ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 111 แม่น้ำและเมืองใหญ่
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 111 แม่น้ำและเมืองใหญ่
แปลโดย iPAT
ยันต์สีเหลืองสามใบควรจะเป็นไพ่ตายที่เฉียนหรงหมิงอ้างถึง หลี่ฉิงซานเรียนรู้เรื่องยัตน์มาจากหยางซ่ง มันถูกแบ่งออกเป็นระดับต่างๆ แม้ยันต์ทั้งสามใบจะเป็นสีเหลืองทั้งหมด แต่พวกมันก็เรืองแสงสว่างไสวมากกว่ายันต์ในการครอบครองของหลี่ฉิงซาน อย่างน้อยพวกมันก็ไม่ใช่ยันต์ระดับล่าง
สิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณที่คนทั่วไปในยุทธภพสามารถใช้เงินซื้อมักเป็นสินค้าคุณภาพต่ำ พวกมันจะถูกสร้างขึ้นโดยเด็กใหม่ที่พึ่งเรียนรู้วิธีการสร้างสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณ แต่ถึงกระนั้นการกระตุ้นใช้งานพวกมันก็ยังยากลำบากสำหรับคนชั้นล่าง
นอกจากแหวนมิติ หลี่ฉิงซานเก็บของทุกอย่างไว้ในกระเป๋าร้อยสมบัติ หลังจากยึดสมบัติของเฉียนหรงหมิง ตอนนี้เขามีเงินในการครอบครองประมาณแปดหมื่นตำลึง ยันต์หลายใบ และเม็ดยารวบรวมพลังปราณสามขวด นี่ยังไม่นับรวมสิ่งเล็กๆน้อยๆเช่นยารักษาต่างๆ
อย่างไรก็ตามสมบัติล้ำค่าที่สุดในการครอบครองของเขาไม่ใช่สิ่งของเหล่านี้แต่เป็นแก่นปีศาจ เขาได้รับมันมาจากแม่ทัพหนูที่อยู่บนเทือกเขาไร้ขอบเขต ซวนเยว่ไม่สนใจมัน ดังนั้นนางจึงมอบให้เขา
หลี่ฉิงซานไม่รู้วิธีดูดซับแก่นปีศาจและเขาก็ไม่กล้าพอที่จะกินมันเข้าไปโดยตรง เขาเก็บมันไว้ในกระเป๋าร้อยสมบัติเช่นกัน
ความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นอย่างมากทำให้เขามีความสุข ขณะเดียวกันเจตนาสังหารของเขาก็ถูกกระตุ้นให้ตื่นขึ้น นั่นทำให้เขาพัฒนาความคิดที่จะสังหารเฉียนหรงจื่อและถอนรากถอนโคนปัญาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
อย่างไรก็ตามเขารีบปัดความคิดนี้ทิ้งไปอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่ว่าเขาใจดีหรือใจอ่อนแต่เพราะเขากังวล หากเขาทำเช่นนี้บ่อยๆ มันอาจพัฒนาเป็นนิสัยรักการฆ่า
เขามีความแข็งแกร่ง เขาไม่จำเป็นต้องใช้ปราณปีศาจ สิ่งที่เขาต้องทำคือร่วมมือกับเสี่ยวอัน ด้านหนึ่ง เขามีกำลังพอที่จะแย่งชิง อีกด้านหนึ่ง มันไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่จะระงับความโลภในใจ
แม้เขาจะยับยั้งตนเองด้วยทักษะจิตวิญญาณเต๋า แต่สัญชาตญาณปีศาจยังกระตุ้นให้เขาดำเนินการ อย่างไรก็ตามสัญชาตญาณปีศาจไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ เขาจำเป็นต้องเรียนรู้และควบคุมสัญชาตญาณนี้เพื่อที่เขาจะได้ไม่สูญเสียตัวตนของตนเอง
ในเวลาเดียวกันเขาก็ตระหนักว่าคนผู้หนึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นคนที่ชั่วร้ายหลังจากได้รับพลังอันยิ่งใหญ่ ตัวอย่างเช่นเฉียนหรงหมิง เขาคิดว่าตนเองสามารถฆ่าหลี่ฉิงซานได้อย่างง่ายดายโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ดังนั้นเขาจึงระบายความโกรธออกมาได้อย่างง่ายดายเหมือนการกินหรือดื่ม
แท้จริงแล้วสังคมมนุษย์อาจน่ากลัวและอันตรายยิ่งกว่าสภาพแวดล้อมบนเทือกเขาไร้ขอบเขต
หลี่ฉิงซานสงบจิตใจลง หากเฉียนหรงจื่อไม่พยายามยั่วยุเขา เขาก็จะปล่อยนางไป แต่หากนางพยายามฆ่าเขา เขาก็จะฆ่านางเช่นกัน
เขาห่อกระดูกบนพื้นด้วยเสื้อผ้า เขาต้องการโยนมันลงไปในแม่น้ำเพื่อทำลายหลักฐาน อย่างไรก็ตามเขาเห็นใบหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อของชายห้องข้างๆทันทีที่เดินออกมา ชายผู้นั้นกำลังมองกระดูกในมือของเขา
“ช่างบังเอิญนัก” หลี่ฉิงซานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาทักทายฝ่ายตรงข้ามด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินผ่านไปและโยนห่อผ้าลงไปในแม่น้ำที่มืดสนิท เขาดูสบายใจมาก มันไม่เหมือนกับเขากำลังทิ้งซากศพแต่กำลังชมทิวทัศน์ยามค่ำคืน สิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับความฉลาดแต่เป็นความสงบที่เกิดจากความมั่นใจในความแข็งแกร่งของตน
ชายผิวคล้ำยืนตัวแข็งทื่อ เขากำหมัดแน่นก่อนจะผ่อนคลายลง สายตาที่เขามองหลี่ฉิงซานเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มันเต็มไปด้วยความระมัดระวังและมีกระทั่งเศษเสี้ยวของความหวาดกลัว
ก่อนหน้านี้เขารออยู่ในมุมมืดด้านนอกตลอดเวลาเพื่อรอโอกาสฉกฉวยผลประโยชน์ อย่างไรก็ตามคนที่เดินออกมาจากประตูกลับไม่ใช่เฉียนหรงหมิงแต่เป็นหลี่ฉิงซานที่เขาคิดว่าตายไปแล้ว สำหรับกระดูก ไม่จำเป็นต้องถามว่ามันเป็นของผู้ใด
เขารู้สึกอยากถามหลี่ฉิงซานว่าทำได้อย่างไรแต่เขาไม่สามารถกล่าวมันออกมาเมื่อเผชิญหน้ากับรอยยิ้มที่น่ากลัวของฝ่ายหลัง โดยเฉพาะเมื่อเขาไม่สามารถสัมผัสถึงพลังปราณในร่างของหลี่ฉิงซาน ท้ายที่สุดสิ่งที่ไม่รู้จักมักน่ากลัวที่สุดเสมอ
หลังจากโยนกระดูกลงน้ำ หลี่ฉิงซานก็เปิดปากกล่าวกับชายผู้นั้น “เจ้าชื่ออะไร?”
ชายผิวคล้ำตอบอย่างระมัดระวัง “เตียวเฟย” เขารู้สึกว่าหลี่ฉิงซานในเวลานี้แตกต่างจากช่วงกลางวัน เด็กหนุ่มดูเหมือนจะซ่อนบางสิ่งที่น่ากลัวเอาไว้แต่แน่นอนว่าเขาอาจเข้าใจผิดไปเอง
หลี่ฉิงซานกล่าว “เจ้าจะไปเมืองเจียเผิงเพื่อเข้าร่วมการคัดเลือกผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์งั้นหรือ?”
“ถูกต้อง”
“ช่างบังเอิญนัก ข้าก็เช่นกัน”
หัวใจของเตียวเฟยบีบรัดตัวแน่น เขาเตรียมตัวรับการโจมตีทันที
อย่างไรก็ตามหลี่ฉิงซานไม่ได้วางแผนที่จะดำเนินการดังกล่าว เขาพูดคุยกับชายผิวคล้ำต่อไป “ครั้งนี้ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์รับสมาชิกใหม่กี่คน?”
“สาม”
“น้อยมาก”
เตียวเฟยยังเงียบ
เดิมทีหลี่ฉิงซานต้องการถามข้อมูลเพิ่มเติมจากเตียวเฟย แต่เมื่อเขาเห็นอีกฝ่ายระวังตัวมาก เขาจึงยักไหล่และเดินกลับเข้าไปในห้อง
เตียวเฟยเร่งถาม “ข้าขอถามชื่อของเจ้าได้หรือไม่?” หลังจากไปถึงเมืองเจียเผิง เด็กหนุ่มผู้นี้อาจกลายเป็นคู่แข่งที่ทรงพลังของเขา
“หลี่ฉิงซาน”
ราวกับเตียวเฟยเคยได้ยินชื่อนี้มาจากบางแห่ง เขาครุ่นคิดแต่ยังนึกไม่นอก คืนนั้นเขาไม่สามารถข่มตาหลับ เขายังระวังตัวตลอดเวลา
ทันทีที่หลี่ฉิงซานกลับเข้าไปในห้อง เขารู้สึกถึงบางสิ่ง ดังนั้นเขาจึงเปิดหน้าต่างและมองออกไป ทั้งหมดที่เขาเห็นคือร่างหนึ่งกระโดดลงจากเรือและว่ายเข้าฝั่งก่อนจะหายตัวไปในพุ่มไม้ พิจารณาจากรูปร่างของคนผู้นี้ เขาสามารถบอกได้ว่านางคือเฉียนหรงจื่อ
หลี่ฉิงซานถอนหายใจ เขารู้สึกค่อนข้างประทับใจกับความคิดและความเด็ดเดี่ยวของหญิงผู้นี้ นางต้องตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติเมื่อเฉียนหรงหมิงไม่กลับไป นางไม่ได้พยายามตรวจสอบเรื่องนี้และไม่ได้ตั้งข้อสงสัยใดๆแต่กลับกระโดดลงจากเรือและหลบหนีทันที
หลี่ฉิงซานส่ายศีรษะและโยนเรื่องนี้ทิ้งไป เขาหยิบขวดยาออกมา ในขวดมีเม็ดยารวบรวมพลังปราณสามเม็ด เขากินมันและเริ่มฝึกฝน
ดังคาด ด้วยความช่วยเหลือจากเม็ดยาจิตวิญญาณ ความเร็วในการบ่มเพาะของเขาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย หลังจากชั่วครู่เขาก็กินเม็ดยาอีกเม็ดเข้าไป
หากผู้บ่มเพาะคนอื่นเห็นสิ่งนี้ พวกเขาจะต้องตกตะลึงที่เขากินเม็ดยาจืตวิญญาณเหมือนกินลูกอม ท้ายที่สุดการย่อยเม็ดยาจิตวิญญาณก็ไม่ง่ายเหมือนการกินอาหารทั่วไป เม็ดยารวบรวมพลังปราณเก้าเม็ดเพียงพอให้เฉียนหรงหมิงใช้งานตลอดสามเดือน เขาจะกินทุกๆสิบวันและค่อยๆดูดซับมัน
และนี่ยังเป็นกรณีของคนเช่นเฉียนหรงหมิงที่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลและสามารถย่อยเม็ดยาจิตวิญญาณได้เร็วกว่าคนทั่วไป โดยปกติความเร็วในการย่อยเม็ดยาคือครึ่งเดือน ไม่มีผู้ใดกินมันเหมือนหลี่ฉิงซาน
หลังจากกินเม็ดยารวบรวมพลังปราณเม็ดที่เจ็ด เขาก็บรรลุขั้นที่สองของเคล็ดวิชาการบ่มเพาะพลังปราณเบื้องต้น ด้วยความช่วยเหลือจากแหวนมิติ เขาจึงไม่พบจุดคอขวดใดๆ
เขายืนขึ้นและสัมผัสได้ถึงพลังปราณที่ไหวเวียนอยู่ในร่าง ตอนนี้เขารู้สึกตัวเบาลงมาก
เขาเก็บเม็ดยารวบรวมพลังปราณสองเม็ดสุดท้ายเอาไว้ ต่อมาเขาก็ได้ยินเสียงโห่ร้องดังขึ้นจากระยะไกล เขาได้ยินผู้คนพูดคุยอย่างคลุมเครือว่า “เรามาถึงเมืองเจียเผิงแล้ว!”
หลี่ฉิงซานรีบออกไปตรวจสอบ ชั้นล่างเต็มไปด้วยผู้คน หลังจากเรือแล่นผ่านทางโค้ง เมืองใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างภูเขาและผืนน้ำก็ปรากฏขึ้นในสายตาของหลี่ฉิงซาน
นี่คือจุดที่แม่น้ำใหญ่สองสายมาบรรจบกัน หนึ่งคือแม่น้ำอี้ อีกหนึ่งคือแม่น้ำชิงเหอ เมืองเจียเผิงตั้งอยู่บนชายฝั่งของแม่น้ำทั้งสองสาย อาคารบ้านเรือนแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปทุกทิศทุกทาง ติดตามมาด้วยทุ่งสีทองอันไร้ขอบเขต และฝูงนกขนาดใหญ่ที่บินอย่างอิสระอยู่บนท้องฟ้าสีคราม
หลี่ฉิงซานไม่เคยเห็นจักรวรรดิโบราณมาก่อน แต่เขาเชื่อว่าเมืองแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองและมีชื่อเสียงเช่นเดียวกับหางโจวหรือหยางโจวของประเทศจีน การไม่มีกำแพงเมืองแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจของผู้ปกครองสถานที่แห่งนี้ พวกเขาไม่จำเป็นต้องพึ่งพากำแพงเพื่อปกป้องตนเอง
อาจมีเพียงเมืองเล็กๆเช่นเมืองชิงหยางที่ต้องการกำแพงเพื่อป้องกันตนเองจากกองโจรหรือศัตรูจากภายนอก ไม่มีเมืองใหญ่ใดๆที่ต้องการกำแพงเมืองเพราะมันคือเมืองที่ถูกปกครองโดยจอมยุทธ์พลังปราณ หากมีศัตรูที่สามารถคุกคามเมือง พวกเขาก็ไม่ใช่ตัวตนที่กำแพงเมืองจะสามารถขวางกั้น ในทางตรงข้าม มันจะกลายเป็นสิ่งกีดขวางการพัฒนาของเมือง
ในที่สุดหลี่ฉิงซานก็เข้าใจว่าเหตุใดเย่ต้าฉวนจึงมีความสุขนักเมื่อเขาถูกย้ายมาที่นี่ในฐานะรองเจ้าเมือง แม้มันจะไม่ใช่ตำแหน่งสูงสุดของที่นี่ แต่มันก็ยังดีกว่าการอยู่ในเมืองชิงหยางเป็นอย่างมาก ตอนนี้หลี่ฉิงซานไม่สามารถจินตนาการได้อีกต่อไปว่าเมืองชิงเหอที่เป็นเมืองหลวงของมณฑลนี้จะเจริญรุ่งเรืองถึงระดับใด
ทุกสิ่งที่อยู่ต่อหน้าทำให้เขาเข้าใจว่าที่นี่ไม่ได้เป็นเพียงโลกในยุคโบราณ การคงอยู่ของจอมยุทธ์พลังปราณส่งผลกระทบอย่างมากต่อทุกสิ่งบนโลกใบนี้และทำให้มันดูเหมือนตำนาน
เรือจอดเทียบท่า หลี่ฉิงซานขึ้นฝั่งพร้อมกับฝูงชน เดิมทีเขาต้องการถามเตียวเฟยหรือคนอื่นๆเกี่ยวกับที่ตั้งของกองกำลังผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ แต่หลังจากมาถึง เขาก็ได้รับคำตอบนี้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องถามผู้ใด