ตอนที่ 3-2 หินสลัก (2)
ภายในโรงแรมฮัวเดลี
เยล “วันนี้ เราได้รู้ว่าน้องสามนั้นเป็นช่างแกะสลักหินผู้เชี่ยวชาญต้องออกไปฉลองกันหน่อย ไปที่โรงแรมฮัวเดลีกันเถอะ” ด้วยเหตุนี้ ทั้งสี่คนจึงไปที่โรงแรมฮัวเดลีทันทีที่พวกเขาก้าวเข้าไปในโรงแรม นักเรียนหลายคนที่เดินอยู่ในโรงแรมพากันหันหน้ามองมาที่พวกเขา
สายตาของนักเรียนส่วนใหญ่จับจ้องอยู่ที่ลินลี่ย์
ดิ๊กซี่, ลินลี่ย์!
อัจฉริยะที่โดดเด่นที่สุดในสถาบันเอินส์ ทุกที่ที่พวกเขาไปถึงจะกลายเป็นจุดรวมความสนใจในที่ไกลออกไป นักเรียนหลายๆคนเริ่มพูดคุยกันเบาๆ
ตอนนี้สี่พี่น้องนั่งกันแล้ว และอาหารทยอยเสริฟเข้ามา
“จี๊ด จี๊ด” บีบี ที่หลับอยู่ตลอดเวลายื่นหัวน้อยๆของมันออกมาจากผ้าคลุมของลินลี่ย์ ดวงตาที่ดูดุร้ายและฉลาดจ้องไปที่ไก่ย่างบนโต๊ะเป็นประกายเรย์โนลด์หยิบไก่และยื่นไปให้บีบี “บีบี! เอ้านี่!”
“นายท่าน ข้าจะกินแล้วนะ” บีบีสื่อสารทางจิตกับลินลี่ย์ทันที
ก่อนที่ลินลี่ย์จะมีโอกาสตอบ บีบีกระโดดลงไปอยู่บนโต๊ะแล้วหยิบไก่มากิน ไม่ถึงสิบวินาที ไก่ย่างทั้งตัวก็ถูกหนูเงาน้อยกินเรียบ
“น้องสาม แต่ละครั้งที่ข้าได้เห็นว่าบีบีกินได้เร็วแค่ไหน ใจข้าถึงกับสั่นระรัว”เยลหัวเราะ
หลังจากกินเสร็จแล้วบีบีหันมามองลินลี่ย์ เมื่อเห็นคราบมันที่อุ้งเท้าของบีบี ลินลี่ย์อดขมวดคิ้วไม่ได้
“จี๊ด จี๊ด”
บีบีร้องร่าเริงอยู่หน้าลินลี่ย์ และปรือตาครี่งหนึ่งในท่าทางที่ดูมีความสุขมากในเวลาเดียวกัน ทั่วทั้งร่างกายของมันแผ่แสงสีดำ รังสีดำขยายออก จากนั้นก็หายไปในชั่วพริบตาแต่อุ้งเท้าทั้งสองของบีบีที่เคยเปื้อนมันกลับมาสะอาดอีกครั้งเช่นเดียวกับหางของมัน
หลังจากถูหน้าน้อยๆของตัวเอง บีบีก็จ้องไปที่ลินลี่ย์และร้องออกมาครั้งหนึ่งพร้อมกับพูดทางจิต “นายท่าน นี่สะอาดพอรึยัง”
ลินลี่ย์อดหัวเราะไม่ได้
“วืดดด” เพียงชั่วพริบตา บีบีก็มุดกลับไปอยู่ในเสื้อลินลี่ย์เช่นเดิม
แล้วจากนั้นสี่พี่น้องก็คุยไปกินไป
“จริงสิ น้องสาม ถ้าเจ้าตั้งใจจะส่งรูปสลักของเจ้าไปที่หอศิลป์พรูกซ์ มีสองสามเรื่องที่เจ้าต้องจำไว้ให้ดี”เยลเตือนลินลี่ย์
“เหรอ, มีอะไรที่ข้าต้องจำบ้าง?” ลินลี่ย์ถาม
ลินลี่ย์ไม่รู้เกี่ยวกับระบบการรับงานแกะสลักใหม่ของหอศิลป์พรูกซ์ แม้แต่น้อย
เยลยิ้ม “สำหรับรูปสลักหินส่วนมาก ที่มุมล่างซ้าย ช่างสลักจะทิ้งชื่อจริงหรือนามแฝงไว้ด้วยเพื่อระบุว่าเป็นผลงานของตัวเอง นั่นคือประการแรก ประการที่สองคือเมื่อรูปสลักถูกส่งไปที่หอศิลป์พรูกซ์ต้องถูกปิดผนึกและบรรจุใส่กล่อง ทั้งนี้เพื่อป้องกันความเสียหายระหว่างการขนส่งไปยังห้องแสดงเมื่อรูปสลักที่ปิดผนึกแล้วถูกส่งไปยังคลังสินค้าของหอศิลป์พรูกซ์ จะมีคนที่ตรวจสอบเพื่อหาจุดขายของงานและจดบันทึกรายละเอียดส่วนตัวของเจ้า ปกติจะใช้เวลาสามวันโดยประมาณ ก่อนที่งานของเจ้าจะพร้อมจัดแสดงที่ห้องธรรมดาในหอศิลป์พรูกซ์”
ลินลี่ย์พยักหน้า
การทิ้งชื่อของคนๆหนึ่งบนงานศิลป์ของเขาเป็นการป้องกันผู้อื่นแอบอ้างว่าเป็นงานของตน
ลินลี่ย์สามารถเข้าใจถึงเหตุผลที่ต้องปิดผนึกรูปสลักและบรรจุกล่อง“รูปสลักบางชิ้นถูกแกะสลักอย่างประณีตและละเอียดอ่อนในขั้นตอนการขนย้ายย่อมมีโอกาสแตกหักเสียหายได้ ถ้าเราปิดผนึกอย่างมิดชิดแล้วเพิ่มกระดาษและแผ่นผ้า ก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้น”
“แล้วเรื่องราคาและการประมูลล่ะ? หอศิลป์พรูกซ์เป็นคนจัดการให้งั้นหรือ?” ลินลี่ย์ถาม
จุดประสงค์ที่ส่งรูปสลักไปหอศิลป์พรูกซ์ นั้นก็เพราะต้องการเงิน และใช้ในการพยุงสถานะของครอบครัว
เยลพูดอย่างชื่นชม “รูปสลักถูกจัดไว้ในห้องแสดงธรรมดาและผู้ซื้อก็สามารถตั้งราคาตามที่พวกเขาต้องการ หลังจากหนึ่งเดือนผู้ที่เสนอราคาสูงที่สุดจะได้รับรูปสลัก แล้วเจ้าก็จะได้ค่าตอบแทน ตามปกติ หอศิลป์พรูกซ์จะได้รับค่าดำเนินการ 1% โดยจำกัดมากสุดที่สิบเหรียญทอง ถ้ารูปสลักของเจ้ามีราคาเกินหนึ่งพันเหรียญทองค่าตอบแทนของห้องแสดงก็ยังเป็นสิบเหรียญทองเหมือนเดิม”
ตอนนี้ลินลี่ย์เข้าใจแล้ว
“น้องสามไม่ต้องกังวล ข้าจะจัดคนในเมืองเฟนไลให้ดูแลทุกอย่างให้เอง รับประกันได้ว่าจะเป็นไปตามที่เจ้าต้องการ”เยลยิ้มให้ลินลี่ย์ในขณะที่พูด“ถ้าน้องสามของพวกเราส่งรูปสลักไปที่ห้องแสดงและขายได้ราคาดี เราก็จะพลอยได้หน้าตาไปด้วย”
จอร์จที่อยู่ข้างๆทำได้เพียงชื่นชม “น้องสาม ตอนนี้เจ้าเป็นนักเรียนเวทระดับห้าและในอนาคตเจ้าคงเป็นปรมาจารย์ด้านการแกะสลักด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย อนาคตของเจ้าไม่มีขีดจำกัดและดีกว่าพวกเราอย่างไม่ต้องสงสัย”
“ปรมาจารย์งานแกะสลักน่ะหรือ? อย่ามายอข้าเลย” ลินลี่ย์หัวเราะให้ตนเอง
สี่พี่น้องสนทนากันขณะที่กินดื่มต่อไป
“การอาศัยอยู่ในสถาบันเอินส์นี่ช่างสบายจริงๆ” สุดท้ายเยลถอนหายใจเขาวางแก้วไวน์ลง “ข้าจำตอนที่ข้ายังเด็กและอยู่ที่บ้านของข้าได้กฎภายในครอบครัวเราเข้มงวดมาก”
เรย์โนลด์เลียริมฝีปากของเขา “พวกเราทั้งหมดเป็นนักเรียนของสถาบันเอินส์จากที่ปู่โลมุว่าไว้ว่า โลกนี้นั้นวุ่นวายนัก ในโลกภายนอกนั้น มีแต่สงครามและการฆ่าฟันสถาบันเอินส์มีวิหารเจิดจรัสคอยหนุนหลัง จึงไม่มีใครกล้ารุกรานนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมพวกเราถึงอยู่กันอย่างสุขสบาย ในอนาคตเมื่อพวกเราออกไปฝึกฝนในโลกจริง พวกเราจะได้เห็นว่าโลกโหดร้ายเพียงไหน”
“ถูกต้องที่สุด”
ลินลี่ย์พยักหน้าถอนหายใจ “ตอนนี้ข้าก็เป็นนักเรียนเวทระดับห้าแล้วเพื่อนร่วมห้องของข้ามากมายได้ออกไปฝึกฝนที่โลกภายนอกแล้ว จากที่พวกเขาพูดมามีนักเรียนบางคนที่ตายในการต่อสู้ที่ข้างนอกนั่น และอีกหลายคนที่บาดเจ็บหรือพิการแต่ถ้าไม่มีประสบการณ์การต่อสู้ถึงตาย พวกเราก็พัฒนาได้ยาก”
“พวกเราก็เหมือนสัตว์เลี้ยงของพวกชนชั้นสูง ชีวิตพวกเราอาจจะง่ายๆแต่จะเทียบกับความโหดร้ายในโลกจริงได้ยังไง?” จอร์จยังคงถอนหายใจ “ข้าตั้งตารอคอยชีวิตที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอย่างที่นักเรียนชั้นสูงได้พบเจอชีวิตที่น่าตื่นเต้นนั้นต้องเร้าใจมากเป็นแน่”
จอร์จ เยล เรย์โนลด์และลินลี่ย์ล้วนอายุเกินสิบห้าปีกันหมดแล้วในใจของพวกเขามีความกระตือรือร้นต่อเหตุการณ์ภายนอกที่น่าตื่นเต้น
แต่เยลและคนอื่นนั้นอ่อนแอเกินไป ถ้าพวกเขาต้องมีชีวิตเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอย่างนั้นโอกาสที่พวกเขาจะตายนั้นมีสูงมาก
“ลินลี่ย์ ตอนนี้เจ้าเป็นนักเรียนเวทระดับห้าแล้วใช่ไหม?”สุดท้ายเรย์โนลด์ก็ถามออกมา
เยลกับจอร์จหันไปมองลินลี่ย์ ตาพวกเขาเป็นประกาย
ลินลี่ย์สูดหายใจลึกและพยักหน้า “ใช่แล้ว ตอนนี้ข้าเป็นนักเรียนเวทระดับห้าจัดได้ว่าเป็นจอมเวทชั้นสูงแล้ว ในเดือนมิถุนายน ข้าวางแผนจะเดินทางไปเขตเทือกเขาอสูรเวทสักสองเดือนแล้วกลับมาในเดือนสิงหาคม” ลินลี่ย์ตัดสินใจมานานแล้ว
“เทือกเขาอสูรเวทน่ะหรือ?”
เยล, จอร์จและเรย์โนลด์สูดลมหายใจหนาวเหน็บกันทุกคน
เทือกเขาอสูรเวท เขตภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในทวีปยูลานตั้งอยู่ห่างจากสถาบันเอินส์ไปทางทิศตะวันออกไม่ถึงร้อยกิโลเมตรนักเรียนระดับสูงหลายคนไปผจญภัยที่นั่นเพื่อการฝึกฝนในครั้งที่สองหรือสามแต่ในครั้งแรก เกือบทุกคนจะเลือกสถานที่ที่ธรรมดามากกว่า
ตัวอย่างเช่นพวกเขาอาจจะรับงานที่มีความเสี่ยงต่ำอย่างเช่นงานคุ้มกันบุคคลหรือกองคาราวาน
“ลินลี่ย์ เจ้าวางแผนจะไปเขตภูเขาอสูรเวทตั้งแต่ครั้งแรกเลยหรือ”เรย์โนลด์ถามอย่างช่วยไม่ได้ จอร์จและเยลก็เป็นกังวล
“สบายใจได้น่ะ ข้ามั่นใจเต็มเปี่ยม”
ลินลี่ย์ค่อนข้างมั่นใจในตัวเอง ทั้งในฐานะจอมเวทระดับห้าและนักรบระดับที่สี่เขามีความเร็วที่มากในฐานะนักรบและยังสนับสนุนด้วยเวทสายลม ความเร็วเสียงด้วยสองสิ่งนี้ ลินลี่ย์มีความเร็วเทียบเท่ากับนักรบระดับหก
และที่สำคัญมากกว่า
ลินลี่ย์สามารถใช้เวทลมขั้นสูงได้ เวทลอยตัว”