ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 49 การตรัสรู้
ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 49 การตรัสรู้
“อาจารย์ลุงเย่ช่างถ่อมตัวจริง ๆ ข้าได้เรียนรู้บทเรียนแล้ว…” หลิวชิงเฟิงเหงื่อตก
ในขณะนี้ หลินชิงจู้ได้ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่า “เดี๋ยวก่อน ท่านอาจารย์ เกิดอะไรขึ้นข้างนอกหรือ เหตุใดจึงมีคนจำนวนมากอยู่บนขุนเขาเมฆาม่วงของเรา”
“ใช่แล้ว เมื่อเรากลับมา เราเห็นผู้คนมากมายอยู่บนภูเขาทางเหนือ”
เย่ชิวตกตะลึงเขาไม่รีบร้อนที่จะตอบ ทว่าค่อย ๆ จิบชาวิญญาณขมที่เซียวอี้เพิ่งมอบให้อย่างสบายใจ
คำแรกนั้นรู้สึกขมเล็กน้อย เขาค่อยๆ ลิ้มรสรสรสชาติอย่างตั้งใจ ต้องทุกข์ก่อนถึงจะสุขได้
“อ่า…” เย่ชิวถอนหายใจด้วยความเพลิดเพลิน อ่า… รสชาติของเงิน…
เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับชาวิญญาณขมมาก่อน เรียกได้ว่าเป็นชาที่มีชื่อเสียงเฉพาะของเมืองกวงหลิง ผู้ที่สามารถดื่มชานี้ได้โดยพื้นฐานแล้วมีเพียงผู้ที่มีฐานะสูงส่งเท่านั้น
“อะแฮ่ม อะแฮ่ม…” เย่ชิวกระแอมเบา ๆ และกล่าวช้า ๆ “คนเหล่านี้ล้วนมาจากตระกูลเซียว ตระกูลเซียวส่งของขวัญมาให้เรามากมาย มีทองคำหนึ่งหมื่นตำลึงและยังเตรียมที่จะช่วยเราสร้างโถงฝึกซ้อมด้วย”
ทั้งสองคนรู้สึกประหลาดใจ
“จริงหรือ”
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา หลินชิงจู้ได้พาจ้าวว่านเอ๋อไปเที่ยวรอบ ๆ ขุนเขาอื่น ๆ ด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ
ในบรรดาขุนเขาทั้งเจ็ดนั้น ขุนเขาแรกนั้นสง่างามที่สุด ตามมาด้วยขุนเขาซ่อนกระบี่ ห้องฝึกซ้อมนั้นหรูหราและโดดเด่นเป็นอย่างมาก และแม้แต่สภาพที่พักก็ดีมากเช่นกัน
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ขุนเขาเมฆาม่วงนั้นย่ำแย่เกินไป พวกเขายากจนกระทั่งเหลือกระท่อมไม้เพียงไม่กี่หลังเท่านั้น
“นี่ไม่ได้หมายความว่าเราจะมีบ้านหลังใหม่ให้อยู่ในอนาคตไม่ใช่หรือ”
เย่ชิวพยักหน้าและกล่าวว่า “ถูกต้อง มีบ้านใหม่ให้อยู่อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม พวกเราผู้ฝึกตนไม่ได้สนใจรูปลักษณ์ภายนอกและที่อยู่อาศัยมากนัก”
“ในฐานะผู้ฝึกฝนตามวิธีเซียน สิ่งสำคัญอันดับแรกของเราคือการบ่มเพาะ การใกล้ชิดกับธรรมชาติเท่านั้นจึงจะเข้าใจธรรมชาติ”
“มีเพียงการทำตามเสียงหัวใจของเราเท่านั้นที่จะทำให้เราไร้กังวล หากเจ้าให้ความสนใจกับสิ่งที่เรียกว่ารูปลักษณ์มากเกินไป มันจะเป็นการจำกัดอนาคตของเจ้า”
“เจ้าต้องรู้ว่าสิ่งดี ๆ ก็เหมือนแม่น้ำ เป็นผลประโยชน์ไหลไปสู่ผู้คนมากมาย ทว่าอย่าหลงระเริงกับความดีที่ได้กระทำลงไป ปล่อยให้ธรรมชาติเป็นไปตามวิถีของมัน…”
หลิวชิงเฟิงตกตะลึงทันทีที่ได้ยินพูดคำเหล่านี้
“การใกล้ชิดกับธรรมชาติเท่านั้นจึงจะเข้าใจธรรมชาติได้ เพียงแค่ทำตามเสียงหัวใจของเราเท่านั้นที่จะทำให้เราไร้กังวล…” หลิวชิงเฟิงพึมพำคำเหล่านี้และตกตะลึงในทันใด
เขาไม่ได้คาดหวังว่าอาจารย์ลุงเย่จะเข้าใจเต๋าลึกซึ้งเพียงนี้แม่ก่อน
เหลือเชื่อ อาจารย์ลุงเย่เข้าใจเต๋าในขอบเขตดังกล่าวแล้ว ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขากลายเป็นยอดฝีมือระดับปรมาจารย์ยุทธตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่อนึกถึงสิ่งนี้สีหน้าของเขาก็แข็งทื่อทันที
เขาจำได้ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาตนเองใส่ใจเกี่ยวกับสถานะของเขาในฐานะผู้ที่ถูกเรียกว่าหัวหน้าศิษย์และความคิดเห็นของผู้อื่นมากกว่าเกิน เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบ เพื่อที่คนอื่นจะไม่ได้วิจารณ์เขา
ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่าความหลงใหลของเขานั้นถลำลึกเกินไปน จนเขาลืมความตั้งใจดั้งเดิมในการบ่มเพาะ
“นี่…” เมื่อนึกถึงสิ่งนี้สีหน้าของหลิวชิงเฟิงก็กลายเป็นขมขื่น ในฐานะหัวหน้าศิษย์ พรสวรรค์ของเขาไม่ได้เลวร้ายเลย ตั้งแต่เริ่มต้น เขาไม่ได้ด้อยกว่าเหออู๋ซวงเลย
อย่างไรก็ตาม ระดับการฝึกฝนของเหออู๋ซวงนั้นเหนือกว่าเขาถึงสี่ขอบเขตย่อย ช่องว่างดังกล่าวได้ทำลายความมั่นใจของเขาอย่างมาก
ตอนนี้เมื่อเขาได้ยินคำพูดของเย่ชิว เขาก็รู้สึกเหมือนตนเองได้ตื่นขึ้นจากความฝัน
“เต๋าอาจกล่าวได้ว่าไม่ธรรมดา…”
“สรรพสิ่งทั้งปวงล้วนมีและไม่มีตัวตน…”
“ทุกอย่างมีกฎของมัน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจ้า ปล่อยให้ธรรมชาติคัดสรร”
ทันใดนั้นกลิ่นอายที่อ่อนโยนก็ค่อย ๆ เปล่งออกมาจากร่างกายของหลิวชิงเฟิง
เย่ชิวขมวดคิ้วและมองดู “หืม เด็กคนนี้เป็นอะไรไป”
หลินชิงจู้และจ้าวว่านเอ๋อก็ตกใจเช่นกันและรีบยืนอยู่ข้าง ๆ
“นี่คือสัญญาณของการก้าวหน้า”
ทั้งสามคนตะลึง เย่ชิวได้กล่าวไปอย่างไม่ตั้งใจ ทว่ากลับทำให้หลิวชิงเฟิงทะลวงขีดจำกัน
เย่ชิวรู้สึกขบขันไม่น้อย เขาบอกให้ลูกศิษย์สองคนยืนห่าง ๆ และมองดูหลิวชิงเฟิงด้านล่างอย่างเงียบ ๆ เพื่อดูว่าเขาจะทะลวงผ่านขอบเขตใดไปได้บ้าง
“น่าสนใจ การตรัสรู้อย่างงั้นหรือ” มุมปากของเย่ชิวโค้งขึ้นเล็กน้อย สิ่งที่เกิดขึ้นกับหลิวชิงเฟิงคือการตรัสรู้ของผู้ฝึกตน
สิ่งนี้นี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถบรรลุได้เพียงเพราะต้องการ ต้องใช้ความเข้าใจสูงมากและมีวาสนาอยู่พอสมควร
เงื่อนไขนั้นยากเป็นอย่างมาก แต่หากเขาสามารถเข้าสู่การตรัสรู้ได้ สิ่งนี้ย่อมดีกว่าเม็ดยาเซียนใด ๆ
ลมได้พัดพา หลิวชิงเฟิงนั่งลงและเข้าสู่การตรัสรู้
ในชั่วพริบตา พลังวิญญาณในร่างกายของเขาพุ่งสูงขึ้นราวกับกระแสน้ำในทะเลสาบความฝันเมฆา
เขาดูดซับปราณจากฟ้าดินอย่างตะกละตะกลามและรวบรวมเป็นลูกบอลพลังปราณขนาดใหญ่ ท่ามกลางท้องฟ้าก็ได้เกิดปรากฏการณ์ชวนตะลึงเช่นกัน
ในขณะนี้ ในโถงหยกพิสุทธิ์ เมิ่งเทียนเจิ้งซึ่งกำลังทำสมาธิอยู่ก็ได้ลืมตาขึ้น
“นี่คือ…”
“การหล่อเลี้ยงจากฟ้าดิน”
ปรากฏการณ์นี้อยู่ในทิศทางของขุนเขาเมฆาม่วง เมิ่งเทียนเจิ้งตกใจเป็นอย่างมาก เหตุการณ์เช่นนี้หาได้ยากแม้ในรอบร้อยปี อาจเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากศิษย์ของ ขุนเขาเมฆาม่วง
เขาไม่สามารถนั่งนิ่งได้อีกต่อไป เขาบินตรงไปยังขุนเขาเมฆาม่วงทันที ต้องการรับชมเหตุการณ์อัศจรรย์นี้ด้วยตาของเขาเอง
ในเวลาเดียวกัน บนขุนเขาวารีนภา หมิงเยว่เจินเหรินกำลังสั่งสอนหลิวรู่หยาน ทันใดนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นและเห็นพายุหมุนวนรอบขุนเขาเมฆาม่วงทันใด
นางพูดด้วยความตกใจว่า “การหล่อเลี้ยงจากฟ้าดิน ใครเป็นต้นเหตุสิ่งนี้กัน”
“ท่าอาจารย์อาจเป็นอาจารย์ลุงเย่หรือไม่” หลิวรู่หยานถามด้วยความสงสัย หลังจากครั้งล่าสุดที่เจอกัน พวกเขาได้ตระหนักอย่างลึกซึ้งว่าอาจารย์ลุงเย่คนนี้ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะขยะในสำนักเยียวยาสวรรค์นั้นไม่ได้เหมือนกับที่พวกเขาจินตนาการไว้
ไม่เพียงแต่เขาทรงจะพลังเท่านั้น ระดับการบ่มเพาะของเขายังไม่สามารถหยั่งถึง นิสัยของเขายังเป็นคนเรียบง่ายและเก็บตัว เขาซ่อนความแข็งแกร่งไว้ไม่แสดงออกมาแม้แต่น้อย
พวกเขาชื่นชมการกระทำของยอดฝีมือเช่นนี้
หมิงเยว่ตกตะลึง การที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ได้ คนนั้นต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน นางกล่าวว่า “รู่หยาน ไปกันเถอะ ตามข้าไปดูสิ่งมหัศจรรย์ของโลกใบนี้ บางทีเจ้าอาจเข้าใจอะไรบางอย่างจากมัน”
ทันใดนั้น ร่างสองร่างก็ลอยขึ้นจากพื้นและบินไปยังขุนเขาเมฆาม่วง
เมื่อพายุบนท้องฟ้าขยายใหญ่ขึ้น เกือบทุกคนในขุนเขาทั้งเจ็ดในสำนักเยียวยาสวรรค์ได้ค้นพบเหตุการณืนี้
ทั้งสำนักต่างตกตะลึง
บนขุนเขาขุนเขากระบี่เร้นลับ ฉีอู๋ฮุ่ยเพิ่งกลับมาจากเชิงเขาและยังไม่ได้พักผ่อนด้วยซ้ำ จู่ ๆ เขาก็รู้สึกถึงกลิ่นอายอันทรงพลังที่ไหลเวียนอยู่บนขุนเขาเมฆาม่วง
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขามองไปยังเหตุการณ์ประหลาดบนท้องฟ้า หลังจากเห็นแหล่งที่มา สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที
“ขุนเขาเมฆาม่วงอีกแล้วหรือ! บัดซบ…”
ในสำนักเยียวยาสวรรค์มีหลายร่างกำลังบินไปยังขุนเขาเมฆาม่วง
หลังจากนั้นไม่นาน เย่ชิวก็รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของกิ่ลอายด้านนอก เขาเดินออกจากห้องฝึกซ้อนอย่างช้า ๆ และตกตะลึงทันที “บัดซบ! คนเยอะขนาดนี้เลยหรือ”
กาลครั้งหนึ่ง ขุนเขาเมฆาม่วงก็เคยเป็นขุนเขามีชีวิตชีวาเช่นกัน ทว่าเป็นเหตุการณ์เมื่อหลายร้อยปีก่อน
ในขุนเขาเมฆาม่วงปัจจุบันมีเพียงสองหรือสามคนเท่านั้นที่ยังอาศัยอยู่
เย่ชิวตกใจมากที่มีคนจำนวนมากมาเยือนพร้อมกันในวันนี้
ร่างหนึ่งแวบผ่านมาอย่างรวดเร็ว ในเวลาไม่ถึงอึดใจ เมิ่งเทียนเจิ้งก็ปรากฏตัวขึ้นข้าง ๆ เย่ชิว
“ศิษย์น้องเย่ ใครกันที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้” เมิ่งเทียนเจิ้งถามอย่างกังวลใจ ผู้ที่จะทำให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ได้จะต้องเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง
เขาจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไรเนื่องจากคนที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้อยู่ในสำนักเยียวยาสวรรค์ เขาอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมากมาก ใครกันทำให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้
เป็นหลินชิงจู้หรือเป็นจ้าวว่านเอ๋อที่เพิ่งเข้ามาสำนัก
เย่ชิวยิ้มและไม่ได้กล่าวตอบอะไร ขณะที่เขากำลังจะอ้าปาก ก็มีอีกสองสามร่างร่อนลงมา
“ฮ่าฮ่า ศิษย์น้องเย่! ขุนเขาเมฆาม่วงของเจ้าเป็นสถานที่ที่งดงามยิ่งนัก ด้วยภูเขาที่สวยงามและน้ำทะเลใสเช่นนี้ ข้าตกใจเกี่ยวกับปรากฏการณ์การหล่อเลี้ยงจากฟ้าดินยิ่งนัก”
ก่อนที่เขาจะมาถึง เสียงของเขาก็ดังมาก่อนแล้ว ไม่จำเป็นต้องเดา มีเพียงหยางอู๋ตี๋ จากขุนเขาขุนเขาแปรกระบี่เท่านั้นที่สามารถส่งเสียงที่ลึกล้ำเช่นนี้ได้
หลังจากนั้นไม่นาน หมิงเยว่ก็ร่อนลงมาอย่างช้า ๆ พร้อมกับหลิวรู่หยานและกล่าวเบา ๆ ว่า “ศิษย์น้องเย่ เจ้าทำให้พวกเราประหลาดใจอีกครั้งแล้ว”
“บอกมาเร็วเข้าว่าใครกันที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้” หมิงเยว่ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น สายตาของนางยังคงจับจ้องอยู่ที่กระแสน้ำวนด้านบนด้วยความตกใจ