ตอนที่ 41 ประตูดวงดาวปรากฏ
จวนเจ้าเมืองซิงฟงมีการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา
“ผู้อาวุโสอู่เดินทางมาชมด้วยตนเองนับเป็นเกียรติของเมืองซิงฟงเรายิ่งนัก” เจ้าเมืองซิงฟงพูดประจบ ผู้ที่อยู่ต่อหน้าเขาเป็นบุรุษผอมสูงคนหนึ่งสวมใส่ชุดอย่างดีราคาแพงมีรอยยิ้มน้อยๆ อยู่บนใบหน้าเขาทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนกับว่าถูกสายลมฤดูใบผลิพัดโชย
ตามที่คาดหวังของผู้ปกครองสถานที่ใหญ่ เพียงแค่โบกมือก็ทำให้เจ้าเมืองซิงฟงรู้สึกว่าด้อยจนได้
ตระกูลอู่จากหมู่ดาวคอร์เวิร์ส(หมู่ดาวอีกา) นับเป็นตระกูลใหญ่
ผู้อาวุโสอู่ยิ้มเล็กน้อย“ท่านเจ้าเมืองเกรงใจไปแล้ว ประตูดวงดาวนี้เป็นแหล่งที่มาของรายได้ ผมยังต้องขอบคุณท่านเจ้าเมือง เมืองซิงฟงนับเป็นสถานที่ดีแม้แต่อากาศก็มีสีทองจางๆ น่าลิ้มลองนัก”
เจ้าเมืองหัวเราะจนตาหยี“ก็มั่งคั่งไปด้วยกัน มาสร้างมันให้มั่งคั่งไปด้วยกันเถอะ”
เมื่อผู้อาวุโสอู่มาหาเขา เจ้าเมืองก็ยังสงสัยอยู่ เขาคาดหวังอยู่เล็กน้อยว่าผู้อาวุโสอู่ได้พบประตูดวงดาวอยู่ใกล้เมืองซิงฟงจริงๆ ตามข้อตกลงประตูดวงดาวจะถูกใช้โดยเขากับผู้อาวโสอู่ เพียงสองคนเท่านั้น
ประตูดวงดาวทุกแห่ง ก็คือประตูแห่งความมั่งคั่ง
“อย่างนั้น เราจะเริ่มสำรวจกันเมื่อไหร่?” เจ้าเมืองมองดูผู้อาวุโสอู่อย่างกระสับกระส่าย
“แน่นอน ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี!” ผู้อาวุโสอู่จิบชาเขียวเล็กน้อย
“งั้นเราต้องเริ่มจัดตั้งทีมงานคุ้มกัน” เจ้าเมืองพร้อมจะสู้แล้ว
ผู้อาวุโสอู่วางถ้วยชาลง“ผมมีความคิดดีๆ ได้ยินมาว่าชุมนุมวิทยายุทธเมืองซิงฟงกำลังจะเริ่ม”
เจ้าเมืองซิงฟงรู้สึกพอใจ“ผมไม่คิดเลยว่าแม้แต่ผู้อาวุโสอู่ก็รู้เรื่องงานชุมนุมวิทยายุทธเมืองซิงฟงด้วย การแข่งขันนี้ก็นับว่ามีความสำคัญ”
“นี่คือโอกาสที่ดีอย่างหนึ่ง” ผู้อาวุโสอู่หัวเราะแล้วพูดต่อ “ผมคิดว่าไม่มีที่ใดในดาวอู่อันจะมียอดฝีมือมากกว่างานชุมนุมวิทยายุทธซิงฟงแล้ว”
“ผู้อาวุโสอู่หมายความว่าไง?” เจ้าเมืองซิงฟงสงสัย
“ทำไมเราไม่ให้พวกเขาเป็นคนบุกเบิกก่อน? ยอดฝีมือตั้งมากมาย ก็ดำเนินการแข่งขันได้อยู่แล้ว จะเสียเวลาเปล่าทำไม”ผู้อาวุโสอู่มีหน้าขมขื่นเล็กน้อย “พวกเขาเหมาะจะเป็นคนงานบุกเบิกระลอกแรกได้อยู่แล้ว”
“นั่นออกจะอันตรายเกินไปหน่อย” เจ้าเมืองพูดอย่างลังเล
“ตราบใดที่พวกเขาไม่เจาะลึกลงไปภายใน ก็ไม่น่าจะมีอันตรายมาก ด้วยพลังของพวกเขา ถ้าพวกเขากล้าพูดอะไรที่เป็นการละเมิดคุณในฐานะเจ้าเมือง องครักษ์และกองกำลังของคุณก็ยังมีกำลังมากกว่าพวกเขา” ผู้อาวุโสอู่ชำเลืองมองเจ้าเมืองวูบหนึ่ง “ในอดีตเมืองซิงฟงไม่มีความคุ้มค่าใดๆ ที่คนจะอยากได้ แต่ตอนนี้ ในฐานะเป็นหุ้นส่วนของคุณ ผมขอเตือนคุณ เมืองซิงฟงซึ่งถือครองประตูดวงดาวอยู่ในตอนนี้จะก่อให้เกิดความอิจฉากับผู้คนมากมาย ความมั่งคั่งต่อเนื่องนับเป็นแรงดึงดูดที่ร้ายกาจ เพื่อจะยึดเมืองซิงฟง คุณก็รู้ สำหรับคุณในตอนนี้ นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดที่จำต้องทำ”
เจ้าเมืองซิงฟงมีสีหน้าไม่แน่นอน แต่คำพูดนี้ล้วนเสียดแทงความคิดในปัจจุบันของเขา
ในอดีตเมืองซิงฟงเป็นแค่เมืองที่มีโรงเรียนอยู่หลายแห่ง แต่ไม่มีผลประโยชน์มากนัก จึงเป็นธรรมดาที่ไม่ได้มีส่วนร่วมต่อสู้แย่งชิงอำนาจใดๆ
แต่ตอนนี้...
“ท่านเจ้ามือง, ท่านก็เอื้ออาทรมาหลายปีแล้วตอนนี้สมควรเก็บเกี่ยวผลตอบแทนกลับมาบ้าง” ผู้อาวุโสอู่ยิ้มและว่า “ภายใต้รางวัลล่อใจก้อนโต ย่อมต้องมีผู้กล้า ด้วยความยินยอมพร้อมใจทั้งสองฝ่าย พวกเขาสามารถรับรางวัลเพิ่มได้ และจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับพวกเขา ผมยินดีสนับสนุนงานชุมนุมวิทยายุทธโดยตระกูลอู่จะบริจาคสมบัติระดับทองแดง ทวนอีการ่วมด้วย”
เจ้าเมืองซิงฟงเริ่มหน้าบาน“ผู้อาวุโสอู่ช่างใจกว้างแท้ๆ ดี,เมื่อเป็นอย่างนี้ ถ้าอย่างนั้นเราจะทำกันตามวิธีนี้”
※※※※※※※※※※※※※※※
ถังเทียนและอาโมรี่หายไปจนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงร้องของโจวเผิง
“กูจะฆ่ามัน! ฆ่ามัน”
ลับหลังเสียงกรีดร้องที่ควบคุมตนเองไม่ได้ของโจวเผิง ถังเทียนกับอาโมรี่หัวเราะลั่น
“ถังพื้นฐาน!ฉันไม่เคยคิดว่านายจะเป็นคนฉลาดและเจ้าเล่ห์อย่างนั้น” อาโมรี่พูดสีหน้ามาดเข้ม แต่ต่อมาก็ยิ้ม “ฮ่าฮ่า,แต่ก็รู้สึกสะใจเป็นบ้าว่ะ! ความจริงนายใช้คัมภีร์ปราณกระเรียนได้ร้ายกาจมาก มิน่าเล่า นายถึงได้เป็นชาวฟ้า! เจ้าหน้าตัวเมียโจวเผิงแทบฉี่ราดรดกางเกงอยู่แล้ว”
“เจ้าวัวแมงวัน, นายพูดถึงไอ้คนน่ารังเกียจที่น่าขยะแขยงนั่นได้เฉย นายก็นับเป็นเพื่อนฉันได้แล้ว” ถังเทียนเดินตามอาโมรี่และพูดด้วยสีหน้าซื่อตรง
ทั้งสองคนมองหน้ากันเองแล้วหัวเราะใส่กัน
“เครื่องมือไม้ข้างตัวโจวเผิงดูเหมือนจะทรงพลัง” อาโมรี่พูดขณะที่เขานึกขึ้นได้
“ใครจะสนกันเล่า? อย่างแย่ก็แค่สู้กัน” ถังเทียนพูดอย่างตั้งใจและมองดูอาโมรี่ด้วยสีหน้าแปลกๆ “วัวแมงวัน!อย่าบอกนะว่านายกลัวเขา?”
“กลัวเขาเหรอ?” อาโมรี่ลืมตาโพลงและควงดาบในมือ เขาคำรามลั่น “ถังพื้นฐาน! นายกำลังทำให้ลูกผู้ชายที่จะสร้างมรรคาวิชาบู๊เป็นของตนเองต้องขายขี้หน้า ความอัปยศนั้นจะสงบลงได้ก็ด้วยการซ้อมกันซักหนึ่งยก...”
โป๊ก..
มะเหงกของใครคนหนึ่งเขกใส่กบาลของอาโมรี่
“ดูเหมือนว่าแกจะคึกมากเลยนะ” ผู้เฒ่าเว่ยโผล่ออกมาด้วยท่าทีที่โกรธ
อาโมรี่ทำคอย่น
“มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง” ผู้เฒ่าเว่ยเคร่งขรึมและพูดเสียงเบาลง “ชุมนุมวิทยายุทธเมืองซิงฟงต่างจากครั้งก่อนๆแล้ว”
“ต่างจากครั้งก่อน?” ถังเทียนและอาโมรี่เงยหน้ามองพร้อมกัน
“ใกล้ๆ งานชุมนุมวิทยายุทธ มีคนค้นพบประตูดวงดวงแห่งใหม่” ผู้เฒ่าเว่ยหน้าเครียด
“อ๋า! ประตูดวงดาวหรือ?” ถังเทียนปากอ้าค้างด้วยความงง หลังจากผ่านไปชั่วขณะ เขาก็รู้สึกตัว “ประตูดวงดาวจะนำพาไปที่ไหน?”
“ไม่ทราบเหมือนกัน” ผู้เฒ่าเว่ยส่ายหน้า “เป็นเหตุผลให้เจ้าเมืองตัดสินใจให้พวกแกบุกเบิกแผ่นดิน”
“เราน่ะหรือ?” ถังเทียนและอาโมรี่ตกตะลึง
“แม้ว่าพวกแกทั้งสองยังเป็นมือใหม่ พวกแกก็แค่ขาดประสบการณ์ในการต่อสู้ ความสามารถของพวกแกสูงกว่ายอดฝีมือธรรมดาที่นั่นอยู่มาก และยังมีพลังมากกว่า ยิ่งกว่านั้นยอดฝีมือจากดาวอู่อันมากกว่าครึ่งหนึ่งก็อยู่ที่งานชุมนุมวิทยายุทธเมืองซิงฟง เจ้าเมืองซิงฟงจึงเกิดความคิดแปลกใหม่” นัยน์ตาผู้เฒ่าเว่ยเป็นประกาย “แต่พวกแกทั้งคู่ยังเป็นมือใหม่ และฉันกลัวว่าพวกแกจะได้รับบาดเจ็บรุนแรง ดังนั้นเจ้าเมืองซิงฟงจึงกำหนดเกณฑ์ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของสถาบัน สำหรับสถาบันสิบอันดับแรก พวกเขาจะได้รับบัตรผ่านไปโดยตรงก่อน นอกจากนี้ยังไม่มีลำดับ ทุกคนสามารถใช้ประโยชน์จากงานชุมนุมวิทยายุทธนี้ได้ แกสามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้ มันเป็นวิธีที่โหดร้าย”
อาโมรี่กับถังเทียนฟังไปงงไป
“ตราบใดที่พวกแกทั้งสองคนรู้ว่าตามรายทางมีของมีค่ามากขนาดไหน นั่นคือสิ่งที่พวกแกจะต้องทำ” ผู้เฒ่าเว่ยพึมพำ “ดูเหมือนรอบนี้ ฉันคงต้องตามไปให้ตลอดเสียแล้ว ทันทีที่ฉันได้รับบัตรผ่านสถาบันคาราเมลจะไม่อะไรที่ต้องกังวลไปอีกสิบปี”
“ปู่จะมากับพวกเราด้วยเหรอ?” ถังเทียนและอาโมรี่ถามขณะที่หน้าของพวกเขาแสดงว่ามีความสุข
“ก็ไปสิวะ!” ผู้เฒ่าเว่ยพูดเด็ดขาด
“ย้า..ฮู้ววว”
“ปู่..จงเจริญ!”
ขณะที่พวกเขาร่าเริงชูมือขึ้นไปในท้องฟ้า
ผู้เฒ่าเว่ยไม่มีความสุขแววกังวลหมองคล้ำปรากฏวูบในดวงตาเขา
※※※※※※※※※※※
จู่ๆเจ้าเมืองซิงฟงก็ประกาศการค้นพบประตูดวงดาวและตอนนี้ เสียงหัวเราะคิกคักดังอยู่ภายในเมืองซิงฟง
ประตูดวงดาวบานใหม่ ก็หมายถึงการจัดการที่มั่นคง และรายได้ที่ดี
ประตูดวงดาวจะนำพาไปยังที่ไหนกันแน่? ของมีค่าอะไรจะอยู่ที่ปลายทางอีกด้านหนึ่ง?
ทุกคนพากันสงสัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าเมืองซิงฟงได้ตั้งกฎเกณฑ์สำหรับผ่านเข้าไปไม่เพียงแต่ไม่มีผู้ใดจากไป ยังมีอีกหลายคนที่เร่งรีบเข้าสู่จวนเจ้าเมืองหวังจะมีส่วนร่วมในงานชุมนุมวิทยายุทธด้วย แม้ว่าจะอันตรายสำหรับการบุกเบิกดินแดนใหม่ แต่ก็มักจะหมายถึงปาฏิหาริย์และความมั่งคั่งเสมอ
นอกจากนี้เพื่อให้ได้บัตรผ่านหมายความว่า เมื่อประตูดวงดาวเปิดอย่างเป็นทางการ พวกเขาก็จะสามารถได้รับส่วนแบ่ง
นี่จะเป็นผลประโยชน์ระยะยาวที่มั่นคง
“ท่านเจ้าเมืองวางแผนระยะยาวได้ดีอย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสอู่มองดูผู้คนหลั่งไหลเข้ามาจากข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง จึงกล่าวชื่นชม “เราดึงดูดผู้คนเข้ามาโดยไม่ต้องใช้เงินเลยแม้แต่แดงเดียว”
เจ้าเมืองซิงฟงหัวเราะ“เป็นเพราะคุณนั่นแหละ ผู้อาวุโสอู่ที่ชี้แนะผม เนื่องจากเรามีเจ้าหน้าที่อยู่ในเมืองซิงฟงแล้ว ทำไมเราไม่ปล่อยให้ทุกคนได้รับผลประโยชน์ด้วยเล่า? พวกเขาอาจจะได้รับผลประโยชน์บางอย่าง แต่เมื่อทำเช่นนี้ จะไม่มีใครคิดชิงมันไปจากเรา ซึ่งก็หมายความว่าเห็นคนอื่นเป็นศัตรู อีกอย่าง ก็จะช่วยให้งานเดินหน้าได้ ดังนั้นทำไมถึงไม่ทำล่ะ?”
“ความรู้และภูมิปัญญาของคุณพระอาทิตย์ยังอายเลยนะ” ผู้อาวุโสอู่ตอบอย่างให้เกียรติ
“เพียงแต่เวลานี้ ผมเกรงว่าหลายคนจะตาย” เจ้าเมืองถอนหายใจเบาๆ
“ความมั่งคั่ง มักมาพร้อมกับการเสียเลือดเนื้อเสมอถ้าไม่ใช่ของคุณ อย่างนั้นก็ต้องเป็นคนอื่น” ผู้อาวุโสอู่หัวเราะ “ปล่อยให้คนอื่นสละเลือดไป ส่วนเราก็แค่ทำเงิน”
เจ้าเมืองซิงฟงปรบมือหัวเราะ“ฮ่าฮ่า พูดได้ดี”
※※※※※※※※※※※※
“นี่คือโอกาส!” ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลมองดูตื่นเต้น “ฉันไม่เคยคิดเลยว่าเมืองซิงฟงของพวกเราจะมีการค้นพบประตูดวงดาว! ฮ่าฮ่า สวรรค์โปรดตระกูลโจวของเราแล้ว ตอนนี้ไม่ว่ายังไง เราต้องผ่านไปให้ได้”
มือของโจวเผิงพันผ้าพันแผลไว้ และเขาไม่พูดอะไรสักคำ เพราะอารมณ์ขุ่นมัว
“เราทำข้อตกลงกับสถาบันแอนดรูว์แล้ว และเราจะทำงานร่วมกัน” ประมุขตระกูลโจวพูดด้วยความเคารพ “ตราบใดที่บัตรผ่านตกมาอยู่ในเงื้อมมือเรา เราทั้งสองจะเพลิดเพลินกับสิทธิพิเศษของบัตรผ่าน ทางด้านเรา เราสามารถจัดคนไปได้หกคน”
ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลพยักหน้าพึงพอใจสายตาของเขากวาดไปที่โจวเผิงที่ยังรู้สึกขุ่นมัวอยู่ที่มุมหนึ่ง และพูดเย็นชา “เสียท่าเล็กน้อยแล้วเป็นไง?อีกไม่นานแกจะมีโอกาสล้างแค้นแล้ว”
ตาโจวเผิงเป็นประกายเขากำหมัดแน่นด้วยอารมณ์โกรธ
“ดีมาก แกยังคงมีวิญญาณนักสู้อยู่ในตัวแก” ผู้อาวุโสสูงสุดก้มหน้าและล้วงเอาการ์ดวิญญาณระดับเงินออกมา “นี่คือการ์ดวิชาหอกกระชากวิญญาณวิทยายุทธระดับสี่ ฉันได้มาเมื่อสมัยยังเยาว์วัย มันถูกสร้างขึ้นโดยยอดฝีมือหอกหยางหวิน น่าเศร้าไม่มีผู้ประสบความสำเร็จในตระกูลโจวที่สามารถฝึกวิชาหอกได้ และสามารถใช้ได้เพียงเรียกพลังวิญญาณออกมา ในช่วงหนึ่งเดือนนี้ ฉันรับประกันความปลอดภัยของแกได้”
พอเขาขยับนิ้วมือการ์ดเงินกลายเป็นแสงสีเงินพุ่งวาบไปอยู่ในมือของโจวเผิง
ประมุขตระกูลโจว์มีความสุขทันทีเมื่อเขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสสูงสุดที่ท่านให้ความรักเมตตาเผิงเอ๋อ เขาจะต้องฝึกฝนอย่างหนักแน่นอนเพื่อไต่เต้าไปสู่ตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่”
ผู้อาวุโสสูงสุดหัวเราะ“เรียกมันออกมา, บอกตามความสัตย์ ฉันก็ยังสงสัยอยู่ว่าพลังวิญญาณของปรมาจารย์หยางหวินจะเป็นแบบไหนและหอกกระชากวิญญาณของเขาจะเป็นเช่นไร”
ทุกคนจับตามองดูร่างของโจวเผิง หยางหวินคือปรมาจารย์หอกเมื่อสองร้อยปีที่แล้ววิชาหอกของเขามีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือ หอกสลายวิญญาณ
โจวเผิงตื่นเต้นดีใจมาก เขาขบฟันขณะที่เลื่อนนิ้วไปตามขอบการ์ด การ์ดมีขนาดบางมาก มันบาดนิ้วของเขาจนเลือดย้อมการ์ดวิญญาณ
ซู่ววว!
สายแห่งเลือดถูกดูดและซึมซับเข้าไปในด้านหน้าของการ์ดวิญญาณทันที
โห!
อุณหภูมิในห้องโถงลดลงฮวบฮาบ พอตบลงครั้งหนึ่งการ์ดวิญญาณก็แตกเป็นเสี่ยงและเปลี่ยนเป็นกลุ่มหมอกกลมสีเทา หมอกสีเทายังคงมีการเปลี่ยนแปลง
เมื่อหมอกสีเทาหายไป เด็กหนุ่มที่สีหน้าไม่มีความรู้สึกปรากฏอยู่ข้างหน้าเขายังหลับตามอยู่ เด็กหนุ่มดูเหมือนคนจริง และมีชีวิตจริง แต่สามารถเห็นได้ว่าเขาแตกต่างจากคนจริงอยู่บ้าง สีหน้าของเขาดูธรรมดา ขณะที่ผิวของเขาและเสื้อผ้าเหมือนแก้วสีเทา
นี่คือวิญญาณขุนพล
วิญญาณขุนพลนี้กำลังลอยตัวอยู่ในอากาศห่างจากพื้นอย่างน้อยหนึ่งเมตร
วิญญาณขุนพลลืมตาขึ้นทันที
บึ้ม!ปราณมหาศาลและโดดเด่นรอบตัววิญญาณขุนพลเป็นเหมือนพายุกวาดไปทั่วทุกมุมของห้องโถง
ทุกคนตกตะลึงกันหมด!