ตอนที่ 2-25 หกปีผ่านไป
สายน้ำยังคงไหลหมุนวนไปเรื่อยขณะที่ลินลีย์นั่งขัดสมาธิอยู่ใกล้ๆ ในมือของเขาถือเหล็กสกัดตรงและหินขนาดเท่าฝ่ามือก้อนหนึ่ง
“เริ่มด้วยพื้นฐาน ข้าจะเริ่มต้นจากก้อนหินเล็กๆ นี้ก่อนขณะที่ข้าเริ่มการฝึกฝน....”
ลินลี่ย์นั่งอยู่ที่นั่นตามลำพังในภูเขาข้างหลังสถาบันเอินส์ ภายใต้การสั่งสอนของเดลิน โคเวิร์ท เขาเริ่มเรียนศิลปะการแกะสลักหิน ขณะที่เขาเริ่มเข้าใจวิชานี้มากขึ้นเรื่อยๆ ลินลี่ย์เริ่มเข้าใจด้วยเช่นกันว่าโรงเรียนเหล็กสกัดมีส่วนทำให้ความบริสุทธิ์พลังวิญญาณเพิ่มมากขึ้น
เมื่อผู้อื่นแกะสลัก พวกเขาจำเป็นต้องใช้กองเครื่องมือขนาดใหญ่
พวกเขาต้องใช้เวลานานมาก พลังใจ แค่เพื่อตัดสินว่าเครื่องมือแบบไหนควรใช้ตรงจุดไหน ตามธรรมดาแล้ว นี้เป็นเรื่องที่เหนื่อยมาก งานศิลปะทุกอย่างแสดงถึงเลือดเนื้อและความพยายามของพวกเขา
แต่โรงเรียนเหล็กสกัดนั้นแตกต่างออกไป
ใช้เครื่องเพียงชิ้นเดียวก็คือเหล็กสกัด ดังนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องคำนึงว่าเครื่องมืออะไรควรใช้เพื่อทำอะไร ตามธรรมดาแล้ว ระดับความยากจะมากยิ่งขึ้น เนื่องจากใช้เครื่องมือแค่ชิ้นเดียว ยกตัวอย่างเช่น ใช้เหล็กสกัดในการแกะสลัก ที่โดยธรรมดานั้นไว้สำหรับมีดคว้านหยก จะต้องใช้ หลักความเข้าใจที่ลึกซึ้งมาก และการเข้าใจรูปร่างพื้นฐานของก้อนหิน
นอกจากนี้จำเป็นต้องใช้เรี่ยวแรงมาก
ถ้าผู้แกะสลักพยายามจะใช้แค่เหล็กสกัดกับงานขนาดใหญ่ ที่ตามปกติจำเป็นต้องใช้เลื่อยตัด เขาจำเป็นต้องมีพลังเรี่ยวแรงที่เพียงพอ
คนผู้นั้นสามารถใช้คุณลักษณะพิเศษของจอมเวทธาตุดินเชื่อมโยงกับดินเพื่อเข้าใจในแก่นสารของก้อนหิน แต่พลังข้อมือจำเป็นต้องฝึกฝน สำหรับจอมเวทระดับสอง พลังข้อมือของลินลี่ย์ยังนับว่าไม่เลว เพียงพอกับการแกะสลักงานชิ้นเล็กๆเท่านั้น ถ้าเขาต้องการแกะสลักงานขนาดใหญ่ พลังข้อมือของเขายังไม่เพียงพอ
อย่างไรก็ตาม...
ตอนนี้,ลินลี่ย์เพิ่งเริ่มขั้นพื้นฐานเท่านั้น
………….
เมื่อโรงเรียนปิดเทอมท้ายปีการศึกษา ลินลี่ย์กลับไปยังเมืองอู่ซัน
หลังจากผ่านปีใหม่มา วอร์ตันและลินลี่ย์พี่ชายของเขาใช้เวลาอยู่ร่วมกันเพียงไม่กี่วันหลังจากนั้น ภายใต้ฤกษ์งามยามดีของพ่อบ้านแอชลี่ย์ วอร์ตันจึงเดินทางมุ่งสู่จักรวรรดิโอเบรียน ลินลี่ย์ไม่มีทางเลือกได้แต่จ้องมองตาละห้อยมองดูวอร์ตันจากไป วอร์ตันวัยหกขวบร้องไห้ไม่หยุดจำต้องแยกจากกับลินลี่ย์วัยสิบขวบและเดินทางจากไป
เมื่อเวลาผ่านไป
ลินลี่ย์ยังคงทำตัวโดดเดี่ยวในสถาบันเอินส์ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในแต่ละวันกับการคร่ำเคร่งฝึกฝนที่ภูเขาหลังโรงเรียน
พอเข้าสู่ช่วงเวลาเติบโตเป็นเด็กวัยรุ่น ความอยากอาหารของลินลี่ย์เพิ่มขึ้นมาก และเขาเริ่มสูงขึ้นเช่นกัน ตามปกติพละกำลัง และกล้ามเนื้อของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในเรื่องศิลปะแกะสลักหิน ด้วยการสอนของเดลิน โคเวิร์ท และสองมือที่พากเพียรฝึกฝนอย่างหนัก ลินลี่ย์ยังคงมีพัฒนาการต่อไป
…………..
ฤดูใบไม้ผลิผ่านไปแล้ว ฤดูใบไม้ร่วงมาเยือนไม้ดอกบานสะพรั่งแล้วก็เหี่ยวเฉาไป พริบตาเดียวผ่านไปสามปี
ที่น้ำตกแห่งหนึ่งในภูเขาด้านหลังสถาบันเอินส์
“ซู่..ซ่า” เหมือนกับผืนสายน้ำตกไหลเทลงมา ปะทะกระแทกรุนแรงก่อเกิดเป็นแอ่งน้ำลึก
ลินลี่ย์นั่งถัดจากน้ำตก ถือเหล็กสกัดขนาดสามสิบเซนติเมตรไว้ในมือ ขณะที่เขาตัดเฉือนหินขนาดเท่าคน เหล็กสกัดในมือของเขาร่ายรำในท่วงท่าที่แทบจะเหมือนภาพมายา ทุกๆที่ที่เหล็กสกัดเฉือนผ่าน จะเห็นเศษหินชิ้นเล็กชิ้นน้อยหลุดร่วงลงเบื้องล่าง โครงร่างขั้นแรกของรูปสลักที่ทำจากหินเริ่มเห็นเป็นสัดส่วน
เขายังคงทำต่อเนื่องตั้งแต่เช้ากระทั่งเย็น รูปลักษณ์ของรูปสลักเริ่มปรากฏชัดขึ้น
สายตาลินลี่ย์จ้องมองนิ่งไปที่ก้อนหิน ในชั่วขณะนี้ ทั่วทั้งร่างของเขาเพ่งมองก้อนหิน และ ซึมซาบเอาไว้ ขณะที่หัวใจเขาได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับภายในก้อนหิน ความรู้สึกมหัศจรรย์นี้ทำให้ลินลี่ย์ไม่ยอมแม้แต่จะสังเกตเวลาที่ล่วงเลยไป การรับรู้นี้เริ่มกลายเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติทั้งหมดเป็นเหตุให้พลังจิตของลินลี่ย์เริ่มฟื้นฟูและ ยังเพิ่มพูนมากขึ้น
แต่ตัวลินลี่ย์เองไม่ทันสังเกตถึงเรื่องนี้ ขณะที่เขายังคงคร่ำเคร่งใช้เหล็กสกัดฝึกฝนทำรูปสลักไม่หยุดหย่อน
เศษชิ้นหินยังคงหลุดร่วงลงมาเรื่อยๆ เป็นเหตุให้รายละเอียดส่วนต่างๆของรูปสลักมีความชัดเจนขึ้น เมื่อถึงเวลาที่พระอาทิตย์ลับฟ้า เหล็กสกัดในมือของลินลี่ย์ก็หยุดลงในที่สุด
“เฮ้อออ!”
ลินลี่ย์ถอนหายใจเบาๆและปัดเศษหินที่ยังคงค้างอยู่ออกมา รูปสลักทั้งตัวนั้นกลายเป็นรูปร่าง หนูยาวครึ่งเมตรดูเหมือนมีชีวิต ปรากฏอยู่ข้างหน้าลินลี่ย์ ถ้าเพียงชำเลืองมองรูปนั้น คนคนนั้นอาจจะสำคัญผิดว่าเป็นหนูจริงๆ ก็ได้ นี้จึงเป็นสาเหตุให้หนูเงาน้อยบีบีเริ่มส่งเสียงจี๊ดๆดังๆ
ตั้งแต่เริ่มจนจบนี่เป็นงานที่ทำรวดเดียว
“รู้สึกน่าอัศจรรย์จริงๆ”ในตอนนี้ลินลี่ย์ตระหนักว่าความบริสุทธิ์ของพลังจิตของเขาเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เดลินโคเวิร์ทที่อยู่ในชุดสีขาวยิ้มให้กำลังใจเขาจากด้านข้าง “ลินลี่ย์ ตั้งแต่วันนี้ไป ถือได้ว่าเจ้ามีความเชี่ยวชาญขั้นพื้นฐานแล้ว รู้สึกอะไรพิเศษบ้างหรือยัง? แต่งานของเจ้าสามารถมองได้ว่าเป็นแค่ งานศิลปะเทียมๆทั่วไป แค่เหมาะสำหรับถูกวางไว้ในหอระดับฝีมือทั่วไปที่สถาบันพรูกซ์ ถ้าเจ้าจะนำไปแสดงที่นั้น ข้าคงต้องขายหน้าแน่ๆ ทำลายมันซะ”
“ขอรับ, ปู่เดลิน”
เหล็กสกัดในมือของลินลี่ย์ขยับวูบวาบหลายครั้ง ทันใดนั้นรูปสลักก็แตกออกเป็นเศษหินหลายสิบชิ้นทันที ในปีนี้ ในที่สุดเลนลีก็เชี่ยวชาญการแกะสลักหินในระดับพื้นฐาน
และปีนี้ลินลี่ย์อายุสิบสามปีแล้ว
วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า
หลังจากเชี่ยวชาญแกะสลักหินขั้นพื้นฐาน ความบริสุทธิ์พลังจิตของลินลี่ย์เริ่มก้าวหน้ารวดเร็วแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อลินลี่ย์อายุเก้าปีครึ่ง เขากลายเป็นจอมเวทระดับสอง และเมื่ออายุสิบเอ็ดปี เขากลายเป็นจอมเวทระดับสาม และเมื่อเขาอายุสิบสามปี เขากลายเป็นจอมเวทระดับสี่
นักเวทพบว่าเป็นเรื่องที่ยากยิ่งขึ้นทุกทีในการพัฒนาระดับ ขณะที่พวกเขามีพลังมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ จากระดับสี่ไประดับห้า ลินลี่ย์ควรจะใช้เวลาอย่างน้อยสามปี
แต่ในความเป็นจริง....
ในปี 9996 ตามปฏิทินยูลานเมื่อลินลี่ย์อายุสิบสี่ปีครึ่งก็เป็นจอมเวทระดับห้าแล้ว จากระดับสี่ไปเป็นระดับห้า เขาใช้เวลาเพียงปีครึ่ง ยังไวกว่าเมื่อตอนที่เขาก้าวหน้าจากระดับสามเป็นจอมเวทระดับสี่เสียอีก
นี่คือผลของการเข้าฝนฝึกในโรงเรียนเหล็กสกัด
…..
ปี 9997 ตามปฏิทินยูลานปีที่เจ็ดที่ลินลี่ย์ใช้ชีวิตอยู่ในสถาบันเอินส์ ปีนี้ลินลี่ย์อายุสิบสี่ปี
ลินลี่ย์สวมชุดสีฟ้าเดินไปตามถนนในสถาบันเอินส์หนูเงาน้อยบีบีเกาะอยู่บนบ่าของลินลี่ย์ แม้จะผ่านไปหกหรือเจ็ดปีแล้วก็ตามตัวของบีบีไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
ตอนนี้ ลินลี่ย์สูง 180 เซ็นติเมตรและมีบุคลิกที่หนักแน่นมั่นคง ความบริสุทธิ์ของธาตุดินและลมยังเพิ่มขึ้นในร่างกายของเขาอย่างต่อเนื่อง บวกกับการที่ลินลี่ย์ฝึกฝนอย่างไม่หยุดหย่อน และข้อได้เปรียบจากการสืบเชื้อสายของนักรบเลือดมังกร ลินลี่ย์กลายเป็นนักรบระดับสี่ไปแล้ว
เขาสามารถยกหินหนักร้อยปอนด์ได้อย่างสบายและใช้หมัดต่อยก้อนหินให้แตกได้
การเรียนแกะสลักหินในโรงเรียนเหล็กสกัดทำให้ความบริสุทธิ์ของพลังจิตของลินลี่ย์เพิ่มขึ้นตลอดเวลา ตั้งแต่ตอนเขาอายุสิบสามปี
เริ่มต้นปี 9997ตามปฏิทินยูลาน ลินลี่ย์เข้าเรียนชั้นระดับห้าในสถาบันเอินส์ ชั้นเรียนเดียวกับดิ๊กซี่อัจฉริยะอันดับหนึ่งของสถาบันเอินส์ ดิ๊กซี่ใช้เวลาสามปีในการเลื่อนระดับจากสี่ไปเป็นจอมเวทระดับห้า แต่จนถึงตอนนี้เขายังไม่สามารถเลื่อนจากระดับห้าเป็นระดับหกได้เลย
อายุสิบห้าปี จอมเวทระดับห้า
ลินลี่ย์และดิ๊กซี่ทั้งคู่จัดได้ว่าเป็นสิ่งแปลกประหลาดผิดธรรมดาอย่างแน่นอน แต่ภายในความคิดของคนส่วนใหญ่ ลินลี่ย์นั้นแปลกประหลาดมากยิ่งกว่านั้น เพราะว่า ตั้งแต่วันที่เขาได้รับการประเมินความสามารถของระดับสี่นั่น เขาได้ใช้เวลาเพียงแค่ปีครึ่ง ก่อนจะเข้าถึงระดับห้า
ระดับความน่าประหลาดในความก้าวหน้าของลินลี่ย์ทำให้ทุกคนอึ้ง
ตอนนี้ลินลี่ย์มีอันดับแบบเดียวกับดิ๊กซี่ขณะที่ได้รับการยอมรับจากคนทั่วไปว่าเป็น “สองสุดยอดอัจฉริยะ แห่งสถาบันเอินส์”
“ดูสิ, ลินลี่ย์นี่ เมื่อสองปีที่แล้วเขายังเป็นจอมเวทระดับสี่อยู่เลย และเมื่อปีที่แล้ว เขาก็กลายเป็นจอมเวทระดับห้าภายในปีเดียว น่าอัศจรรย์มาก ข้าว่าลินลี่ย์อาจได้เป็นจอมเวทระดับหกก่อนดิ๊กซี่ก็ได้”
“ลินลี่ย์ใช้เวลาฝึกฝนอยู่ที่หลังเขาทุกวัน เร็วๆ นี้ข้าได้ยินว่าดิ๊กซี่ก็ฝึกหนึกที่แนวเขาด้านหลังเหมือนกัน ที่สำคัญคือ เขาได้รับอิทธิพลจากลินลี่ย์”
“เป็นไปได้มากเลยทีเดียว จากการพัฒนาที่น่าตกใจของลินลี่ย์ เป็นไปได้มากที่เขาจะเข้ามาแทนที่ดิ๊กซี่ และกลายเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของสถาบันเอินส์”
…….
บนถนนมีคนมากมายที่ได้เห็นลินลี่ย์ และเริ่มสนทนากันเกี่ยวกับลินลี่ย์ในหมู่พวกเขากันเอง ขณะที่คนที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นอัจฉริยะในสถาบันเอินส์ ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใดก็ตาม ผู้คนจะพูดคุยถึงเขา แต่ถึงแม้ความแข็งแกร่งของลินลี่ย์จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่เขาก็ยังคงปฏิเสธเข้าแข่งขันประจำปี
“อัจฉริยะ?” ลินลี่ย์ยิ้มเยาะกับตัวเอง
ลินลี่ย์ไม่เคยคิดว่าตนเองเป็นอัจฉริยะ ความแข็งแกร่งของเขามาจากการฝึกฝนอย่างหนักทุกวัน เป็นเวลาหกปี เขาได้ฝึกฝนอย่างหนักมาโดยตลอดเหมือนวันแรก และนั่นรวมกับการแนะนำสั่งสอนจากเดลิน โคเวิร์ท ที่ทำให้เขามีความสำเร็จดังทุกวันนี้
“แต่ตอนนี้ ความจริงพลังของเรายังน้อยกว่าบีบีเสียอีก” ลินลี่ย์ชำเลืองมองดูบีบีบนไหล่ “บีบี พลังของเจ้าไปถึงระดับใดแล้ว?”
“จี๊ด จี๊ด” บีบียิ้มให้ลินลี่ย์ จากนั้นพูดผ่านทางใจว่า “ข้าไม่รู้เหมือนกัน เนื่องจากไม่เคยเผชิญหน้ากับอสูรเวทตัวอื่นแต่ท่านไม่ใช่คู่มือข้าแน่นอน หึหึ” บีบีมั่นใจในตนเองมาก
โดยไม่สนใจแววตาชื่นชมทั้งหมดที่จับจ้องมาที่เขาจากผู้คนต่างๆมากมาย ลินลี่ย์ออกจากประตูหลังของสถาบันเอินส์และเข้าสู่แนวเขาอย่างใจเย็น เป็นการเริ่มการฝึกอย่างโดดเดี่ยวของเขาอีกครั้งหนึ่ง หกปีที่ผ่านมานั้นก็ผ่านไปเหมือนเช่นวันเดียว เป็นสาเหตุของความสำเร็จของเขา
ลินลี่ย์พุ่งตรงเข้าป่าไปอย่างรวดเร็วตามปกติ ขณะที่หนูเงาน้อยบีบียังคงจ้อผ่านการเชื่อมโยงทางใจกับเขาไม่มีหยุด “เจ้านายเมื่อไหร่จะพาข้าเข้าแนวเขาสัตว์เวทเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งของเรา? ท่านเป็นจอมเวทระดับห้าไปแล้ว ควรจะเริ่มทดสอบตนเองได้แล้ว และข้า บีบี จะได้แสดงฝีมือสุดยอดของข้าให้ดู”
“ไม่ต้องรีบ” ลินลี่ย์ตอบสั้นๆ
“ท่านกำลังทำร้ายจิตใจข้านะ โธ่, ข้าเป็นอสูรเวทแต่กลับไม่ได้เข้าเทือกเขาสัตว์เวทเลยแม้แต่ครั้งเดียว น่าเศร้าจัง!” หลังจากผ่านไปหกปีความสามารถในการสื่อสารของบีบีก้าวหน้าอย่างเห็นได้ชัด
“เงียบเลยนะ ถ้าเจ้ายังก่อกวนอีก ตั้งแต่วันนี้ไป ข้าจะไม่ช่วยเจ้าปรุงอาหารอีก” ทันทีที่ลินลี่ย์พูดคำนี้ บีบีหุบปากของมันทันทีและไม่ทำเสียงใดๆอีกเลย
หลังจากเข้าไปในภูเขาแล้ว เดลิน โคเวิร์ทปรากฏตัวอยู่ข้างๆ เขา พอมองเห็นลินลี่ย์ เดลิน โคเวิร์ทรู้สึกพอใจมาก
“ลินลี่ย์” เดลิน โคเวิร์ทเอ่ยขึ้นทันที
ลินลี่ย์หันไปยิ้มให้เดลินโคเวิร์ทและยิ้มให้เขา ขณะที่สนทนาทางจิตกับเขา “ปู่เดลิน เกิดอะไรขึ้นหรือ?”
เดลินโคเวิร์ทยิ้ม “เรื่องงานศิลปะสองสามชิ้นสุดท้ายของเจ้าล่าสุด ข้าขอยืนยันอย่างเป็นทางการว่าฝีมือแกะสลักหินของเจ้าเข้าขั้นเริ่มต้นแล้ว”
นัยน์ตาลินลี่ย์เป็นประกายโดยมิได้ตั้งใจ
ปู่เดลินของเขามีอารมณ์ที่แปลกประหลาด งานศิลปะทุกชิ้นที่ไม่ถึงมาตราฐานของเขา จะต้องถูกทำลายโดยทันที จากคำพูดของเขา “ถ้างานศิลป์เหล่านี้ปรากฏขึ้นบนโลก งานพวกนี้จะทำให้โรงเรียนเหล็กสกัดของข้าเสียหน้า และสำหรับข้าเอง จอมเวทผู้วิเศษระดับเซียน ก็พลอยขายหน้ากับเขาด้วยเช่นกัน”
ดังนั้น ลินลี่ย์ถูกบังคับให้ทำลายงานแกะสลักที่เขาทำขึ้นทุกชิ้น ถึงแม้ว่างานเหล่านั้นจะสามารถเอาไปขายทำเงินได้บ้างก็ตาม
“เข้าขั้นเริ่มต้นแล้ว? ปู่เดลิน ท่านหมายความอย่างนั้นหรือ?” ลินลี่ย์จ้องมองเดลินโคเวิร์ทด้วยความประหลาดใจ
เดลินโคเวิร์ทพยักหน้าอย่างสบายใจ “ใช่แล้ว ตั้งแต่วันนี้ไป หลังจากงานสลักหินของเจ้า ไม่จำเป็นต้องทำลายอีกแล้ว มันมีค่าพอที่จะคงอยู่ในโลกนี้ ถ้าเจ้าต้องการ เจ้าจะส่งงานแกะสลักของเจ้าไปที่สถาบันพรูกซ์เพื่อขายก็ได้ และจากนั้นเริ่มสร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนเหล็กสกัดของเรา ในเวลาเดียวกัน เจ้าสามารถทำรายได้เล็กๆน้อยๆให้กับตัวเองได้ด้วย”