ตอนที่ 42 กับดักสาวงามของอวิ๋็นฉีหลัว
ซูสือจ้องอวิ๋นฉีหลัวอย่างว่างเปล่า
จักรพรรดินีมารผู้เลือดเย็นเผยด้านของเด็กสาว?
เขาต้องยอมรับว่านางสวยมากจริงๆ
ผมดำกับผิวเนียนนุ่ม คิ้วโก่งเหมือนภูเขา ดวงตาเหมือนเมฆบางที่ปกคลุมดวงจันทร์
ชุดธรรมดาที่นางสวมไม่อาจปกปิดหุ่นประดุจนางแบบ และข้อมือขาวกับคอที่นางมักเผยก็ขาวเนียนเสียยิ่งกว่าหิมะ
นางดูเหมือนคนที่หลุดจากภาพวาด
แม้ซูสือจะเห็นสาวงามมามาก เขาก็ยังทึ่งกับความงามของนาง
"ตอนแรก เพื่อปกป้องเจ้า ข้าได้แต่ปล่อยเจ้าไปภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ในฐานะแม่ทัพ"
"ตอนนี้เจ้ายังมีพรสวรรค์โดดเด่นเช่นนี้ ข้าจะถอนอุปสรรคทั้งหมดและให้เจ้าเป็นศิษย์สืบทอด'
อวิ๋นฉีหลัวมองเขา"ในร้อยก้าว ข้าจะเดินให้ 99 ก้าว แล้วทำไมเจ้าถึงยังไม่เต็มใจก้าวสุดท้ายอีก?"
ซูสือกลืนน้ำลาย
ทำไมมันถึงฟังเหมือนการสารภาพรัก?
"อย่าลืม ตัวเจ้าพูดเองว่าเจ้าจะปกป้องข้าตั้งแต่ต้น"
"นั่นก็แค่คำพูดของเด็ก.."
"แต่ข้ายึดถือมันอย่างจริงจัง"
อวิ๋นฉีหลัวมุ่ยปาก ดูเหมือนจะไม่พอใจ
หัวใจของซูสือเต้นเร็วขึ้น
วันนี้จักรพรรดินีมารเป็นอะไร?
โดยปราศจากท่าทางกดขี่ตามปกติ นางเหมือนเด็กสาวอกหัก!
ใจเย็น!
ผู้หญิงตรงหน้าข้าคือจักรพรรดินีมารขุมนรกผู้โหดเหี้ยม
ซูสือลอบหยิกตัวเอง
อวิ๋นฉีหลัวลุกและเดินมาหาเขา ชุดของนางเต็มไปด้วยกลิ่นหอม
"ตราบเท่าที่เจ้าเต็มใจกลายเป็นศิษย์สืบทอด เจ้าจะยืนเหนือทุกคนและมีทรัพยากรบ่มเพาะไร้สิ้นสุด"
"ถ้าทุกอย่างไปด้วยดี ทั้งสำนักยักษ์มารขุมนรกจะเป็นของเจ้าในอนาคต"
"ความมั่งคั่ง ฐานะ ผู้หญิง ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เจ้าไม่อาจได้รับ"
เสียงของนางดูเหมือนจะเต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวน
พอมองสาวงามบรรลือโลกใกล้ๆ ซูสือก็พูดอย่างเขินอาย"รวมถึงฝ่าบาทด้วยหรือ?"
"หะ?"
อวิ๋นฉีหลัวเงียบไป"เจ้าพูดว่าไงนะ?"
ดวงตาของซูสือล้ำลึก"ในเมื่อทั้งสำนักจะเป็นของข้า มันก็ย่อมรวมถึงฝ่าบาทด้วยใช่ไหม?"
หัวใจของอวิ๋นฉีหลัวเต้นกระหน่ำ!
สีแดงเริ่มแต่งแต้มแก้มนาง เหมือนดวงอาทิตย์ตกยามพลบค่ำในท้องฟ้า
นางไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าพูดอะไรแบบนี้
แต่น่าแปลก ในใจนางกลับไม่มีความโกรธ มันกลับเป็นความตื่นตระหนกและเขินอาย
"เจ้า เจ้าต้องการข้า?"
"ทุกคนล้วนชมชอบสาวงาม และมันก็เป็นปกติสำหรับผู้น้อยที่จะชื่นชอบฝ่าบาทผู้มีความงามประดุจเทพธิดา"
ปากของซูสือแห้ง ความคิดเขาสับสนวุ่นวาย และเขาก็พูดออกไปโดยไม่ยั้งคิด
หน้าอกของอวิ๋นฉีหลัวพองขึ้นยุบลงอย่างแรง ดวงตานางเต็มไปด้วยแสง"เจ้าจะจ่ายไหวหรือ?ความปรารถนาในตัวข้าอาจต้องจ่ายด้วยชีวิตเจ้าเลยนะ"
"ถ้าข้าสมควรตายภายใต้ดอกโบตั๋น เป็นผีข้าก็จะยังชื่นชมมันได้"(ถ้าตายใต้กระโปรง เป็นผีก็ยังแอบมองได้)
ซูสือเงยหน้าขึ้นและพูด"ผู้น้อยเต็มใจตายเพื่อฝ่าบาท"
อวิ๋นฉีหลัวกัดริมฝีปาก ดูเหมือนจะมีน้ำเอ่อล้นในดวงตานาง
ทั้งสองเข้าใกล้กันขึ้น
ซูสือสามารถได้กลิ่นหอมของตัวนาง เห็นภาพสะท้อนของตัวเขาในดวงตาของนางและยังรู้สึกถึงลมหายใจที่เร็วขึ้นของนาง
บางสิ่งไม่ถูกต้อง!
เขาพบว่าตัวเขาอยู่ในสถานการณ์ที่ผิดไปมาก!
สามัญสำนึกบอกเขาว่าเขาควรหยุด แต่ตัวเขาหลุดการควบคุม และทั้งหมดที่เห็นก็คือใบหน้าละเอียดอ่อนประดุจดอกไม้
จากนั้น เสียงของข้ารับใช้ก็ดังด้านนอกประตู
"ฝ่าบาท มื้อเย็นพร้อมแล้วขอรับ"
บรรยากาศนี้พลันแหลกสลาย ทั้งสองกระโดดแยกออกจากกันเหมือนโดนไฟช็อต
ซูสือพูดตะกุกตะกัก"ผู้น้อย...ผู้น้อยทำเกินเลยไป หวังว่าฝ่าบาทจะให้อภัย"
ใบหน้างามของอวิ๋นฉีหลัวแดงก่ำขณะที่นางแสร้งทำเป็นสงบ"เอาล่ะ ไปโถงอาหารก่อนเถอะ ข้าจะตามไปทีหลัง"
"ขอรับ'
ซูสือรีบหนีออกไป
พอมองแผ่นหลังเงอะงะของเขา อวิ๋นฉีหลัวก็เอามือปิดแก้มร้อนๆของนาง
"ข้าต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ!'
พวกนางเกือบจะ....
พอคิดถึงความใกล้ชิดนั่น นางก็แทบอดใจไม่ไหวที่จะหารูในพื้นเพื่อซ่อนตัว!
"นี่มันวิชาอะไรกัน!"
นางหยิบตำราโบราณที่เขียนว่า'วิชาเสน่ห์สาวงาม'ขึ้นมา
เซินไป่หู่บอกว่าซูสือชอบความงาม นางจึงวางแผนลองด้วยตัวเองและเพื่อยืนยันผล นางพบตำรานี้ในคลังตำราของนาง
วิชานี้มีความสามารถบังคับจิตใจ ทำให้คนหยุดคิด ปัดเป่าสามัญสำนึก และกระตุ้นสัญชาตญาณในส่วนลึกสุด
แต่นางไม่คิดว่าแม้แต่นางก็ยังได้รับผล!
นางตั้งใจจะหว่านเสน่ห์ใส่ซูสือ แต่นางไม่อยากเอาตัวเองไปเกี่ยว!
"ซูสือเจ้าชู้จริงๆ เขากล้าดียังไงมาพูดจาหวานใส่ข้า!"
"แต่ ทำไมข้าถึง.."
"มันต้องเพราะเขาแน่ ข้าไม่ใช่ผู้หญิงชั้นต่ำพวกนั้น!"
อวิ๋นฉีหลัวกระทืบเท้าด้วยความอายและโกรธ
สุดท้ายนางก็สรุปว่า"ทั้งหมดเป็นความผิดของเซินไป่หู่!"
"ใครก็ได้เข้ามา!"
ข้ารับใช้ด้านนอกโถงเดินเข้ามา"ผู้น้อยอยู่นี่ขอรับ"
อวิ๋นฉีหลัวกัดฟัน"บอกนักบุญตะวันตกให้ไปแนวหน้าเพื่อกำราบศัตรูเดี๋ยวนี้ และบอกเขาว่าห้ามกลับมาหากข้าไม่สั่ง!"
"ขอรับ"
ข้ารับใช้ถอยไป
สีแดงบนหน้าของอวิ๋นฉีหลัวยังไม่หายไป
นางอยากขว้างมันทิ้ง แต่ดวงตาซื่อตรงของซูสือก็พลันปรากฏในหัวนาง
นางลังเลชั่วขณะและวางตำราโบราณลงเงียบๆ
"วิชานี้ชั่วร้ายเกินไป มันไม่ดีที่จะกระจายออกไป มันดีกว่าที่ข้าจะเก็บไว้เอง"
...
ในห้องอาหาร
ซูสือนั่งหน้ามึน
เขามองโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหาร และไม่สามารถระงับความกระหายของตัวเองได้
"ในชีวิต ภาพมายาทุกชนิดจะทดสอบเราตลอดเวลา และบางครั้งความคิดเดียวก็สามารถทำให้ผู้คนตกลงสู่หุบเหวแห่งปรารถนาได้"
พอคิดถึงฉากก่อนหน้า เขาก็ขมขื่นมาก
"ข้าพยายามจะจูบจักรพรรดินีมารเนี่ยนะ?'
"นั่นเท่ากับรนหาที่ตายชัดๆ!"
"ข้าต้องหาทางหนีไปจากที่นี่ ไม่งั้นทุกอย่างจะจบตอนนางมาที่นี่"
แต่มันสายไป อวิ๋นฉีหลัวเดินเข้ามาแล้ว
ท่วงท่านางกลับเป็นเย็นชา ดวงตาของนางไม่อาจเห็นอารมณ์ใดได้
นางนั่งลงเงียบๆ
บรรยากาศเงียบสงัด
ซูสือกลืนน้ำลายและพูดอย่างยากลำบาก"ฝ่าบาท เรื่องที่เกิดขึ้น..."
"หุบปาก!"
อวิ๋นฉีหลัวจ้องเขา"กินอาหารของเจ้าไปซะ!"
"..."