ตอนที่แล้วตอนที่ 40 เผชิญโจวเผิงอีกครา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 42 เป้าหมายครั้งนี้

ตอนที่ 41 ประตูดวงดาวปรากฏ


จวนเจ้าเมืองซิงฟงมีการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา

“ผู้อาวุโสอู่เดินทางมาชมด้วยตนเองนับเป็นเกียรติของเมืองซิงฟงเรายิ่งนัก” เจ้าเมืองซิงฟงพูดประจบ ผู้ที่อยู่ต่อหน้าเขาเป็นบุรุษผอมสูงคนหนึ่งสวมใส่ชุดอย่างดีราคาแพงมีรอยยิ้มน้อยๆ อยู่บนใบหน้าเขาทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนกับว่าถูกสายลมฤดูใบผลิพัดโชย

ตามที่คาดหวังของผู้ปกครองสถานที่ใหญ่  เพียงแค่โบกมือก็ทำให้เจ้าเมืองซิงฟงรู้สึกว่าด้อยจนได้

ตระกูลอู่จากหมู่ดาวคอร์เวิร์ส(หมู่ดาวอีกา) นับเป็นตระกูลใหญ่

ผู้อาวุโสอู่ยิ้มเล็กน้อย“ท่านเจ้าเมืองเกรงใจไปแล้ว  ประตูดวงดาวนี้เป็นแหล่งที่มาของรายได้  ผมยังต้องขอบคุณท่านเจ้าเมือง  เมืองซิงฟงนับเป็นสถานที่ดีแม้แต่อากาศก็มีสีทองจางๆ น่าลิ้มลองนัก”

เจ้าเมืองหัวเราะจนตาหยี“ก็มั่งคั่งไปด้วยกัน มาสร้างมันให้มั่งคั่งไปด้วยกันเถอะ”

เมื่อผู้อาวุโสอู่มาหาเขา  เจ้าเมืองก็ยังสงสัยอยู่ เขาคาดหวังอยู่เล็กน้อยว่าผู้อาวุโสอู่ได้พบประตูดวงดาวอยู่ใกล้เมืองซิงฟงจริงๆ  ตามข้อตกลงประตูดวงดาวจะถูกใช้โดยเขากับผู้อาวโสอู่ เพียงสองคนเท่านั้น

ประตูดวงดาวทุกแห่ง  ก็คือประตูแห่งความมั่งคั่ง

“อย่างนั้น เราจะเริ่มสำรวจกันเมื่อไหร่?”  เจ้าเมืองมองดูผู้อาวุโสอู่อย่างกระสับกระส่าย

“แน่นอน ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี!”  ผู้อาวุโสอู่จิบชาเขียวเล็กน้อย

“งั้นเราต้องเริ่มจัดตั้งทีมงานคุ้มกัน”  เจ้าเมืองพร้อมจะสู้แล้ว

ผู้อาวุโสอู่วางถ้วยชาลง“ผมมีความคิดดีๆ ได้ยินมาว่าชุมนุมวิทยายุทธเมืองซิงฟงกำลังจะเริ่ม”

เจ้าเมืองซิงฟงรู้สึกพอใจ“ผมไม่คิดเลยว่าแม้แต่ผู้อาวุโสอู่ก็รู้เรื่องงานชุมนุมวิทยายุทธเมืองซิงฟงด้วย  การแข่งขันนี้ก็นับว่ามีความสำคัญ”

“นี่คือโอกาสที่ดีอย่างหนึ่ง”  ผู้อาวุโสอู่หัวเราะแล้วพูดต่อ  “ผมคิดว่าไม่มีที่ใดในดาวอู่อันจะมียอดฝีมือมากกว่างานชุมนุมวิทยายุทธซิงฟงแล้ว”

“ผู้อาวุโสอู่หมายความว่าไง?”  เจ้าเมืองซิงฟงสงสัย

“ทำไมเราไม่ให้พวกเขาเป็นคนบุกเบิกก่อน?  ยอดฝีมือตั้งมากมาย ก็ดำเนินการแข่งขันได้อยู่แล้ว  จะเสียเวลาเปล่าทำไม”ผู้อาวุโสอู่มีหน้าขมขื่นเล็กน้อย “พวกเขาเหมาะจะเป็นคนงานบุกเบิกระลอกแรกได้อยู่แล้ว”

“นั่นออกจะอันตรายเกินไปหน่อย”  เจ้าเมืองพูดอย่างลังเล

“ตราบใดที่พวกเขาไม่เจาะลึกลงไปภายใน  ก็ไม่น่าจะมีอันตรายมาก  ด้วยพลังของพวกเขา  ถ้าพวกเขากล้าพูดอะไรที่เป็นการละเมิดคุณในฐานะเจ้าเมือง องครักษ์และกองกำลังของคุณก็ยังมีกำลังมากกว่าพวกเขา”  ผู้อาวุโสอู่ชำเลืองมองเจ้าเมืองวูบหนึ่ง “ในอดีตเมืองซิงฟงไม่มีความคุ้มค่าใดๆ ที่คนจะอยากได้ แต่ตอนนี้ ในฐานะเป็นหุ้นส่วนของคุณ ผมขอเตือนคุณ เมืองซิงฟงซึ่งถือครองประตูดวงดาวอยู่ในตอนนี้จะก่อให้เกิดความอิจฉากับผู้คนมากมาย ความมั่งคั่งต่อเนื่องนับเป็นแรงดึงดูดที่ร้ายกาจ   เพื่อจะยึดเมืองซิงฟง  คุณก็รู้ สำหรับคุณในตอนนี้ นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดที่จำต้องทำ”

เจ้าเมืองซิงฟงมีสีหน้าไม่แน่นอน แต่คำพูดนี้ล้วนเสียดแทงความคิดในปัจจุบันของเขา

ในอดีตเมืองซิงฟงเป็นแค่เมืองที่มีโรงเรียนอยู่หลายแห่ง แต่ไม่มีผลประโยชน์มากนัก จึงเป็นธรรมดาที่ไม่ได้มีส่วนร่วมต่อสู้แย่งชิงอำนาจใดๆ

แต่ตอนนี้...

“ท่านเจ้ามือง, ท่านก็เอื้ออาทรมาหลายปีแล้วตอนนี้สมควรเก็บเกี่ยวผลตอบแทนกลับมาบ้าง” ผู้อาวุโสอู่ยิ้มและว่า “ภายใต้รางวัลล่อใจก้อนโต  ย่อมต้องมีผู้กล้า  ด้วยความยินยอมพร้อมใจทั้งสองฝ่าย  พวกเขาสามารถรับรางวัลเพิ่มได้  และจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับพวกเขา   ผมยินดีสนับสนุนงานชุมนุมวิทยายุทธโดยตระกูลอู่จะบริจาคสมบัติระดับทองแดง ทวนอีการ่วมด้วย”

เจ้าเมืองซิงฟงเริ่มหน้าบาน“ผู้อาวุโสอู่ช่างใจกว้างแท้ๆ  ดี,เมื่อเป็นอย่างนี้ ถ้าอย่างนั้นเราจะทำกันตามวิธีนี้”

※※※※※※※※※※※※※※※

ถังเทียนและอาโมรี่หายไปจนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงร้องของโจวเผิง

“กูจะฆ่ามัน!  ฆ่ามัน”

ลับหลังเสียงกรีดร้องที่ควบคุมตนเองไม่ได้ของโจวเผิง  ถังเทียนกับอาโมรี่หัวเราะลั่น

“ถังพื้นฐาน!ฉันไม่เคยคิดว่านายจะเป็นคนฉลาดและเจ้าเล่ห์อย่างนั้น”  อาโมรี่พูดสีหน้ามาดเข้ม แต่ต่อมาก็ยิ้ม “ฮ่าฮ่า,แต่ก็รู้สึกสะใจเป็นบ้าว่ะ! ความจริงนายใช้คัมภีร์ปราณกระเรียนได้ร้ายกาจมาก  มิน่าเล่า นายถึงได้เป็นชาวฟ้า! เจ้าหน้าตัวเมียโจวเผิงแทบฉี่ราดรดกางเกงอยู่แล้ว”

“เจ้าวัวแมงวัน, นายพูดถึงไอ้คนน่ารังเกียจที่น่าขยะแขยงนั่นได้เฉย  นายก็นับเป็นเพื่อนฉันได้แล้ว”  ถังเทียนเดินตามอาโมรี่และพูดด้วยสีหน้าซื่อตรง

ทั้งสองคนมองหน้ากันเองแล้วหัวเราะใส่กัน

“เครื่องมือไม้ข้างตัวโจวเผิงดูเหมือนจะทรงพลัง”  อาโมรี่พูดขณะที่เขานึกขึ้นได้

“ใครจะสนกันเล่า? อย่างแย่ก็แค่สู้กัน” ถังเทียนพูดอย่างตั้งใจและมองดูอาโมรี่ด้วยสีหน้าแปลกๆ “วัวแมงวัน!อย่าบอกนะว่านายกลัวเขา?”

“กลัวเขาเหรอ?” อาโมรี่ลืมตาโพลงและควงดาบในมือ เขาคำรามลั่น “ถังพื้นฐาน! นายกำลังทำให้ลูกผู้ชายที่จะสร้างมรรคาวิชาบู๊เป็นของตนเองต้องขายขี้หน้า ความอัปยศนั้นจะสงบลงได้ก็ด้วยการซ้อมกันซักหนึ่งยก...”

โป๊ก..

มะเหงกของใครคนหนึ่งเขกใส่กบาลของอาโมรี่

“ดูเหมือนว่าแกจะคึกมากเลยนะ”  ผู้เฒ่าเว่ยโผล่ออกมาด้วยท่าทีที่โกรธ

อาโมรี่ทำคอย่น

“มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง”  ผู้เฒ่าเว่ยเคร่งขรึมและพูดเสียงเบาลง “ชุมนุมวิทยายุทธเมืองซิงฟงต่างจากครั้งก่อนๆแล้ว”

“ต่างจากครั้งก่อน?”  ถังเทียนและอาโมรี่เงยหน้ามองพร้อมกัน

“ใกล้ๆ งานชุมนุมวิทยายุทธ  มีคนค้นพบประตูดวงดวงแห่งใหม่”  ผู้เฒ่าเว่ยหน้าเครียด

“อ๋า! ประตูดวงดาวหรือ?”  ถังเทียนปากอ้าค้างด้วยความงง  หลังจากผ่านไปชั่วขณะ เขาก็รู้สึกตัว  “ประตูดวงดาวจะนำพาไปที่ไหน?”

“ไม่ทราบเหมือนกัน”  ผู้เฒ่าเว่ยส่ายหน้า  “เป็นเหตุผลให้เจ้าเมืองตัดสินใจให้พวกแกบุกเบิกแผ่นดิน”

“เราน่ะหรือ?” ถังเทียนและอาโมรี่ตกตะลึง

“แม้ว่าพวกแกทั้งสองยังเป็นมือใหม่  พวกแกก็แค่ขาดประสบการณ์ในการต่อสู้ ความสามารถของพวกแกสูงกว่ายอดฝีมือธรรมดาที่นั่นอยู่มาก และยังมีพลังมากกว่า  ยิ่งกว่านั้นยอดฝีมือจากดาวอู่อันมากกว่าครึ่งหนึ่งก็อยู่ที่งานชุมนุมวิทยายุทธเมืองซิงฟง  เจ้าเมืองซิงฟงจึงเกิดความคิดแปลกใหม่”  นัยน์ตาผู้เฒ่าเว่ยเป็นประกาย  “แต่พวกแกทั้งคู่ยังเป็นมือใหม่ และฉันกลัวว่าพวกแกจะได้รับบาดเจ็บรุนแรง  ดังนั้นเจ้าเมืองซิงฟงจึงกำหนดเกณฑ์ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของสถาบัน  สำหรับสถาบันสิบอันดับแรก  พวกเขาจะได้รับบัตรผ่านไปโดยตรงก่อน  นอกจากนี้ยังไม่มีลำดับ ทุกคนสามารถใช้ประโยชน์จากงานชุมนุมวิทยายุทธนี้ได้  แกสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้  มันเป็นวิธีที่โหดร้าย”

อาโมรี่กับถังเทียนฟังไปงงไป

“ตราบใดที่พวกแกทั้งสองคนรู้ว่าตามรายทางมีของมีค่ามากขนาดไหน  นั่นคือสิ่งที่พวกแกจะต้องทำ”  ผู้เฒ่าเว่ยพึมพำ  “ดูเหมือนรอบนี้ ฉันคงต้องตามไปให้ตลอดเสียแล้ว  ทันทีที่ฉันได้รับบัตรผ่านสถาบันคาราเมลจะไม่อะไรที่ต้องกังวลไปอีกสิบปี”

“ปู่จะมากับพวกเราด้วยเหรอ?” ถังเทียนและอาโมรี่ถามขณะที่หน้าของพวกเขาแสดงว่ามีความสุข

“ก็ไปสิวะ!”  ผู้เฒ่าเว่ยพูดเด็ดขาด

“ย้า..ฮู้ววว”

“ปู่..จงเจริญ!”

ขณะที่พวกเขาร่าเริงชูมือขึ้นไปในท้องฟ้า

ผู้เฒ่าเว่ยไม่มีความสุขแววกังวลหมองคล้ำปรากฏวูบในดวงตาเขา

※※※※※※※※※※※

จู่ๆเจ้าเมืองซิงฟงก็ประกาศการค้นพบประตูดวงดาวและตอนนี้  เสียงหัวเราะคิกคักดังอยู่ภายในเมืองซิงฟง

ประตูดวงดาวบานใหม่  ก็หมายถึงการจัดการที่มั่นคง และรายได้ที่ดี

ประตูดวงดาวจะนำพาไปยังที่ไหนกันแน่?  ของมีค่าอะไรจะอยู่ที่ปลายทางอีกด้านหนึ่ง?

ทุกคนพากันสงสัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าเมืองซิงฟงได้ตั้งกฎเกณฑ์สำหรับผ่านเข้าไปไม่เพียงแต่ไม่มีผู้ใดจากไป ยังมีอีกหลายคนที่เร่งรีบเข้าสู่จวนเจ้าเมืองหวังจะมีส่วนร่วมในงานชุมนุมวิทยายุทธด้วย แม้ว่าจะอันตรายสำหรับการบุกเบิกดินแดนใหม่ แต่ก็มักจะหมายถึงปาฏิหาริย์และความมั่งคั่งเสมอ

นอกจากนี้เพื่อให้ได้บัตรผ่านหมายความว่า เมื่อประตูดวงดาวเปิดอย่างเป็นทางการ  พวกเขาก็จะสามารถได้รับส่วนแบ่ง

นี่จะเป็นผลประโยชน์ระยะยาวที่มั่นคง

“ท่านเจ้าเมืองวางแผนระยะยาวได้ดีอย่างแน่นอน”  ผู้อาวุโสอู่มองดูผู้คนหลั่งไหลเข้ามาจากข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง  จึงกล่าวชื่นชม “เราดึงดูดผู้คนเข้ามาโดยไม่ต้องใช้เงินเลยแม้แต่แดงเดียว”

เจ้าเมืองซิงฟงหัวเราะ“เป็นเพราะคุณนั่นแหละ ผู้อาวุโสอู่ที่ชี้แนะผม เนื่องจากเรามีเจ้าหน้าที่อยู่ในเมืองซิงฟงแล้ว ทำไมเราไม่ปล่อยให้ทุกคนได้รับผลประโยชน์ด้วยเล่า?  พวกเขาอาจจะได้รับผลประโยชน์บางอย่าง  แต่เมื่อทำเช่นนี้ จะไม่มีใครคิดชิงมันไปจากเรา  ซึ่งก็หมายความว่าเห็นคนอื่นเป็นศัตรู  อีกอย่าง ก็จะช่วยให้งานเดินหน้าได้  ดังนั้นทำไมถึงไม่ทำล่ะ?”

“ความรู้และภูมิปัญญาของคุณพระอาทิตย์ยังอายเลยนะ” ผู้อาวุโสอู่ตอบอย่างให้เกียรติ

“เพียงแต่เวลานี้  ผมเกรงว่าหลายคนจะตาย”  เจ้าเมืองถอนหายใจเบาๆ

“ความมั่งคั่ง มักมาพร้อมกับการเสียเลือดเนื้อเสมอถ้าไม่ใช่ของคุณ อย่างนั้นก็ต้องเป็นคนอื่น” ผู้อาวุโสอู่หัวเราะ  “ปล่อยให้คนอื่นสละเลือดไป  ส่วนเราก็แค่ทำเงิน”

เจ้าเมืองซิงฟงปรบมือหัวเราะ“ฮ่าฮ่า พูดได้ดี”

※※※※※※※※※※※※

“นี่คือโอกาส!”  ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลมองดูตื่นเต้น  “ฉันไม่เคยคิดเลยว่าเมืองซิงฟงของพวกเราจะมีการค้นพบประตูดวงดาว! ฮ่าฮ่า สวรรค์โปรดตระกูลโจวของเราแล้ว ตอนนี้ไม่ว่ายังไง เราต้องผ่านไปให้ได้”

มือของโจวเผิงพันผ้าพันแผลไว้  และเขาไม่พูดอะไรสักคำ เพราะอารมณ์ขุ่นมัว

“เราทำข้อตกลงกับสถาบันแอนดรูว์แล้ว  และเราจะทำงานร่วมกัน”  ประมุขตระกูลโจวพูดด้วยความเคารพ  “ตราบใดที่บัตรผ่านตกมาอยู่ในเงื้อมมือเรา เราทั้งสองจะเพลิดเพลินกับสิทธิพิเศษของบัตรผ่าน  ทางด้านเรา เราสามารถจัดคนไปได้หกคน”

ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลพยักหน้าพึงพอใจสายตาของเขากวาดไปที่โจวเผิงที่ยังรู้สึกขุ่นมัวอยู่ที่มุมหนึ่ง และพูดเย็นชา “เสียท่าเล็กน้อยแล้วเป็นไง?อีกไม่นานแกจะมีโอกาสล้างแค้นแล้ว”

ตาโจวเผิงเป็นประกายเขากำหมัดแน่นด้วยอารมณ์โกรธ

“ดีมาก แกยังคงมีวิญญาณนักสู้อยู่ในตัวแก” ผู้อาวุโสสูงสุดก้มหน้าและล้วงเอาการ์ดวิญญาณระดับเงินออกมา  “นี่คือการ์ดวิชาหอกกระชากวิญญาณวิทยายุทธระดับสี่ ฉันได้มาเมื่อสมัยยังเยาว์วัย  มันถูกสร้างขึ้นโดยยอดฝีมือหอกหยางหวิน  น่าเศร้าไม่มีผู้ประสบความสำเร็จในตระกูลโจวที่สามารถฝึกวิชาหอกได้  และสามารถใช้ได้เพียงเรียกพลังวิญญาณออกมา  ในช่วงหนึ่งเดือนนี้ ฉันรับประกันความปลอดภัยของแกได้”

พอเขาขยับนิ้วมือการ์ดเงินกลายเป็นแสงสีเงินพุ่งวาบไปอยู่ในมือของโจวเผิง

ประมุขตระกูลโจว์มีความสุขทันทีเมื่อเขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสสูงสุดที่ท่านให้ความรักเมตตาเผิงเอ๋อ  เขาจะต้องฝึกฝนอย่างหนักแน่นอนเพื่อไต่เต้าไปสู่ตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่”

ผู้อาวุโสสูงสุดหัวเราะ“เรียกมันออกมา, บอกตามความสัตย์ ฉันก็ยังสงสัยอยู่ว่าพลังวิญญาณของปรมาจารย์หยางหวินจะเป็นแบบไหนและหอกกระชากวิญญาณของเขาจะเป็นเช่นไร”

ทุกคนจับตามองดูร่างของโจวเผิง  หยางหวินคือปรมาจารย์หอกเมื่อสองร้อยปีที่แล้ววิชาหอกของเขามีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือ หอกสลายวิญญาณ

โจวเผิงตื่นเต้นดีใจมาก  เขาขบฟันขณะที่เลื่อนนิ้วไปตามขอบการ์ด  การ์ดมีขนาดบางมาก  มันบาดนิ้วของเขาจนเลือดย้อมการ์ดวิญญาณ

ซู่ววว!

สายแห่งเลือดถูกดูดและซึมซับเข้าไปในด้านหน้าของการ์ดวิญญาณทันที

โห!

อุณหภูมิในห้องโถงลดลงฮวบฮาบ  พอตบลงครั้งหนึ่งการ์ดวิญญาณก็แตกเป็นเสี่ยงและเปลี่ยนเป็นกลุ่มหมอกกลมสีเทา  หมอกสีเทายังคงมีการเปลี่ยนแปลง

เมื่อหมอกสีเทาหายไป  เด็กหนุ่มที่สีหน้าไม่มีความรู้สึกปรากฏอยู่ข้างหน้าเขายังหลับตามอยู่ เด็กหนุ่มดูเหมือนคนจริง และมีชีวิตจริง แต่สามารถเห็นได้ว่าเขาแตกต่างจากคนจริงอยู่บ้าง  สีหน้าของเขาดูธรรมดา  ขณะที่ผิวของเขาและเสื้อผ้าเหมือนแก้วสีเทา

นี่คือวิญญาณขุนพล

วิญญาณขุนพลนี้กำลังลอยตัวอยู่ในอากาศห่างจากพื้นอย่างน้อยหนึ่งเมตร

วิญญาณขุนพลลืมตาขึ้นทันที

บึ้ม!ปราณมหาศาลและโดดเด่นรอบตัววิญญาณขุนพลเป็นเหมือนพายุกวาดไปทั่วทุกมุมของห้องโถง

ทุกคนตกตะลึงกันหมด!

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด