ตอนที่ 34 แม้ตายก็ต้องชนะ
ทุกๆ ปีการแข่งขันคัดเลือกเบื้องต้นจะมีระดับความน่าสนใจแตกต่างกัน และในปีนี้การแข่งขันคัดเลือกเบื้องต้นในวันแรกก็สร้างความเร้าใจได้มากถึงขนาดนั้น
ดาวเด่นของการแข่งขันครั้งนี้ก็คือสุดยอดนักเรียนซ้ำชั้นผู้โดดเด่นถังเทียนนั่นเอง
เมื่อหลายคนได้ทราบข่าวนี้ พวกเขาคิดว่าได้ยินผิด แต่ทุกคนที่ได้เห็นการต่อสู้โดยประจักษ์ด้วยตัวเองต่างก็แจ้งบอกสหายที่รู้จักไปเรื่อยๆขนาดที่จุดผู้ชมดูก็เต็มไปด้วยนักเรียนมีชื่อเสียงที่ทุกคนพอได้ยินชื่อก็ต้องร้องด้วยความประหลาดใจ
เมื่อเห็นกลุ่มผู้ชมในแท่นชมดูใครๆ ก็บอกได้ว่า พวกเขาคาดหวังไว้อย่างสูงว่าจะเป็นการแข่งขันในระดับสูง
สามโรงเรียนที่ยิ่งใหญ่ไม่มีใครยอมพลาด
หมัดประกายไฟของถังเทียนที่ได้รับความนิยมมากสามารถเอาชนะวิชาพลองวายุมายาของคู่ต่อสู้ได้ คนที่ฝึกวิชาพลองวายุมายานั้นมีไม่ค่อยมาก แต่ความยากนั้นเป็นที่รู้กันดีทุกคนและเมื่อเปรียบเทียบยิ่งไปกว่านั้น จำนวนนักเรียนที่ฝึกหมัดประกายไฟเมื่อเทียบกันแล้วพอๆกับขนโค
นักเรียนทุกคนที่ฝึกหมัดประกายไฟไม่เชื่อผลการต่อสู้เช่นนี้เมื่อพวกเขาได้ยิน แต่ยิ่งข่าวลือแพร่กระจายไปความจริงก็ยิ่งปรากฏ และในที่สุด พวกเขาทุกคนก็เชื่อว่าเป็นความจริง หมัดประกายไฟที่พวกเขาเรียนมาสามารถทำลายวิชาพลองวายุมายาได้ พวกเขาทุกคนต่างก็ใจชื้นและรวมตัวกันพยายามเลียนแบบวิธีการของถังเทียน
แต่นั่นมีเคล็ดลับใหญ่ประการหนึ่ง
ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามหนักแค่ไหนก็ตามหรือพวกเขาจะเค้นสมองแค่ไหนก็ตาม ในที่สุดพวกเขาก็ทำไม่ได้
หมัดประกายไฟเป็นแค่วิชายุทธระดับสอง ขณะที่พลองวายุมายาเป็นวิทยายุทธระดับสาม ความแตกต่างในระดับยังมีช่องว่างเหมือนกับคลองใหญ่ขวางกั้นอยู่ ไม่มีทางที่จะแข่งกันได้
นอกจากนี้ยังมีบางคนที่สงสัยว่าถังเทียนอาจไม่ได้ใช้หมัดประกายไฟจริงๆแต่ใช้วิทยายุทธระดับสามอื่นมาเป็นพื้นปล่อยพลังหมัดประกายไฟ
เป็นอย่างนี้จนกระทั่งพวกรุ่นพี่ที่มีความรู้และได้ชมดูได้กระซิบบอกต่อกับพวกที่เหลือทำให้พวกเขาตื่นตัวได้ในที่สุด
วิทยายุทธขั้นพื้นฐาน
ถังเทียนสามารถใช้หมัดประกายไฟซึ่งเป็นวิชาระดับสองเอาชนะวิชาพลองวายุมายาซึ่งเป็นวิทยายุทธระดับสามได้และทั้งหมดเนื่องมาจากความสมบูรณ์แบบของวิทยายุทธพื้นฐานของเขา แม้แต่ซือหม่าเซียงซานแห่งสถาบันเทียนจิงก็ประกาศต่อหน้าผู้ชมว่าพื้นฐานของถังเทียนนั้นสมบูรณ์แบบ และเกี่ยวกับความสามารถในการใช้พลังและจากกล้ามเนื้อของเขาไม่มีผู้ใดในเมืองซิงฟงเทียบได้
จากนั้นมีผู้คนจำได้ทันทีว่าถังเทียนใช้เวลาห้าปีเต็มเพื่อฝึกฝนวิทยายุทธพื้นฐานทำให้พวกเขาพูดไม่ออก
การฝึกวิทยายุทธพื้นฐานนานถึงห้าปีถึงได้เพียงระดับนี้ ผู้คนจึงตระหนักได้ทันที แต่พวกเขาเริ่มคิดว่ามันคุ้มกันไหม?ใช้เวลานานถึงห้าปีเพื่อใช้วิชาหมัดประกายไฟระดับสองเอาชนะวิชาพลองวายุมายาระดับสามได้จะมีประโยชน์อะไร? เวลานานห้าปีนานตราบเท่ากับพรสวรรค์ธรรมชาติของพวกเขาก็ไม่ถึงกับแย่ พวกเขาอาจเพิ่งฝึกวิทยายุทธระดับสามแล้วก็ได้
คนแล้วคนเล่าต่างก็ส่ายหัวการฝึกวิทยายุทธแบบนี้นับว่าไม่คุ้มค่า ตอนแรกพวกเขาคิดว่ามีความลับแฝงอยู่เบื้องหลังสถานะปัจจุบัน แต่ก็ตระหนักได้ว่าไม่มีความลับอะไรและเป็นสิ่งที่พวกเขาได้รับการสั่งสอนจากครูบาอาจารย์อยู่แล้วเมื่อพวกเขาเข้าโรงเรียนวันแรก
แต่ตัวอย่างเช่นนี้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในหมู่นักเรียนใหม่หลายคน พวกเขาทุกคนกลายเป็นกระตือรือร้นตั้งใจฝึกวิทยายุทธพื้นฐานที่ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่าไร้ประโยชน์อย่างจริงจัง
“ถ้าเพียงแต่รุ่นพี่ถังเทียนยังอยู่ที่นี่นั่นคงจะดี”
“เป็นเพราะไอ้บัดซบโจวเผิง!”
นักเรียนชั้นวิชากระบี่จับกลุ่มกันระลึกถึงถังเทียน
ถังเทียนปรากฏเข้ามาในสายตาพวกเขาอีกครา แต่ครั้งนี้ถังเทียนไม่ใช่เครื่องหมายของการล้อเลียนต่อไป เหล่าผู้อาวุโสหลายคนจับตาสังเกตดูเขาและมันชัดเจนพอที่จะพูดได้ว่า ในการแข่งขันคัดเลือกเบื้องต้นมากมายนั้นมีเพียงสองคนที่คู่ควรจับตาดู คนหนึ่งก็คือถังเทียนและอีกคนก็คืออาโมรี่ เหลียงชิวปรากฎตัวในพื้นที่ผู้ชมดูการแข่งขันของอาโมรี่ นี่ถูกมองเหมือนกับว่ารุ่นพี่มาดูรุ่นน้อง อาโมรี่เคยอยู่ในอันดับเจ็ดของทำเนียบนักเรียนยอดฝีมือของสถาบันเหมิ่งโซ่วไม่มีใครตั้งข้อสงสัยถึงความสามารถของเขามาก่อน ในสายตาพวกเขา อาโมรี่ไม่ต่างจากนักสู้ที่ได้คัดเลือกสรรไว้แล้ว
มีแต่เพียงถังเทียน
เขาเหมือนม้ามืดไม่ทราบว่าโผล่มาจากไหน ไม่มีใครเข้าใจว่าทำไมเขาถึงถูกนักสู้อาวุโสจับตาดู
แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลใดก็ตามความสนใจที่ผู้คนมีต่อถังเทียนก็เพิ่มมากขึ้นทันที เหล่าคนที่คิดว่าการแข่งขันในรอบคัดเลือกเบื้องต้นไม่มีอะไรน่าสนใจล้วนพากันตระหนักทันทีว่ามีม้ามืดที่คู่ควรต่อการจับตามอง เรื่องนี้กระตุ้นความสนใจและความคลั่งไคล้ให้กับทุกคนหมายกำหนดการแข่งขันถังเทียนถูกผู้คนขุดคุ้ยออกมาดู
คณะกรรมการจัดการแข่งขันต่อสู้เห็นสถานการณ์อย่างนั้นจึงเปลี่ยนเวทีแข่งขันของถังเทียนไปเป็นลานต่อสู้ที่ใหญ่กว่าเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์แบบครั้งก่อนซึ่งเป็นแท่นชมดูที่แออัดเกินไปจนทำให้ผู้ชมกระจุกเป็นคอขวดอยู่ตรงทางเข้า กับเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องปกติในการแข่งขันจริง
เมื่อการตัดสินใจเช่นนี้ถูกประกาศออกไป ทุกคนล้วนยินดีอ้าแขนรับ
การแข่งขันครั้งที่สองของถังเทียนจะมีอีกในสองวัน สำหรับการเดิมพันข้างถังเทียนได้กำหนดอัตราต่อรองบนโต๊ะรับพนันทุกแห่งแล้ว
※※※※※※※※※※※※※※※
เพล้ง
ถ้วยชากระแทกลงบนพื้นรุนแรงและแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆน้ำชากระเซ็นเลอะไปทั่ว
ในห้องทำงานของอาจารย์ใหญ่สถาบันแอนดรูว์ อาจารย์ใหญ่ตะโกนลั่น นักเรียนที่เดินผ่านไปใกล้ห้องอาจารย์ใหญ่พากันกลัวทุกคน
“ถังเทียน! ไอ้บัดซบนั่น!”
“ฉันจะให้แกตาย ตายอย่างน่าอนาถ!”
….
※※※※※※※※※※※※
โจวเผิงยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์ ตอนนี้ เขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ผิวที่เคยขาวเหมือนไข่ปอกกลายเป็นคล้ำดูลี้ลับเนื่องจากถูกแดดแผดเผา นัยน์ตาที่ครั้งหนึ่งเคยกลมโตเดี๋ยวนี้กลายเป็นรูปสามเหลี่ยมเหมือนอสรพิษมีประกายคมกล้าและเย็นชา
“ในที่สุดฉันก็ได้รู้ว่าเป็นความรู้สึกน่าอัศจรรย์เพียงไหนที่ได้ครอบครองพลังเช่นนั้นดื่มด่ำกับชีวิตที่ผ่อนคลายหรูหรา”
เขาก้มศีรษะมองดูฝ่ามือตนเองที่ครั้งหนึ่งเคยขาวอ่อนนุ่มแต่ตอนนี้เต็มไปด้วยริ้วรอยกระด้าง ขณะที่เขาถอนหายใจเบาๆ ด้วยความดีใจระคนเสียใจ “เป็นวิชาที่สมบูรณ์แบบแน่นอน”
“คุณชาย! ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลเชิญท่านเข้าพบ” บ่าวรับใช้พูดด้วยความเคารพ
โจวเผิงยังมองและยิ้มแย้มขณะที่เขาเยาะหยันไปพร้อมกัน เหมือนกับว่าเขากำลังไตร่ตรอง รอยยิ้มจางหายไปทันทีขณะที่เขาจัดคอเสื้อเล็กน้อยและเดินสาวเท้ายาวเข้าไปที่ลาน
ทั่วทั้งตระกูลโจวเต็มไปด้วยคนระดับสูงในตระกูลทั้งนั้นสายตาทุกคนจับจ้องมาที่โจวเผิงขณะที่เขาเดินเข้ามา ฝีเท้าของโจวเผิงมั่นคง เขายังคงสงบแม้จะได้รับความสนใจก็ตาม
เป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมจริงๆ
เขาสามารถรู้สึกได้ถึงดวงตาที่ชื่นชม, ริษยา,ตกใจและเหลือเชื่อ รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา
ผู้อาวุโสสูงสุดกระแอมเล็กน้อยเพื่อทำลายความเงียบและจับตามองโจวเผิง เขาพูดว่า “ดี! นี่แหละคือท่าทีมารยาทที่นายน้อยแห่งตระกูลโจวควรแสดงออก ไม่ว่าในอดีตที่ผ่านมาฉันจะมีอคติกับแกมากเพียงไหนก็ตาม แต่ตอนนี้ฉันยอมรับว่าแกคู่ควรกับการเป็นผู้สืบทอดตระกูลโจว”
ดวงตาของประมุขตระกูลโจวเต็มไปด้วยความปีติไม่รู้จบและมองดูโจวเผิงด้วยสายตาปลอบประโลม
ในห้องโถงเงียบสนิทมีแต่เพียงคำพูดของผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลก้องอยู่
“แกมีพรสวรรค์ที่ทำให้ทุกคนต้องอิจฉาและแกเปลี่ยนเป็นลูกผู้ชายเต็มตัวแล้ว แม้ว่าฉันจะไม่อยู่ในวันนี้ แต่ฉันก็ยังหวังว่าแกจะนำเอาความรุ่งเรืองมาสู่ตระกูลโจวเมื่ออำนาจในตระกูลตกอยู่ในมือแก”
โจวเผิงคำนับและพูดด้วยความภูมิใจ “ถูกแล้ว,ตระกูลโจวมีแต่จะรุ่งเรือง”
“งานชุมนุมวิทยายุทธครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่ดี เป็นจุดเริ่มต้นของตระกูลโจว” ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลพูดอย่างภูมิใจ “ซือหม่าเซียงซานจะเป็นก้อนหินให้ตระกูลโจวของเราก้าวผ่าน”
โจวเผิงยิ้มอย่างมั่นใจ แต่ภายในแขนเสื้อของเขาเขากำหมัดไว้แน่น
ยังมีอีกคนหนึ่ง – ถังเทียน!
ฉันต้องฆ่าแกต่อหน้าทุกคน!
※※※※※※※※※※※※※※※※※
ถังเทียนยังคงหมกมุ่นและฝึกฝนต่อเนื่องต่อไป เขาหลั่งเหงื่อชุ่มโชกราวกับอาบฝนและไม่ได้รับผลกระทบกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่สนามแข่งขันคัดเลือกเบื้องต้น ไม่ได้คำนึงถึงการผ่านเข้าแข่งขันรอบที่สอง สิ่งเหล่านี้ไม่มีผลต่อการฝึกฝนของเขา
อาโมรี่ก็ยังคงฝึกฝนอย่างเต็มกำลัง เขาไม่เคยคิดว่าพี่เหลียงชิวจะมาชมดูการแข่งขันของเขาเป็นการส่วนตัว พี่เหลียงชิวคือแบบอย่างของเขาและเป็นคนที่เขาต้องการเอาชนะให้ได้เสมอ แม้เห็นเงาร่างที่คุ้นเคยในจุดผู้ชมดู อาโมรี่ก็เต็มไปด้วยแรงกระตุ้นและแรงผลักดันให้มุ่งไปข้างหน้า
มีเพียงผู้เฒ่าเว่ยดูเหมือนจะไม่มีความห่วงใยในเรื่องที่ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา
ในช่วงนั่งพัก ทั้งสองคนนั่งอยู่บนพื้น รู้สึกเหนื่อยล้า เหงื่อไหลหยดไม่หยุดหย่อน
“นายนี่กล้าพูดอวดอ้างตัวเองต่อหน้าซือหม่าเซียงซานเลยนะ” อาโมรี่พูดพลางหอบหายใจ
ถังเทียนหอบหายหนักหน่วงมองดูอย่างงุนงง “ทำไมจะไม่กล้าเล่า?”
“เขาเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในเมืองซิงฟงเชียวนะ” อาโมรี่อธิบาย
ถังเทียนเอียงคอ “นั่นฉันหมายถึงว่า ถ้าฉันเอาชนะเขาได้อย่างนั้นฉันก็จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองซิงฟงใช่ไหม?”
“ถูกแล้ว” อาโมรี่พยักหน้า
ทันใดนั้นถังเทียนเห็นแสงรำไร “มิน่าเล่าเชียนฮุ่ยถึงเอาชนะเขาได้ในตอนนั้นนั่นเป็นเพราะถ้าเธอเอาชนะเขาได้ เธอก็จะได้รับอันดับที่หนึ่งนั่นเอง”
อาโมรี่ “....”
ถังเทียนถามด้วยความสงสัย “เฮ้ เจ้าวัวแมงวัน! ตอนนี้นายมีเป้าหมายอะไรอยู่?”
อาโมรี่เงียบอยู่ชั่วครู่ และเงยหน้าทันใด “เป้าหมายของฉันคือพบกับพี่เหลียงชิวและเอาชนะเขาให้ได้”
“เจ้าวัวแมงวันนายจะต้องเอาชนะหมอนี่ได้แน่” ถังเทียนพูดเสียงดังฟังชัด
“ฉันไม่รู้...”อาโมรี่พึมพำ
“ทำไมนายถึงไม่รู้เล่า?” ถังเทียนถลึงตาและพูดเสียงดัง “นายจะเอาชนะหมอนี่ได้แน่,นายจะต้องชนะหมอนี่! ไม่มีอะไรต้องกลัว! อย่าปลอบตัวเองว่าแพ้ก็ไม่เป็นไร, ต้องชนะเท่านั้น!นายฝึกฝนมาอย่างหนักตลอดไม่ใช่เพื่อพ่ายแพ้ใคร ไม่มีชัยชนะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พวกที่บอกว่านายแค่สู้เต็มที่ เพื่อที่ว่าจะได้ไม่มีอะไรเสียใจ ล้วนโกหกทั้งนั้น พวกที่พูดอย่างนี้แสดงว่าไม่ได้ทุ่มเทเต็มที่จริงๆ หยาดเหงื่อและความลำบากตรากตรำทั้งหมด พวกเขาทำไปเพื่ออะไร? เพื่อให้นายกลายเป็นคนขี้ขลาดยามที่ต้องต่อสู้อย่างนั้นหรือ? เพื่อให้นายพร่ำบอกตัวเองว่านายพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว ยอมรับความล้มเหลวได้ไม่เป็นไรอย่างนั้นหรือ? คำพวกนั้นเป็นแค่ข้อแก้ตัว, เป็นแต่คำพล่ามเหลวไหล ขอเพียงแต่นายคว้าชัยชนะมาได้นายก็สามารถประกาศให้โลกได้รับรู้ว่า นายอยู่ตรงนี้”
อาโมรี่รู้สึกละอายขณะที่ถังเทียนสั่งสอน
“เจ้าวัวแมงวัน!” ถังเทียนมองอาโมรี่อย่างเคร่งขรึม
อาโมรี่เงยหน้าด้วยความรู้สึกละอาย
ถังเทียนกำหมัดแน่นและจ้องดูอาโมรี่ที่กำลังหน้าแดง เขาเน้นย้ำทีละคำ เค้นเสียงรอดไรฟัน “ต่อให้ใกล้ตายนายต้องคว้าชัยชนะให้ได้”
ต่อให้ตาย นายต้องคว้าชัยชนะ...
อาโมรี่พึมพำในใจ นัยน์ตาเพ่งมองและทวนย้ำประโยคนั้น
“ต่อให้ตายนายต้องคว้าชัยชนะ..”
ผู้เฒ่าเว่ยที่อยู่ใกล้ๆมีสีหน้าจมลึกอยู่กับความคิดพลันเปลี่ยนเป็นไร้อารมณ์ สายตาเหม่อมองของเขาค่อยๆปรากฏภาพลอยผ่านมานับไม่ถ้วนในดวงตา เขาฟุ้งซ่านไปชั่วขณะ ขณะที่การเข่นฆ่านับไม่ถ้วนและเสียงตะโกนก้องในหู
ต่อให้ตาย นายก็ต้องคว้าชัยชนะให้ได้
จู่ๆ ผู้เฒ่าเว่ยก็หัวเราะเงียบๆ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังบางทีเจ้าเด็กนี่อาจจะกลายเป็นผู้มีอิทธิพลที่ทรงอำนาจก็เป็นได้