ตอนที่แล้วยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 47 ข้าคือผู้ฝึกตน ข้าไม่สนใจเงินทอง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 49 การตรัสรู้

ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 48 ตกตะลึง


ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 48 ตกตะลึง

“ท่านอาจารย์ พวกเรากลับมาแล้ว…”

เสียงดังนำก่อนที่พวกเขาจะเข้ามา

หลินชิงจู้และจ้าวว่านเอ๋อเดินจับมือกัน ทันทีที่พวกเขาเข้ามาในห้องฝึกซ้อม พวกเขาเห็นหลิวชิงเฟิงยืนอยู่คนเดียว

“เอ๊ะ ศิษย์พี่หลิว ไม่ได้เจอกันนานเลย เหตุใดท่านถึงอยู่ที่นี่หรือ” หลินชิงจู้กล่าวด้วยความงุนงง นางค่อนข้างคุ้นเคยกับหลิวชิงเฟิงไม่น้อย

เมื่อพวกนางขึ้นมาบนภูเขาครั้งแรก หลิวชิงเฟิงได้ดูแลพวกนางและสอนความรู้พื้นฐานให้ไม่น้อย

“ฮ่าฮ่า ศิษย์น้องหลิน ไม่เจอกันนานเลย เจ้างดงามขึ้นมาก” หลิวชิงเฟิงกล่าวยกยอทำให้หลินชิงจู้รู้สึกเขินอายเล็กน้อย

“ว่านเอ๋อ นี่คือศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักเยียวยาสวรรค์ มีแซ่หลิว มีนามว่าชิงเฟิง เจ้าสามารถเรียกเขาว่าศิษย์พี่หลิวได้”

จ้าวว่านเอ๋อยิ้มและทักทายโดยไม่กล่าวอะไร

“ศิษย์พี่หลิว นี่คือศิษย์ใหม่ของท่านอาจารย์ จ้าวว่านเอ๋อ ศิษย์น้องเล็กของข้า”

หลินชิงจู้แนะนำพวกเขาอย่างมีความสุข ทว่าหลิวชิงเฟิงกลับตกใจอย่างยิ่ง

“กระดูกศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิดอีกคน!”

เขาตกใจเป็นอย่างมาก ทันทีที่จ้าวว่านเอ๋อเดินเข้ามา เขาก็รู้สึกได้ถึงกระดูกศักดิ์สิทธิ์ในร่างกายของนางได้ทันที ระดับของมันไม่ได้ด้อยไปกว่ากระดูกเหมันต์เร้นลับของหลินชิงจู้เลยแม้แต่น้อย หากพัฒนาจนเติบโตต่อไป ไม่ใช่ว่าจะกลายเป็นกระดูกเซียนหรอกหรือ

กระดูกเซียนจะเทียบได้กับกายาจักรพรรดิโดยกำเนิดของเหออู๋ซวง

“ช่างวิเศษยิ่งนัก”

ขุนเขาเมฆาม่วงมีศิษย์ทั้งหมดเพียงสองคน ทว่าแต่ละคนมีพรสวรรค์มากกว่าศิษย์คนอื่น ๆ

ขุนเขาอื่น ๆ ส่วนใหญ่แล้วจะมีกุ้งมีปลาอยู่รอบ ๆ แม้ว่าจะคนมีหลายคน แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีความสามารถอย่างแท้จริง ส่วนขุนเขาเมฆาม่วง พวกเขายึดมั่นในหลักการในอดีตของพวกเขา พวกเขาต้องการมากกว่าพรสวรรค์

เช่นเดียวกับเย่ชิวในอดีต เขาแสร้งทำเหมือนว่าตนเองอ่อนแอมาก

ทว่าย้อนกลับไปเมื่อซวนเทียนเจินเหรินยอมรับเขาเป็นศิษย์ เหล่าศิษย์ของขุนเขาอื่น ๆ ต่างเยาะเย้ยเขา

ท้ายที่สุดเขากลับกลายเป็นปรมาจารย์ยุทธในรอบสิบปี

นี่เป็นสิ่งที่ขยะทำได้หรือ เพียงแค่คนคนเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะเทียบเคียงกับขุนเขาอื่น ๆ ขุนเขาเมฆาม่วงยังอ่อนแออีกหรือ

อ่อนแอตูดข้าสิ!

เมื่อเห็นเช่นนี้ หลิวชิงเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ จากภาพรวมแล้ว ขุนเขาเมฆาม่วงมีศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

“ศิษย์น้องหญิงจ้าวช่างมีความสามารถยิ่งนัก นี่เป็นการพบกันครั้งแรกของเรา และข้าตกใจยิ่งนัก ไม่แปลกใจเลยที่เจ้ากลายเป็นศิษย์ของอาจารย์ลุงเย่ เจ้ามีกระดูกศักดิ์สิทธิ์โดยกำเนิดและมีความเข้าใจที่ยอดเยี่ยม อนาคตของเจ้านั้นไร้ขีดจำกัดอย่างแท้จริง” หลิวชิงเฟิงถอนหายใจจากก้นบึ้งของหัวใจ

จ้าวว่านเอ๋อรู้สึกเขินอายเล็กน้อยกับคำชม นางรู้ดีว่าสิ่งที่เรียกว่าพรสวรรค์ของนางนั้นถูกเปลี่ยนแปลงโดยเย่ชิว

“อย่างไรก็ตาม ศิษย์น้องหลิน ระดับการบ่มเพาะของเจ้าในปัจจุบันอยู่ในขอบเขตใดหรือ” ทันใดนั้นหลิวชิงเฟิงก็นึกได้ถึงบางสิ่งและรีบถามออกมา

เขาไม่ลืมสิ่งที่อาจารย์ของเขาย้ำเตือนก่อนที่จะมา นั่นคือเพื่อดูว่าหลินชิงจู้เติบโตไปไกลแค่ไหนแล้ว

หลินชิงจู้ลังเลอยู่ครู่หนึ่งและมองไปยังเย่ชิว นางไม่รู้ว่าควรจะพูดออกไปหรือไม่

เย่ชิวไม่ได้กล่าวอะไรและมองไปยังนางเพื่อบอกว่าไม่ต้องกังวล

“ศิษย์พี่ ข้าอยู่ในขอบเขตสวรรค์ขั้นที่ 2 แล้ว”

หลิวชิงเฟิงพยักหน้า “ขอบเขตนิ้วทมิฬขั้นที่ 2 ไม่เลว”

เขาเคยได้ยินเมื่อสองเดือนที่แล้วว่าหลินชิงจู้ได้เข้าสู่ขอบเขตนิ้วทมิฬขั้นที่ 1 แล้ว ไม่แปลกที่นางจะทะลวงถึงขั้นที่ 2

หลิวชิงเฟิงส่ายหัวด้วยความผิดหวัง หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ ๆ เขาก็เงยหน้าขึ้น

ประเดี๋ยว…

“อะไรนะ เจ้าบอกว่าขอบเขตสวรรค์­ขั้นที่ 2 หรือ”

“ใช่แล้ว มีอะไรหรือไม่” หลินชิงจู้รู้สึกงุนงงขณะที่นางถาม

สีหน้าของนางดูใสชื่อจนหลิวชิงเฟิงไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เป็นไปได้ไหมว่าในสายตาของนาง การบรรลุขอบเขตสวรรค์ในสองเดือนนั้นเป็นเรื่องปกติ

“เป็นไปได้อย่างไรกัน เจ้าใช้เวลาเพียงสองเดือนในการทะลวงจากขอบเขตนิ้วทมิฬสู่ขอบเขตสวรรค์อย่างนั้นหรือ”

หลิวชิงเฟิงไม่อยากจะเชื่อสิ่งนี้ ไม่ว่านางจะเก่งกาจเพียงใดก็เป็นไปไม่ได้ที่นางจะบุกทะลวงขอบเขตสวรรค์ได้รวดเร็วขนาดนี้

หลินชิงจู้อธิบายอย่างจริงจังว่า “ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ข้าได้ติดตามท่านอาจารย์ลงจากภูเขาและสังหารสัตว์อสูรไปมากมาย ข้าได้ดูดซับพลังของกระดูกสมบัติ ดังนั้นระดับการบ่มเพาะของข้าจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว”

สิ่งที่นางไม่ได้พูดก็คือเม็ดยาไขกระดูกศักดิ์สิทธิ์ได้เปลี่ยนแปลงร่างกายของนางไปก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้กระดูกของนางอยู่ในสภาพที่มั่นคงมาก เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้นางมีความก้าวหน้าเช่นนี้

ดังนั้นการดูดซับกระดูกสมบัติจำนวนมากจึงไม่ได้ส่งผลกระทบต่อรากฐานของนางมากนัก

เนื่องจากเม็ดยาไขกระดูกศักดิ์สิทธิ์จะกรองสิ่งเจือปนเหล่านี้ออก นางจึงสามารถดูดซับได้อย่างง่ายดาย

ข้อบกพร่องเพียงอย่างเดียวคือสภาพจิตใจของนางยังไม่มั่นคง นั่นคือเหตุผลที่เย่ชิว บอกให้นางทบทวนให้เสร็จและทำให้หัวใจเต๋าของตนเองสงบลง

ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา นางได้ไตร่ตรองอยู่ตลอดเวลา นางบ่มเพาะและฝึกฝนหัวใจเต๋าของนางควบคู่ไปด้วย ความก้าวหน้าในการบ่มเพาะของนางมั่นคงมากและไม่มีปัญหาใด ๆ

หากเป็นคนธรรมดา พวกเขาอาจไม่มีความอดทนที่จะบ่มเพาะอย่างต่อเนื่องเพราะในขุนเขามีลูกศิษย์มากมาย เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะสามารถติดตามอาจารย์ออกไปได้

ทว่าเย่ชิวแตกต่างออกไป เขามีลูกศิษย์เพียงสองคน ดังนั้นเขาจึงสามารถให้ความสนใจกับพวกเขาได้ตลอดเวลา

เมื่อรู้ว่ามีปัญหาเขาก็จะชี้แจ้งทันทีและปรับแก้ให้โดยเร็ว

“ข้าเข้าใจแล้ว…”

ไม่นานหลิวชิงเฟิงก็เข้าใจและรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย

หลินชิงจู้ได้พบกับอาจารย์ที่ดีที่ให้ความสนใจกับการบ่มเพาะของนางอย่างต่อเนื่อง

หากเป็นขุนเขาอื่น ศิษย์เกือบทั้งหมดต้องบ่มเพาะด้วยตนเอง หากต้องการบ่มเพาะ ก็เพียงบ่มเพาะ หากไม่อยากบ่มเพาะก็ช่างมัน

หลิวชิงเฟิงยังรู้เกี่ยวกับวิธีการดูดซับกระดูกสมบัติเพื่อเพิ่มระดับการบ่มเพาะเช่นกัน ทว่าเขาไม่กล้าที่จะดูดซับมันมากเกินไป

เนื่องจากเมิ่งเทียนเจิ้งยุ่งจนเกินไป มีเรื่องมากมายให้เขาต้องจัดการทุกวัน เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะติดตามความก้าวหน้าในการบ่มเพาะของลูกศิษย์เหมือนกับเย่ชิว

หากมีสิ่งใดผิดพลาด อนาคตของเขาหลิวชิงเฟิงอาจดับวูบลงได้ทันที

ดังนั้นเขาจึงระมัดระวังเป็นอย่างมากมาก ต้องมั่นใจในทุกฝีก้าว

“แล้วศิษย์น้องจ้าวล่ะ” หลิวชิงเฟิงตกตะลึงและมองไปยังจ้าวว่านเอ๋อ

ข่าวของจ้าวว่านเอ๋อที่ได้เข้าสู่สำนักได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งขุนเขาเมื่อไม่กี่วันก่อนและได้รับการบันทึกไว้

นางเพิ่งเข้ามาในสำนัก ดังนั้นนางควรจะยังอยู่ในขอบเขตฝึกปราณใช่หรือไม่

อย่าบอกนะว่านางเป็นพวกเดียวกับหลินชิงจู้ผู้ที่บรรลุขอบเขตฝึกปราณขั้นที่ 4 ภายในสี่วันหลังจากเข้าสำนัก

แม้ว่าพวกเขาจะเกิดมาพร้อมกับกระดูกศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาก็คงไม่ผิดปกติขนาดนั้นใช่หรือไม่

“ข้าหรือ” จ้าวว่านเอ๋อยิ้มอย่างอ่อนโยนและดึงเสื้อคลุมสีแดงของนาง นางกล่าวอย่างสนุกสนานว่า “ข้าอยู่ในขอบเขตนิ้วทมิฬขั้นที่ 3 แล้ว…”

“…”

เขารู้สึกมึนงงอย่างแท้จริง

คราวนี้เขาได้ยินอย่างชัดเจน

ขอบเขตนิ้วทมิฬขั้นที่ 3

แม้แต่ชายหนุ่มในขุนเขากระบี่เร้นลับที่เข้าสำนักพร้อมกับหลินชิงจู้เมื่อสองเดือนก่อนก็เพียงขอบเขตฝึกปราณขั้นที่ 8 เท่านั้น

ความก้าวนี้เช่นนี้ได้แพร่กระจายอย่างกว้างขวางในสำนักเยียวยาสวรรค์และเขาได้รับการยกย่องจากทุกคนว่าเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง

ฉีอู๋ฮุ่ยค่อนข้างภูมิใจกับสิ่งนี้เช่นกัน เขายิ้มอย่างอารมณ์ดีอยู่ทุกวันและคุยโวโอ้อวดกับปรมาจารย์ขุนเขาคนอื่นอย่างไร้ยางอายว่าศิษย์ที่มีค่าของเขานั้นดีเลิศเพียงใด

ทว่าหากให้เทียบกับสองคนนี้ ศิษย์คนนั้นก็ไม่มีอะไรดีเลยแม้แต่น้อย

หลิวชิงเฟิงสามารถจินตนาการได้ว่าหากฉีอู๋ฮุ่ยรู้เกี่ยวกับความก้าวหน้าในการบ่มเพาะของจ้าวว่านเอ๋อและหลินชิงจู้ ใบหน้าของเขาคงจะเขียวกับอุจจาระ

“ฮ่าฮ่า…” เมื่อคิดถึงสิ่งนี้หลิวชิงเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เมื่อรู้ว่าตนได้กระทำการหยาบคายจึงได้รีบขอโทษทันที “ข้าขอโทษด้วย จู่ ๆ ข้าก็นึกถึงบางสิ่งที่ทำให้ข้าต้องหัวเราะออกมา”

ทั้งสองคนต่างมองหน้ากัน จ้าวว่านเอ๋อกระซิบที่หูของหลินชิงจู้ “ศิษย์พี่หญิง ศิษย์พี่หลิวคนนี้แปลกยิ่งนัก ไม่คาดคิดว่าเขากำลังยิ้มอย่างโง่เขลาโดยไม่มีเหตุผล”

หลินชิงจู้ปากกระตุก ทว่าไม่รู้จะพูดอะไรเพราะนางก็คิดแบบนั้นเช่นกัน

ทว่าท่านอาจารย์ของนางยังคงสงบที่สุด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็สามารถสงบสติอารมณ์ได้ตลอดเวลา

หลิวชิงเฟิงรู้สึกกระอักกระอ่วนมากเมื่อทั้งคู่พูดคุยกันด้วยเสียงต่ำ เขาแตะจมูกและกล่าวกับเย่ชิวว่า “อาจารย์ลุงเย่ วันนี้ข้าประทับใจจริง ๆ”

“ไม่เพียงแต่การบ่มเพาะของท่านอาจารย์ลุงเย่จะล้ำลึกจนไม่สามรถหยั่งถึงได้ แต่ท่านยังโดดเด่นมากเมื่อพูดถึงการสอนสั่งลูกศิษย์ หากอาจารย์ลุงของขุนเขาอื่นรู้เรื่อง ของขุนเขาเมฆาม่วง พวกเขาคงจะตกใจไม่น้อย”

เย่ชิวกล่าวตอบอย่างใจเย็นว่า “ทว่าข้าเพียงแค่สอนพวกเขาอย่างเรียบง่ายเท่านั้น”

“…”

มุมปากของหลิวชิงเฟิงกระตุกและรู้สึกขายหน้าเป็นอย่างมาก

หากนี่เรียกว่าสอนแบบลวก ๆ การสั่งสอนอย่างตั้งใจคงเป็นการยัดคู่มือเคล็ดวิชาลับนั้นเข้าไปในสมองของพวกเขาแล้วล่ะ

5 1 โหวต
Article Rating
3 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด