกับเขา เขาสามารถได้ยินแต่เพียงลมจากหมัดของเขาเสียงหัวใจเต้นรุนแรงและหยาดเหงื่อที่หยดลงพื้นหินจนได้ยินเสียงหยด
มันแห้งและหมองไม่มีอะไรตื่นเต้นปล่อยหมัดซ้ำๆ ด้วยวิชาที่เขาคุ้นเคยที่ถึงระดับสุดยอดแล้ว ฝึกฝน แล้วก็นั่งเดินลมปราณ ฝึกท่ามวย แล้วก็นั่งเดินปราณ
นอกจากครั้งล่าสุด เมื่อเขาใกล้จะหมดสติหลับลึก ถังเทียนไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่น้อยนิด
เขาเหนื่อยสายตัวแทบขาดและถ้าเขาหลับตาลงเมื่อใด ถังเทียนก็จะเผลอหลับ
นี่เป็นศึกที่ท้าทายจริงๆ
จำนวนเลขบนประตูดาวกางเขนยังคงวิ่งจาก100,000 ไปจนถึง 200,000 ก่อนที่วันนี้จะขึ้นไปถึง 990,000
ปริมาณความพยายามและเหงื่อที่ถังเทียนเสียไป มีแต่ประตูดาวกางเขนเท่านั้นที่รู้
หน้าของถังเทียนปกติจะไม่หัวเราะหรือดูเหี้ยม มีแต่ความเคร่งขรึมเท่านั้น ใบหน้าที่ปกติจะสงบและซื่อตรงจะถูกแทนที่ด้วยสีหน้าที่เจ็บปวด เหมือนกับว่าเขาถูกดาบฟัน และความเจ็บปรากฏอยู่ในดวงตาของเขา
ภาพของเขามีแต่ไล่จับดูภาพหมัดของเขา
ทันใดนั้นร่างของเขาสั่นวูบหนึ่งของความเข้าใจได้ถูกกระตุ้นอยู่ในตัวเขา
ในช่วงเวลาสั้นๆอาการสั่นที่อธิบายไม่ได้เริ่มจากแอ่งตันเถียนชั้นที่สาม
“ครืนนนน”
พร้อมกับการกู่ตะโกนก้องฉับพลัน ถังเทียนขยับขาเขาได้ไวดุจสายฟ้าและระเบิดพลังหมัดออกไป
ปราณเที่ยงแท้ปลดปล่อยออกมาทั่วร่าง เหมือนกับด้ายนับไม่ถ้วนถูกดึงพร้อมกัน ขณะที่ความเคลื่อนไหวของคลื่นนับไม่ถ้วน คล้ายกับคลื่นเสียงนับหมื่นที่ถังเทียนได้ปล่อยออกไปจากพลังหมัด
หมัดของถังเทียนกระแทกใส่กำแพงหมอกโดยไม่มีเสียงไม่มีการสังเกต
ปั้บ
เสียงนุ่มมากเหมือนว่าไม่ได้ใช้พลังแม้แต่น้อย
หมัดนี้สูบพลังเที่ยงแท้ของถังเทียนจนแทบไม่เหลือ ความอ่อนเพลียทำให้สภาพใจว่างเปล่า แต่เขายังรักษาท่วงท่าของหมัดไม่ขยับแม้แต่น้อย
แฮก แฮก
เขาหายใจหนักเหมือนกับเป็นเครื่องสูบลม เหงื่อไหลลงจากแก้มถังเทียนรูปหน้าของเขาแข็งจนดูเหมือนรูปปั้น
แฮก แฮก..สำเร็จหรือเปล่า..? หรือ...
ปัง!
ทันใดนั้นกำแพงหมอกต่อหน้าเขากลายเป็นเหมือนหิมะถล่ม มองดูลูกหมอกเล็กๆ นับไม่ถ้วนสลายหายไปในอากาศ
แฮก....สำเร็จ...
สภาพแวดล้อมรอบทั้งหมดเริ่มหมุน
เวลายังมีหรือเปล่า?
กลับไปที่ห้องของเขา ถังเทียนนอนกรนอยู่บนพื้นเสียงสนั่น
เขาไม่รู้ว่าเขาหลับไปนานเพียงไหน แต่เมื่อเขาตื่นขึ้นมาอย่างมึนงง ก็เป็นเวลากลางคืนแล้ว และความหิวได้ครอบงำตัวของเขา ขณะที่มือและเท้าของเขาอ่อนแรง ถังเทียนรู้สึกว่าเขาสามารถกินวัวได้ทั้งตัว
“อาหาร, อาหาร, รีบนำออกมา รีบเอาอาหารออกมาเร็ว”
ถังเทียนกลืนน้ำลายตนเองและบ่นพึมพำมองหาอาหารเหมือนคนบ้า โชคดีที่ทุกคนที่สถาบันคาราเมลเป็นนักกินตัวยงและระยะทางที่อยู่ห่างจากเมืองซิงฟงจึงมีอาหารเหลือเฟือมากมาย ถังเทียนรีบเอาขนมปังชิ้นใหญ่ออกมาและจัดการกินทั้งหมด
ทันใดนั้นสายตาเขามองลงไปที่สนามฝึก
อาโมรี่ยืนพิงรั้วกำลังขบคิดถึงเรื่องบางเรื่อง
เจ้าวัวแมงวัน…
ถังเทียนสับสน ถ้าเจ้าวัวแมงวันกำลังพึมพำถึงเรื่องฝึกฝน ถังเทียนจะแกล้งทำเป็นไม่เห็นขณะที่คู่แข่งของเขาโหมฝึกเป็นบ้าเป็นหลัง แต่ยากที่จะได้เห็นความกังวลปรากฏบนหน้าของเขา
ทั้งที่ยังกินขนมปังเต็มปาก ถังเทียนโผล่มาอยู่ข้างๆ อาโมรี่
“วัวแมงวัน, แกคิดเรื่องอะไรอยู่
อาโมรี่เงยศีรษะและพึมพำ“เราจะเข้าประตูดวงดาวกันพรุ่งนี้แล้วและฉัน... ฉันกระวนกระวายใจเล็กน้อย”
ถังเทียนประหลาดใจแต่ก็ยังปลอบเขา “อย่าห่วง, หนุ่มชาวฟ้าผู้นี้จะช่วยนาย”
ได้อยู่กับอาโมรี่มานานมากถังเทียนเข้าใจเขาดี แม้ว่าอาโมรี่อาจดูเหมือนห้าวและแข็งแกร่ง แต่ลึกๆ แล้วเขาเป็นคนใจดีมากและค่อนข้างขลาด
“ฉันได้ยินว่าถ้านายบุกเบิกดินแดนดังกล่าวมันอาจอันตรายมาก...” อาโมรี่ยังพึมพำต่อไป
“ที่นั่นยังมีอะไรต้องกลัว” ถังเทียนตบไหล่ทั้งสองของอาโมรี่“นายคือลูกผู้ชายที่จะสร้างมรรคาบู๊เป็นของตนเอง นายต้องมองเหมือนกับว่าเป็นการฝึกอบรมแบบหนึ่งและไม่มีอะไรต้องกังวล ไม่ว่าจะเป็นอันตรายอะไรก็ตามที่เราเผชิญ เราจะฝ่าฟันทำลายมันด้วยกัน”
อาโมรี่ค่อยดูสบายใจมากขึ้นและจู่ๆ เขาถามขึ้น “ถังพื้นฐาน, นายไม่กลัวเหรอ?”
“ไม่” ถังเทียนพิงรั้งเคี้ยวขนมปังไปพูดไป“ฉันก็คิดเหมือนกัน ฉันจะกอบกู้อันดับหนึ่งให้ผู้เฒ่าเว่ย เขามอบคัมภีร์ปราณกระเรียนให้ฉันและเขาเป็นคนดี แม้ว่าฉันไม่รู้ว่าผู้เฒ่าเว่ยมีอะไรดีหรือว่าทำไมเขาถึงได้ปกป้องสถาบันคาราเมล ฉันคิดว่าเขามีเหตุผลเป็นของตนเอง ทุกคนมีบางอย่างที่พวกเขาต้องต่อสู้ให้ได้มา เนื่องจากนี่เป็นเรื่องที่ผู้เฒ่าเว่ยต้องการทำ ฉันจะช่วยเขา ฉันต้องการเอาชนะคนอื่นๆ ชิงตำแหน่งที่หนึ่งมามอบให้ผู้เฒ่าเว่ย ด้วยบัตรผ่านนี้สถาบันคาราเมลจะมีอานุภาพมาก จากนั้นฉันจะขอให้ผู้เฒ่าเว่ยรับอาจารย์เฉินเข้าทำงานในสถาบันคาราเมล อาจารย์เฉินเป็นอาจารย์ที่ดีมาก ทันทีที่ฉันทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ ฉันจะไปหาเชียนฮุ่ยโดยไม่มีอะไรต้องเสียใจเลย ณ สวรรค์วิถี นี่คือเป้าหมายของฉันเวลานี้ ฉันต้องทำให้สำเร็จ”
“อันดับ.... อันดับหนึ่ง....”อาโมรี่เหม่อมองอย่างว่างเปล่า
“อืม...” ถังเทียนพูดไปกินขนมปังไป “เมื่อเรื่องนี้จบ ฉันจะต้องไปหาเชียนฮุ่ย ต่อให้ฉันต้องจากไปฉันจะต้องเอาชัยชนะติดตัวไปด้วย เพื่อที่ว่าจะได้ไม่มีอะไรต้องค้างคาใจ”
อาโมรี่งุนงง
จู่ๆถังเทียนก็หันหน้ามาทางเขา “วัวแมงวัน! ทำไมนายถึงต้องการสร้างมรรคาวิชาบู๊เป็นของตนเอง?”
อาโมรี่ค่อยกลับคืนสู่ความเป็นจริงและเกาหัวแกรกๆกล่าวว่า “เมื่อฉันยังเด็ก ฉันคิดว่ามันดูเท่ห์ดี แต่พอฉันโตขึ้น ฉันไม่รู้ว่าทำไม ทุกครั้งที่ฉันคิดถึงเรื่องนี้ฉันจะกระตือรือร้นและมีแรงบันดาลใจมาก บางทีฉันรู้สึกนี่เป็นเรื่องที่มีเกียรติ”
“อย่างนั้นนายกลัวไหม?” ถังเทียนกัดขนมปังอีกคำ“กลัวว่าหลังจากใช้ความพยายามไปมากมาย นายอาจไม่ได้อะไรกลับคืน? กลัวว่าแม้ว่านายจะเพียรพยายามอย่างหนักนายก็ยังจะห่างจากเป้าหมายของนาย?”
อาโมรี่ส่ายหน้า“จะมีอะไรต้องกลัวอีกเล่า มันเป็นการฝึกฝนและเป้าหมายก็ยอดเยี่ยมสง่างามอาจจะน่าเบื่อที่ชีวิตไม่มีอะไรเปลี่ยนในทุกๆ วัน เนื่องจากฉันยังอายุน้อยฉันสามารถทำอะไรก็ได้ที่ต้องการ บางทีฉันก็แค่รู้สึกเสียดายเล็กน้อยเท่านั้นเอง”
“อย่างนั้นทำไมนายถึงกลัวการต่อสู้?” ถังเทียนเคี้ยวขนมปังชิ้นสุดท้ายเสร็จจึงหันมาจ้องมองอาโมรี่ด้วยสีหน้าจริงจัง “นายฝึกซ้อมอย่างหนัก และอบรมบ่มเพาะมามากเพื่อสร้างมรรคาวิชาบู๊ของตนเองนั่นไม่ใช่เพื่อคว้าเอาชัยชนะมาหรือ? ขอเพียงนายต่อสู้เพื่อชัยชนะ ชัยชนะแต่ละครั้งก็เหมือนการเหยียบหินก้าวหน้าต่อไปและเมื่อได้ชัยชนะในแต่ละครั้ง นายจะก้าวเข้าไปสู่เป้าหมายของนาย ศัตรูของนายแข็งแกร่งนายก็ต้องเอาชนะพวกเขาให้ได้ มรรคาวิชาบู๊ของนายก็จะได้แข็งแกร่งและสมบูรณ์แบบ”
“เริ่มต้นสู้พรุ่งนี้เอาชนะศัตรูให้ได้คนแล้วคนเล่าอย่ากลัวล้มเหลว อย่ากลัวตาย อย่ายอมถอยหลัง” ถังเทียนพูดต่อ“เราจะเคียงบ่าเคียงไหล่ทำลายศัตรูให้หมดด้วยกัน”
ถังเทียนชูฝ่ามือขวาของเขา
ลำแสงของดวงตะวันฉายลอดผ่านป่าตกลงบนฝ่ามือของเด็กหนุ่ม
อาโมรี่ได้รับการกระตุ้น เหมือนกับว่าสิ่งคาใจหายไป เขาพูดจริงจังว่า “ถังพื้นฐาน, นายพูดถูก คงจะไม่มีความหมายอะไรถ้ามรรคาวิชาบู๊ที่ฉันสร้างขึ้นไม่อาจนำพาชัยชนะมาได้”
แปะ!
ฝ่ามือทั้งสองปรบกันกลางอากาศ
“ทำลายพวกมันให้หมด!”
ทั้งสองตะโกนพร้อมกันและหัวเราะไปด้วยขณะมองหน้ากันเอง
※※※※※※※※※※※※※※※
ประตูดวงดาวมีการจัดการอารักขาไว้อย่างแน่นหนา
ประตูดวงดาวแห่งนี้ตั้งอยู่ภายในถ้ำท่ามกลางภูเขาและหุบเขารกร้างพวกเขาขยายขนาดถ้ำและเห็นได้ชัดว่าเพิ่งดำเนินการมาได้ไม่นาน รอยบากถากฟันของขวานยังเห็นได้อย่างชัดเจน
ที่ด้านหน้าประตูดวงดาวหลายๆ สถาบันรอที่จะเข้าไป ที่น่าประหลาดใจก็คือเจ้าเมืองปฏิเสธความร่วมมือจากที่อื่น แต่พวกที่ได้รับเลือกสามารถจัดตั้งทีมเพื่อสู้กับสถาบันอื่นได้
ถังเทียนศึกษาดูประตูดวงดาวอย่างระมัดระวังและทันใดนั้นเขาสังเกตเห็นลักษณะคล้ายคลึงกันระหว่างประตูดาวกางเขนใต้และประตูดวงดาวที่หน้าเขา นอกจากสัญลักษณ์กางเขนแล้วไม่มีความแตกต่างกันมาก
เว้นแต่ประตูแสงก็คือประตูดวงดาวเหมือนกัน?
แต่เป็นไปได้อย่างไรที่ประตูดาวกางเขนจะเข้ามาอยู่ในตัวเขาเองได้?
ก็ได้...ปัญหานี้ดูเหมือนจะซับซ้อนเกินไปบ้าง....
กลุ่มแรกที่ผ่านเข้าประตูดวงดาวไปก่อนก็คือสถาบันเทียนจิง ผู้นำนักเรียนเข้าไปก็คืออาจารย์ใหญ่ประจำสถาบันและซือหม่าเซียงซาน แต่หน้าตาของคนอื่นๆ เคร่งขรึมจริงจัง กลุ่มที่สองเป็นสถาบันเป่ยเยี่ยน แล้วก็เช่นเดียวกันอาจารย์ใหญ่ของพวกเขาเป็นผู้นำเพียงแต่นักเรียนหญิงที่น่ารักเหมาะกับอาวุธกระบี่ทำให้ดูงดงามและสง่างามมากนับเป็นภาพงดงามจริงๆ
ถังเทียนจดจำหานปิงหนิงได้จึงกระโดดโบกมือให้ตะโกนว่า “อ่าฮะ, คุณหนู, คุณหนู, ขอให้โชคดีนะ!”
หานปิงหนิงถึงกับชะลอฝีเท้าและนักเรียนหญิงที่เดินตามหลังเธอก้มศีรษะหัวเราะกันคิกคัก
“โอว, นั่นคงเป็นถังเทียนสินะ?” อาจารย์ใหญ่ยืนอยู่ด้านหน้าของนักเรียนได้หันหน้ามาถาม
หานปิงหนิงรู้สึกตัวอีกคราและรีบตอบว่า“ค่ะ, อาจารย์ใหญ่”
“แน่นอน, เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์” อาจารย์ใหญ่เป่ยเยี่ยนกล่าวชม
เด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์....
หานปิงหนิงหนังตากระตุก
“หยวนหยวน! สู้เต็มที่เลยนะ!”
ถังเทียนตะโกนอีกครั้ง หานปิงหนิงแทบจะมโนภาพได้ออกว่าเสิ่นหยวนจะเก็บซ่อนอาการคันไว้ตรงที่ใด สีหน้าเธอจึงกลับสู่สภาพปกติ
ความจริงได้แข่งขันก็มีความสุขแล้ว
เมื่อถึงคราวสถาบันแอนดรูว์หมู่ผู้คนถึงกับปากอ้าค้างเป็นครั้งแรก
“วิญญาณขุนพลที่ทรงพลังนัก! รัศมีที่ทรงพลัง!”
“นี่ต้องเป็นการ์ดขุนพลที่โด่งดังแน่ๆ”
“หอกพรากวิญญาณ! โห...มันคือหอกพรากวิญญาณ!”
……
…
เสียงวี้ดว้ายดังผ่านหูไป แต่โจวเผิงไม่ติดใจเลยแม้แต่น้อย เขาจ้องมองถังเทียนอย่างเคียดแค้น นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟัน
ถังเทียนมองดูโจวเผิงและเห็นเขาจ้องหน้ากลับมา ตอนนี้เขานึกอะไรขึ้นมาได้จึงกระซิบบางอย่างกับอาโมรี่ อาโมรี่พยักหน้าและมองดูโจวเผิงอย่างตั้งใจ
ทั้งสองคนแยกกันยืนเผชิญหน้ากันเอง
ทั้งสองคนเริ่มทำท่าทางประหลาดๆและดึงดูดความสนใจจากคนรอบๆ ด้านได้ทันที
แค่เพียงดูอาโมรี่ก็เริ่มทำท่าเลียนแบบโจวเผิง ขณะกดมือลงที่คอหอยของเขาเอง เขาพูดด้วยเสียงสั่นสะท้านจนกระดูกสันหลังว่า “โอ๊ยโหยว..นี่มันจอมเกเรถังแห่งสถาบันแอนดรูว์ไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงดูเหนื่อยหนักนักเล่า?”
จากนั้นถังเทียนก็ปั้นท่าทางทำนองเดียวกันด้วยการแสยะยิ้ม “ดี, ฉันไม่เคยคิดเลยว่าแกจะเสนอตัวเองมาถึงที่นี่!”
ถังเทียนปล่อยหมัดออกไปช้าๆ ขณะที่อาโมรี่จ้องดูเขาด้วยนัยน์เบิกโพลง เขาเป่าแก้มจนโป่งประมาณว่าใช้พลังไปมากมายและดึงฝ่ามือช้าๆ
หมัดและฝ่ามือสัมผัสกันเบาหวิว
ทันใดนั้นอาโมรี่กุมฝ่ามือและกรีดร้องเสียงแหลม“ฉันจะฆ่าแก, ฉันจะฆ่าแกให้ได้!”
มาถึงตอนนี้ร่างที่เหมือนสัตว์ร้ายของเขาก็เริ่มเลียนแบบฉากในเหตุการณ์เขาเริ่มบิดตัวเหมือนกับว่าได้รับบาดเจ็บ มันดูน่ากลัวมาก
ทั้งสองคนกำกับและแสดงฉากนั้นกันเอง พวกเขาไม่อาจสะกดกลั้นได้อีกต่อไปและระเบิดเสียงหัวเราะลั่น คนรอบๆ ตัวพวกเขาถึงตระหนักได้ถึงความขัดแย้งระหว่างโจวเผิงและถังเทียน ข่าวนี้แพร่ออกไปแล้ว ที่คาดไม่ถึงก็คือทั้งสองคนกลับเอาเหตุการณ์ที่เกิดในวันนั้นมาแสดงอีกครา อาโมรี่แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมจนหลายๆคนอดที่จะหัวเราะไม่ได้
หน้าของโจวเผิงแดงก่ำ เขากำหมัดแน่นจนนิ้วซีดขาว สายตาล้อเลียนเหล่านั้นสร้างความอับอายให้เขาอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ถังเทียน! อาโมรี่!
ฉันต้องบดกระดูกของพวกแกให้เป็นผุยผงแล้วโยนทิ้งเมื่อพวกแกตาย
เผียะ!
ถังเทียนกับอาโมรี่แปะมือกันอย่างมีความสุข
“นายแสดงได้เหมือนมาก” ถังเทียนยกนิ้วให้
“ขอบคุณที่ชม” อาโมรี่คำนับอย่างสุภาพ
สองสหายหัวเราะลั่นทำให้โจวเผิงดูน่าสมเพชมากขึ้น แม้แต่วิญญาณขุนพลก็พลอยหม่นหมองและซีดจางไปด้วย แม้แต่คนของตระกูลโจวก็ทำตัวห่างเหินกับโจวเผิงโดยไม่รู้ตัว ความเคลื่อนไหวของถังเทียนและอาโมรี่ครั้งนี้ร้ายกาจจริงๆ
หลังจากผ่านไปนานก็ถึงคราวสถาบันคาราเมล
“เข้าไปกันเถอะ!” ผู้เฒ่าเว่ยเดินนำหน้า สีหน้าของเขามั่นคง ในมือของเขาถือดาบโทรมๆ และเปื้อน ดูคล้ายกับว่าเขาไปเก็บมาจากกองขยะถังเทียนและอาโมรี่ก้าวตามเขาไปอย่างกระชั้นชิดผ่านเข้าประตูไป