ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 46 การตรวจสอบ
ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 46 การตรวจสอบ
“ขุนเขาเมฆม่วงของเราแตกต่างจากขุนเขาอื่น ๆ พวกเราไม่ได้มีกฎมากมาย ตราบใดที่เราไม่ละเมิดกฎสำนัก ทุกอย่างก็ดำเนินตามปกติ” เย่ชิวกล่าวเบา ๆ และลุกขึ้นจากที่นั่งของเขา “การประลองยุทธกำลังใกล้เข้ามา พวกเจ้าสองคนจะเป็นตัวแทนของขุนเขาเมฆาม่วงเพื่อเข้าร่วมการประลองยุทธครั้งนี้”
การประลองยุทธเจ็ดขุนเขานั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสำนักเยียวยาสวรรค์ วันนี้เย่ชิวจึงจะทำการตรวจสอบลูกศิษย์ของตน
“ให้ข้าตรวจสอบดูว่าระดับการบ่มเพาะของพวกเจ้าประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใดในช่วงเวลานี้ ชิงจู้เจ้ามาก่อน”
หลินชิงจู้ยืนขึ้นและเดินตามเย่ชิวออกจากห้องฝึกซ้อมไปยังป่าไผ่
จ้าวว่านเอ๋อสวมเสื้อคลุมสีแดงและยืนอยู่ข้างลำธารเพื่อรอชม
หลินชิงจู้ถือกระบี่เมฆาม่วง แรงกดดันที่มีต่อนางนั้นทวีคูณขึ้น นางยืนอยู่ตรงหน้าเย่ชิวด้วยความไม่มั่นใจ นางมีความมั่นใจอย่างมากเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น แต่ทันใดนั้นนางก็รู้สึกประหม่าเล็กน้อยเมื่อต้องเผชิญกับการตรวจสอบอย่างกะทันหันของเย่ชิว
“เฮ้อ…” หลินชิงจู้ค่อย ๆ ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและให้กำลังใจตนเองอยู่ภายในใจ นางไม่สามารถประหม่าและทำให้อาจารย์ของนางผิดหวังได้
“เอาล่ะ! โจมตีข้าด้วยสิ่งที่เจ้าได้เรียนรู้มา โจมตีตามความถนัดของเจ้า”
เย่ชิวยืนอย่างสงบ เสื้อผ้าสีขาวของเขาปลิวไสวไปตามสายลม มือซ้ายของเขาไพล่หลังและพร้อมมีจี้หยกพาดอยู่ที่เอว เขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายเซียน ราวกับเซียนจากสวรรค์ สิ่งนี้ทำให้ใบหน้าของหลินชิงจู้เปลี่ยนเป็นสีแดง นางใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งเพื่อสงบสติอารมณ์
“ท่านอาจารย์ ข้าจะลงมือแล้ว…” หลินชิงจู้ตะโกนอย่างเย็นชา พลันใช้กระบี่เมฆาม่วงในมือของนางโจมตีไปทันที นางไหลเวียนเคล็ดวิชากระบี่และพุ่งเข้าหาราวกับสายลม
เย่ชิวเพียงปัดป้องเบา ๆ และจับกระบี่เมฆาม่วงของนาง เขาไม่ได้ใช้เขตแดนใด ๆ ที่อยู่เหนือขอบเขตอนันตะมรรคาและอาศัยเพียงร่างกายของเขาในการป้องกัน
ปฏิกิริยาของหลินชิงจู้นั้นรวดเร็วมากเช่นกัน หลังจากโจมตีพลาด นางก็พลิกกลับและส่งลูกเตะออกไป
เย่ชิวเอี้ยวหลบไปด้านข้าง ในสายตาของเขา การโจมตีของหลินชิงจู้นั้นเชื่องช้าเป็นอย่างมาก ไม่สามารถส่งผลอันตรายถึงชีวิตได้แม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม สำหรับคนในรุ่นเดียวกันของนางแล้ว ประสบการณ์การต่อสู้ของนางนั้นเพียงพอแล้ว เกือบจะไม่มีข้อบกพร่อง
กระบี่เมฆาม่วงถูกป้องกันได้อย่างราบรื่น หลินชิงจู้ยังไม่สามารถทำอะไรเย่ชิวได้ แม้แต่น้อย นางอดไม่ได้ที่จะใช้เคล็ดวิชาเคล็ดวิชาเหมันต์ภูตผีนพเก้า
ทันใดนั้น ความเยือกเย็นที่เสียดแทงวิญญาณก็ได้มุ่งโจมตีเย่ชิว ทำให้เขาพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ ด้วยการส่งเสริมของกระดูกเหมันต์เร้นลับ ปราณอันเยือกเย็นนี้สามารถแทรกซึมโจมตีไปยังวิญญาณของคนคนหนึ่งได้โดยตรง
“ท่านอาจารย์ ระวัง!” หลินชิงจู้เตือนเขาอีกครั้ง กระบี่เมฆาม่วงในมือของนางปลดปล่อยเคล็ดวิชากระบี่ออกมา พ้อรมพุ่งเข้าหาเย่ชิวด้วยความเย็นยะเยือก
หากเย่ชิวอยู่ในขอบเขตเดียวกับนาง เขาจะต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการรับมือนางโดยไม่ต้องใช้เคล็ดวิชากระบี่พงไพร
อืม ไม่เลวนะ… เย่ชิวพยักหน้าและสลายปราณกระบี่ไปอย่างง่ายดาย ระดับการบ่มเพาะของหลินชิงจู้มาถึงขอบเขตสวรรค์ขั้นที่ 2 แล้ว
ในการฝึกการต่อสู้จริงประมาณหนึ่งเดือนที่ผ่านมา วิสัยทัศน์และความคิดของนางเริ่มคงที่แล้ว โดยรวมแล้วนางก็พัฒนาขึ้นอย่างมาก
ปัจจุบันนางไม่เหลือร่องรอยของหญิงสาวเงอะงะที่ทำอะไรไม่ถูกเหมือนสองเดือนก่อนที่ยืนอยู่ในโถงหยกพิสุทธิ์อีกต่อไป กลิ่นอายเย็นชานั้นมอบความรู้สึกที่ไม่สามารถจ้องมองนางโดยตรงได้
บางทีนางเองก็อาจไม่รู้ตัวว่านางเติบโตถึงขนาดนี้สหายของนางทำได้เพียงแหงนหน้ามอง
หลังจากการตรวจสอบสิ้นสุดลง เย่ชิวแสดงความคิดเห็นว่า “ฝีมือกระบี่ของเจ้ามาถึงขอบเขตลึกซึ้งแล้ว ตราบใดที่เจ้าเข้าสู่ขอบเขตอนันตะมรรคและเชี่ยวชาญในเขตแดนแห่งกฏ เจ้าก็จะสามารถถือกำเนิดขึ้นใหม่ได้อย่างแท้จริง”
“ข้อบกพร่องเพียงอย่างเดียวคือเจ้าไม่มีเคล็ดวิชาสังหารที่ทรงพลัง อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องวิตกกังวลไป ข้าจะตรวจสอบหนังสือโบราณในภายหลังและเลือกเคล็ดวิชากระบี่ที่เหมาะสมให้แก่เจ้า”
หลินชิงจู้ รู้สึกยินดีเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เด็กหญิงตัวน้อยพูดอย่างเอร็ดอร่อย “ขอบคุณเจ้าค่ะ ท่านอาจารย์ใจดีที่สุด”
เย่ชิวยิ้ม เขาพอใจกับศิษย์คนโตคนนี้มากไม่น้อย จากนั้นเขามองไปยังจ้าวว่านเอ๋อและกล่าวว่า “ว่านเอ๋อ ถึงตาเจ้าแล้ว…”
“อา…” จ้าวว่านเอ๋อตกตะลึงเมื่อจู่ ๆ นางถูกขานชื่อให้ออกมา
ความแตกต่างของท่าทางหญิงสาวผู้สง่างามและหญิงสาวผู้น่ารักนั้นยิ่งใหญ่เสียจนมุมปากของเย่ชิวกระตุก พวกเราทบทวนบทเรียนทว่าเจ้ากลับฟุ้งซ่านหรือ
“โอ้ ข้ากำลังไป…” เมื่อตระหนักว่าตนเหม่อลอย จ้าวว่านเอ๋อก็หน้าแดงและเดินไปด้วยความลำบากใจ
ตอนนี้ข้าหมกมุ่นอยู่กับท่านอาจารย์จนเกินไปจนเกือบลืมไปว่านี่คือการตรวจสอบ
อา…
ช่างน่าอายยิ่งนัก
โชคดีที่ไม่มีคนนอกอยู่ที่นี่ ในอนาคตข้าจะเผชิญหน้ากับคนอื่นได้อย่างไรกัน
“เอาล่ะ โจมตีข้าตามที่เจ้าต้องการ” เย่ชิวยื่นมือขวาออกมาเบา ๆ เป็นการบ่งบอกว่าให้จ้าวว่านเอ๋อเริ่มโจมตีได้
“เอาล่ะ ท่านอาจารย์ระวังตัวด้วย”
หลังจากที่จ้าวว่านเอ๋อได้สติกลับคืนมา ลูกบอลไฟก็ได้ลุกโชนขึ้นรอบตัวนางทันที นี่คือเคล็ดวิชาเพลิงกรรมบงกชแดงที่เย่ชิวได้สอนนาง
เย่ชิวแอบประหลาดใจภายใต้ความร้อนที่แผดเผานี้ เขาไม่คาดคิดเลยว่าเคล็ดวิชาเพลิงกรรมบงกชแดงนี้จะปรากฏเพลิงนรกที่นางครอบคองอยู่ ไม่คิดเลยว่าจะปะทุออกมาพร้อมกับ
อืม ดูเหมือนว่าเคล็ดวิชาลึกลับนี้จะเหมาะกับนางมาก เย่ชิวเพียงพยักหน้าและไม่กล่าวอะไร
ระดับการบ่มเพาะในปัจจุบันของจ้าวว่านเอ๋ออยู่ที่ขอบเขตนิ้วทมิฬขั้นที่ 2 เท่านั้น ทว่านี่เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อนางดูดซับกระดูกสมบัติของทายาทเผ่าพันธุ์โบราณได้อย่างสมบูรณ์เมื่อไหร่ ระดับการบ่มเพาะของนางก็จะตามทันหลินชิงจู้ได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ต้องใช้เวลาพอสมควร มิฉะนั้นอาจจะมีปัญหากับรากฐานของนางได้ในอนาคต
“เข้ามา”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จ้าวว่านเอ๋อก็ตบฝ่ามือออกไปทันที ด้วยเคล็ดวิชาเพลิงกรรมบงกชแดง ป่าไผ่ถูกไฟลุกท่วมทันที มือที่บอบบางของนางโจมตีไปยังหน้าท้องของเย่ชิว ไม่นานเปลวไฟก็ปะทุขึ้นทันที
เย่ชิวก้าวถอยหลังและจับข้อมือนางด้วยมือขวาเบา ๆ อักขระมังกรที่แท้จริงได้ถูกเปิดเผยออกมา ทำการสกัดกั้นเคล็ดวิชาเพลิงกรรมบงกชแดงอย่างเรียบง่าย
จ้าวว่านเอ๋อยิ้มตอบอย่างสบาย ๆ เย่ชิวตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นนางก็หันมือออกและหลุดพ้นจากการควบคุมของเย่ชิวทันใด พร้อมสวนการโจมตี
“ฮ่าฮ่า เจ้าค่อนข้างฉลาดทีเดียว”
เย่ชิวรู้สึกประหลาดใจกับความฉลาดของนาง แต่เขาก็ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว เขาพลิกตัวหลบการโจมตี เขาผลักนางออกไปด้วยการฟาดฝ่ามือ
“อ๊า…”
จ้าวว่านเอ๋อลูบมือของนางด้วยความรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย นางเกือบทำสำเร็จแล้ว ทว่านางไม่คาดคิดเลยว่าเย่ชิวจะอ่านแผนการของนางทะลุปรุโปร่ง นางรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย อาจารย์ของนางไม่รู้วิธีถนอมสตรีเลยหรือ เขากล้าตีนางได้อย่างไร
เมื่อเห็นท่าทางเศร้าสร้อยของนาง เย่ชิวก็ส่ายหัวและกล่าวว่า “เจ้าฉลาด ทว่าเจ้าไม่มีประสบการณ์ที่เพียงพอ เจ้าคิดเพียงแต่ว่าจะลอบโจมตีศัตรูของเจ้าอย่างไรจนลืมทางหนีทีไล่ให้ตนเอง”
“ในการต่อสู้เสี่ยงเนเสี่ยงตาย การกระทำเช่นนี้จะทำให้เจ้าตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังได้อย่างง่ายดาย”
“เพลิงกรรมบงกชแดงทรงพลังมากก็จริง ผู้คนที่อยู่ในขอบเขตเดียวกันจะพบกับแรงกดดันมหาศาล อย่างไรก็ตาม เจ้ายังไม่เข้าใจการใช้พลังจากเคล็ดวิชานี้ ทำให้มันสูญเปล่า”
สถานการณ์ปัจจุบันของจ้าวว่านเอ๋อนั้นเป็นเช่นนี้ นางมีศักยภาพไร้ที่สิ้นสุดอยู่ในร่างกาย ศักยภาพของนางก็เหมือนระเบิดนิวเคลียร์ ทว่านางกลับไม่รู้ว่าจะทำการจุดชะนวนระเบิดอย่างไร
เย่ชิวเหงื่อตก หากผู้คนจากขุนเขาอื่นๆ รู้ว่านางกำลังทำให้เคล็ดวิชาลับระดับสวรรค์สูญเปล่าเช่นนี้ พวกเขาคงจะโมโหจนสิ้นใจตาย
“แล้วข้าต้องทำอย่างไรหรือเจ้าคะ” จ้าวว่านเอ๋อเงยหน้าขึ้นและกระพริบตามองเย่ชิวด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“อืม… วันนี้ข้าจะสอนเคล็ดวิชาฝ่ามือดอกเหมย เคล็ดวิชาการบ่มเพาะนี้ถูกสร้างขึ้นโดยปรมาจารย์ขุนเขาคนก่อนของขุนเขาเมฆาม่วง”
“เคล็ดวิชาฝ่ามือนี้แยบยลและผันแปรอยู่ตลอดเวลา ทั้งหนักแน่นและดุดัน ทว่ากลับไม่เสียสูญเสียความนุ่มนวลไป สามารถใช้ควบคู่กับเคล็ดวิชาเพลิงกรรมบงกชแดง ของเจ้าได้เป็นอย่างดี”
“ในเดือนหน้า เจ้าจะต้องเรียนรู้เคล็ดวิชาฝ่ามือนี้เท่านั้น หากเจ้าเชี่ยวชาญ เจ้าก็ไม่น่าจะมีปัญหากับการประลองยุทธ์เจ็ดขุนเขา”
จ้าวว่านเอ๋อรู้สึกยินดีเมื่อได้ยินสิ่งนี้ นางเดินไปทันทีและกล่าวว่า “ขอบคุณเจ้าค่ะท่านอาจารย์ ข้าจะทำความเข้าใจเป็นอย่างดีและไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”
ฝ่ามือดอกเหมย ชื่อนี้ฟังดูเหมาะแก่สตรีเป็นอย่างยิ่ง ทำให้นางถูกดึงดูดทันที
ในไม่ช้า เย่ชิวก็สอนเคล็ดวิชาฝ่ามือดอหเหมยให้กับนาง ความเข้าใจของนางนั้นสูงมาก ในเวลาไม่ถึงชั่วยาม นางก็เข้าใจแก่นแท้ของมันแล้ว
ในที่สุดเย่ชิวก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกหลังจากสอนเคล็ดวิชาฝ่ามือดอกเหมยให้แก่นาง เขาเกือบเสร็จสิ้นสิ่งที่เขาต้องทำแล้ว
หลินชิงจู้เรียนเคล็ดวิชากระบี่ ส่วนจ้าวว่านเอ๋อเรียนเคล็ดวิชาฝ่ามือ ทั้งสองคนเป็นธาตุน้ำแข็งและธาตุไฟ ทั้งคู่ต่างครอบครองเคล็ดวิชาระดับสวรรค์
พวกเขาจะเติบโตได้ไกลแค่ไหนนั้นล้วนขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาเต็มใจทนต่อความยากลำบากหรือไม่ และความเข้าใจของพวกเขาสูงพอหรือไม่