ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 50 ไม่อยากเชื่อ
ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 50 ไม่อยากเชื่อ
เมื่อเผชิญกับคำถามของทุกคนเย่ชิวเพียงยิ้มและไม่กล่าวอะไร เขารู้สึกสดชื่นและภูมิใจในทันที
แค่ก… พวกเจ้าใจเย็นไม่เป็นหรือ ข้าขอเปลี่ยนท่าทางให้พร้อมโอ้อวดเสียก่อน
กระแสน้ำวนวิญญาณที่หมุนวนในท้องฟ้านั้นรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งนี้ทำให้ทุกคนกังวลเป็นอย่างมาก
หมิงเยว่ดึงมือของเย่ชิวมาเขย่าอย่างรีบเร่ง “ศิษย์น้อง บอกข้ามาเร็วเข้า อย่าทำให้ข้าต้องขาดใจตาย”
หากนางอยู่นิ่งก็คงไม่เป็นไร ทว่าหากนางเขย่ามือ หน้าอกของนางก็จะสั่นตามไปด้วย เย่ชิวรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อยและเกือบจะกำเดาไหลออกมา
โชคดีที่เขาบ่มเพาะมาหลายปีและมีใบหน้าที่หนาเป็นอย่างมาก แม้แต่จรวดมิซไซล์ในชีวิตก่อนก็ไม่สามารถเจาะทะลุได้ สีหน้าของเขาสงบนิ่งราวกับสุนัขแก่ มิฉะนั้นเขาจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างแน่นอน
“แค่ก แค่ก…” เมิ่งเทียนเจิ้งไอและสงบสติอารมณ์ลง เขาพูดอย่างจริงจังว่า “ศิษย์น้องเย่ รีบบอกเร็วเข้าว่าใครเป็นต้นเหตุของปรากฏการณ์นี้”
เย่ชิวยิ้มและกล่าวว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนักเยินยอข้าเกินไป ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดจากศิษย์ของข้า ทว่าเกิดจากศิษย์จากขุนเขาท่าน”
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ดังออกมา หลายคนก็เงียบลง
ศิษย์ของขุนเขาแรก เจ้ากำลังล้อเล่นหรือ
เหตุใดศิษย์ของขุนเขาแรกจึงมาทำการบ่มเพาะบนขุนเขาเมฆาม่วงและทำให้เกิดเหตุการณ์ใหญ่โตเช่นนี้
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะมองไปยังเมิ่งเทียนเจิ้ง ทว่าสีหน้าของฉีอู๋ฮุ่ยนั้นน่าเกลียดเป็นอย่างมากในขณะที่เขากล่าวว่า “ศิษย์พี่ ท่านรับศิษย์อัจฉริยะเช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อใดกัน ไม่คาดคิดว่าจะแอบซ่อนเขาไว้ที่ขุนเขาเมฆาม่วง เหมือนว่าพวกเราจะไม่รู้อะไรแม้แต่น้อย”
หยางอู๋ตี๋กล่าวว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ท่านมากเกินไปกัน ท่านบอกว่าจะไม่รับศิษย์เพิ่มอีกในอนาคตและจะมอบศิษย์ที่มีความสามารถโดดเด่นแก่พวกเรา ทว่าท่านกลับแอบกระทำเช่นนี้ ท่านปิดบังพวกเรามาหลายปี ช่างน่าหดหู่ใจเกินไป”
เมิ่งเทียนเจิ้ง “...”
เจ้าบัดซบ ข้าไม่รู้อะไรเลยแม้แต่น้อย ผ่านมากี่ปีแล้วที่ข้ารับศิษย์ มีศิษย์อีกคนหนึ่งปรากฏขึ้นเมื่อใดกัน
“ศิษย์น้องเย่ หยุดปิดบังได้แล้ว รีบอธิบายให้พวกเขาฟังเร็วเข้า” เมิ่งเทียนเจิ้งเหงื่อตก เขาไม่เคยรับศิษย์เพิ่ม แล้วผู้ที่กระทำเช่นนี้จะกลายเป็นศิษย์ของขุนเขาแรกได้อย่างไรกัน
ไม่นานนักจู่ ๆ เขาก็จดจำอะไรบางอย่างได้ ดูเหมือนว่ามีศิษย์ของขุนเขาแรกที่อยู่ในขุนเขาเมฆาม่วง
ในขณะที่เขากำลังสงสัย เย่ชิวก็ยิ้มและกล่าวว่า “หากท่านเห็น พวกท่านก็จะรู้เองว่าเป็นผู้ใด…”
ในขณะที่เขาพูด เขาก็ถอยห่างออกไปและทุกคนก็รีบมองไปยังใจกลางของห้องฝึกซ้อม
ปรากฏเป็นร่างชายหนุ่มรูปงามในชุดขาว
“นี่มัน…”
“นี่ไม่ใช่ศิษย์หลานชิงเฟิงหรอกหรือ”
เสียงของทุกคนต่างสั่นระเรือ ศิษย์ของขุนเขาแรกที่เย่ชิวกำลังกล่าวถึงคือหัวหน้าศิษย์ของสำนักเยียวยาสวรรค์ หลิวชิงเฟิงใช่หรือไม่
“แท้จริงแล้วคือท่านพี่…” เบื้องหลังหมิงเยว่ หลิวรู่หยานปิดปากตนเองด้วยความตกตะลึง
เดิมทีนางคิดว่าปรากฏการณ์นี้เกิดจากศิษย์ของขุนเขาเมฆาม่วง ทว่านางไม่เคยคาดคิดเลยว่าคนคนนั้นคือพี่ชายแท้ ๆ ของนาง
แม้แต่เมิ่งเทียนเจิ้งก็ยังตกใจ ในฐานะศิษย์ของเขา เขามีความเข้าใจในหลิวชิงเฟิงเป็นอย่างดี
ระดับการบ่มเพาะในปัจจุบันของหลิวชิงเฟิงอยู่ที่ขอบเขตสวรรค์ขั้นที่ 5 เท่านั้น เขาจะกระตุ้นการหล่อเลี้ยงจากฟ้าดินที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ได้อย่างไร
“ศิษย์น้องเย่ เกิดอะไรขึ้น” เมิ่งเทียนเจิ้งกล่าวด้วยท่าทางเคร่งขรึม พวกเขาสงสัยอย่างมากเกี่ยวกับสิ่งที่เย่ชิวกระทำ
เหตุใดหลิวชิงเฟิงถึงทำให้เกิดเหตุการณ์ใหญ่โตเช่นนี้
เย่ชิวยักไหล่และพูดอย่างสบาย ๆ ว่า “ไม่มีอะไรมาก ข้าเพียงเอ่ยวาจาออกมาไม่กี่คำเท่านั้น ทว่าเขากลับตรัสรู้ได้”
ทุกคนต่างพูดไม่ออก
เจ้าจริงจังกว่านี้ได้หรือไม่ การเอ่ยเพียงสองสามคำก็ทำให้ผู้อื่นตรัสรู้หรือ ผายลม
“การตรัสรู้” หมิงเยว่มองไปยังหลิวชิงเฟิงด้วยความประหลาดใจ เมื่อรวมกับปรากฏการณ์บนท้องฟ้า มันตรงกับสิ่งที่เย่ชิวกล่าวมาไม่มีผิดเพี้ยน
หลายคนไม่รู้ว่าการตรัสรู้คืออะไร
นี่เป็นปรากฏการณ์การบ่มเพาะที่หายาก
“เหลือเชื่อ ผู้ฝึกตนอาจไม่สามารถเข้าใจมันได้แม้แต่ครั้งเดียวแม้ว่าจะใช้เวลาทบทวนเป็นร้อยปีก็ตาม”
“เขากล่าวอะไรกัน เหตุใดศิษย์หลานชิงเฟิงถึงตรัสรู้ได้”
ทุกคนมีคำถามเดียวกันอยู่ภายในใจ ทว่าเมิ่งเทียนเจิ้งนั้นเป็นผู้ที่อยากรู้อยากเห็นมากที่สุด
ท้ายที่สุดแล้ว ลูกศิษย์ของเขาเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้
เมื่อมองย้อนกลับไป ปรมาจารย์ของขุนเขาเมฆาม่วงที่เคยโดนทุกคนดูถูกคือผู้ที่เก็บตัวมากที่สุด
ฉีอู๋ฮุ่ย หยางอู๋ตี๋ และคนอื่น ๆ มีสีหน้าจริงจัง นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาตระหนักอย่างแท้จริงว่าเย่ชิวนั้นน่าหวาดกลัวเพียงใด
ปรมาจารย์ขุนเขาหนุ่มคนนี้ไม่เพียงจะปิดบังตัวตน ทว่ากลับอยู่เหนือพวกเขาอย่างเงียบ ๆ แล้ว
เย่ชิวสวมชุดขาวและมีจี้หยกห้อยอยู่ที่เอวซ้าย ในตอนนี้เขามีกลิ่นอายเซียนกระจายออกมาลาง ๆ ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าชายคนนี้สามารถควบคุมเมฆฝนได้เพียงพลิกฝ่ามือเท่านั้น
“นี่ยังเป็นอาจารย์ลุงเย่ที่เรารู้จักในตอนนั้นหรือเปล่า”
“ไม่น่าเชื่อเลย! ข้าคิดเสมอว่าเขานั้นอ่อนแออย่างที่ลือกัน ไม่คาดคิดว่าเขาจะมีความสามารถเช่นนี้”
ศิษย์บางคนที่อยู่ที่นั่นต่างตกใจ ในขณะที่บางคนกลับรู้สึกเสียใจ
“ในอดีต ว่ากันว่าแม้แต่สุนัขก็ยังไม่ยอมเยือนขุนเขาเมฆาม่วงเลยแม้แต่น้อย ทว่าในตอนนี้ ผู้คนนับไม่ถ้วนกำลังร้องไห้เสียใจ”
“เมื่อเทียบกับขุนเขาอื่น ๆ แล้ว ที่นี่คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเซียนอย่างแท้จริง”
“ที่นี่มีทิวทัศน์สวยงาม เต็มไปด้วยศิษย์ที่โดดเด่น และยังมีอาจารย์คอยสั่งสอนแบบตัวต่อตัวอีกด้วย การเป็นเซียนไม่ใช่เรื่องยากเลยแม้แต่น้อย”
“ยิ่งไปกว่านั้น ข้าได้ยินมาว่าอาจารย์ลุงเย่ไม่เคยปิดบังศิษย์ของเขาและเป็นคนที่ใจกว้างเป็นอย่างมาก”
“เขามอบสมบัติและเคล็ดวิชาการบ่มเพาะให้พวกเขา ทั้งยังติดตามความก้าวหน้าในการบ่มเพาะของศิษย์และชี้ให้เห็นปัญหาที่พวกเขาพบได้ตลอดเวลาเพื่อจะได้แก้ไขได้ทันเวลา”
เหล่าศิษย์ต่างปรึกษาหารือกัน ทว่ายิ่งพูดก็ยิ่งเสียใจ เหตุใดพวกเขาถึงไม่เลือกขุนเขาเมฆาม่วงในตอนนั้น
พวกเขาจะอาจารย์ที่ดีเช่นนี้ได้จากที่ไหนกัน
เมิ่งเทียนเจิ้งใช้เวลาครู่หนึ่งเพื่อฟื้นสติ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงเป็นเจ้าสำนัก เขามองดูเย่ชิวอย่างลึกซึ้ง จากนั้นมองไปยังหลิวชิงเฟิงซึ่งยังคงอยู่ในสภาวะการตรัสรู้
ดูเหมือนว่าการตัดสินใจครั้งก่อนของเขาจะถูกต้อง เขาต้องให้ความสนใจกับ ขุนเขาเมฆาม่วงมากขึ้นจริง ๆ
ปรมาจารย์ขุนเขาที่โดดเด่นและศิษย์ของเขาก็โดดเด่นเช่นกัน
เขาจำเป็นต้องดูแลขุนเขาเมฆาม่วงเป็นพิเศษ อย่างน้อยที่สุด เขาก็ไม่สามารถปล่อยให้ขุนเขาเมฆาม่วงต้องทนทุกข์ทรมานในเรื่องทรัพยากรได้
เมิ่งเทียนเจิ้งลูบเคราของเขาและตัดสินใจอย่างลับ ๆ
หมิงเยว่ยืนอยู่ข้างกายเย่ชิวด้วยความงุนงง นางเงยหน้าขึ้นมองศิษยน้องที่สูงกว่านางครึ่งหัว ทันใดนั้นนางก็รู้สึกได้ว่าศิษย์น้องคนเล็กที่ก่อนหน้านี้อ่อนแอได้กลายเป็นตัวตนที่สูงตระหง่าน ซึ่งนางทำได้เพียงเงยหน้าขึ้นมองเสียแล้ว
นางหมกมุ่นอยู่กับความคิดนี้โดยไม่รู้ตัว แววตาของนางเต็มไปด้วยความชื่นชม ไม่นานนางก็หน้าแดงทันทีเมื่อรู้เช่นนี้
นางมองเย่ชิวอย่างหงุดงิดเม้มปากและไม่ได้พูดอะไร
“ศิษย์น้อง บอกความจริงแก่ข้ามาเสียเถอะ เจ้ากล่าวอะไรเกี่ยวกับมหาเต๋า เหตุใดศิษย์หลานชิงเฟิงจึงเข้าสู่การตรัสรู้ได้ง่ายดายเช่นนี้” ฉีอู๋ฮุ่ยปล่อยวางข้อขัดแย้งก่อนหน้านี้และกล่าวถาม
เย่ชิวยักไหล่และกล่าวอย่างสบาย ๆ ว่า “ข้าไม่ได้กล่าวอะไรเลย ข้าเพียงชี้แนะบางอย่างแก่ลูกศิษย์ของข้า ทว่าเขายืนฟังด้านข้างอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตรัสรู้…”
ทุกคนที่ได้ฟังต่างนิ่งเงียบ
“……”
เหตุใดทุกอย่างจึงฟังดูเรียบง่ายเช่นนี้ ข้าชื่นชมเจ้ายิ่งนักที่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างใจเย็น
“โปรดชี้แนะได้หรือไม่”
ปรมาจารย์สองสามคนก้มหัวลงและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
พวกเขาต่างมึนงง…
เด็กคนนี้จงใจไม่อยากพูด ไม่มีทางที่เขาจะหลอกลวงปรมาจารย์อย่างเราได้
ชี้แนะบางอย่างเท่านั้นหรือ เชื่อตูดข้าสิ เจ้าต้องการปิดบังไม่ใช่หรือ