ตอนที่แล้วตอนที่ 2-8 ทดสอบความถนัดทางเวท (1) 
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 2-10 คัมภีร์ลับเลือดมังกร (1)

ตอนที่ 2-9 การทดสอบความถนัดทางเวท (2)


“จำไว้ว่า เมื่อทดสอบความบริสุทธิ์ของพลังจิต เจ้าต้องอดทนเข้าไว้ ต้านทานไว้ให้นานเท่าที่ทำได้” เดลิน โคเวิร์ทพูดหนักแน่น “ข้าไม่รู้เรื่องธาตุลมมากนัก  ดังนั้นเจ้าจะต้องไปสถาบันจอมเวท  ด้วยความเข้ากันได้กับธาตุที่แข็งแกร่งมากขนาดนั้นคงจะเป็นเรื่องเสียเปล่าแน่นอน ถ้าเจ้าไม่ฝึกเวทธาตุลมด้วย”

ลินลี่ย์เข้าใจเรื่องนี้ได้ดี

“เชิญเข้ามาในวงเวท” บุรุษศีรษะล้านใช้คำว่า “เชิญ” เพิ่มขึ้นให้ลินลี่ย์

แม่แต่พวกขุนนางอยู่อยู่ใกล้ๆ เริ่มมองลินลี่ย์ด้วยมุมมองใหม่  สำหรับคนที่มีความเข้ากันได้กับธาตุอย่างยอดเยี่ยมก็หมายความว่าพวกเขาสามารถสร้างพลังเวทได้ในช่วงเวลาสั้นๆเวลาที่เหลือสามารถใช้ฝึกพลังจิตได้ อนาคตของเขาไม่มีขีดจำกัดแน่นอน

ลินลี่ย์ก้าวเข้าไปในวงเวท

ทันใดนั้นวงเวทเปล่งรังสีขาวและจากนั้นเป็นความรู้สึกกดดันท่วมทับวิญญาณลินลี่ย์ทันที

เวทธาตุแสง – กำราบ

“อ่อนจังเทียบกับแรงกดดันของมังกรดำจากเมื่อครึ่งปีที่แล้ว  ไม่ได้ใกล้เคียงในระดับเดียวกันเลย”  ลินลี่ย์ผ่อนคลายพอจะคิดถึงเรื่องนั้น

ขณะที่เวลาผ่านไป รังสีวงเวทก็เพิ่มความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และแรงกดก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน  ทุกคนในหอประชุมใหญ่กลั้นหายใจขณะที่ทุกคนมองเห็นชัดเจนในอนาคตว่าเด็กที่แต่งชุดธรรมดานี้จะกลายเป็นจอมเวททรงพลังแน่นอน

“มีใครรู้จักเด็กคนนั้นบ้างไหม?เขาเป็นคนจากตระกูลใด?” พวกขุนนางที่อยู่ข้างหน้าซุบซิบกันเอง

ถ้าพวกเขาผูกมิตรกับเด็กผู้มีศักยภาพน่าอัศจรรย์นี้ได้  พวกเขาอาจได้พันธมิตรที่น่ากลัวในอนาคต

“เขาชื่อลินลี่ย์หรือ?”พวกตัวแทนรับสมัครของสถาบันจอมเวทรู้จักชื่อของเขาจากผู้ดำเนินการทดสอบ

ผู้รับสมัครของสถาบันจอมเวทกลุ่มใหญ่ที่เดิมทีนั่งอยู่ตรงนั้นต่างยิ้มมองดู สถาบันจอมเวทที่ไหนบ้างเล่าไม่ต้องการรับสมัครอัจฉริยะอยางนี้?

ลินลี่ย์ยืนอยู่ตามลำพังในวงเวทยังคงต่อต้านแรงกดกำราบต่อไป

ลินลี่ย์กำลังหายใจหนักหน่วงและทันทีนั้นจิตใจเขารู้สึกพร่ามัว  แรงกดดันวิญญาณที่ทรงพลังกำลังกดทับเขาเหมือนกับภูเขา  และพลังกดดันนั้นยังเพิ่มต่อเนื่องขึ้นอีก  แต่ลินลี่ย์ก็ยังทนต่อไป

“ยิ่งเราทนได้นานเราก็สามารถเข้าสถาบันจอมเวทดีๆ ได้” ลินลี่ย์กัดฟัน

จากนั้น เมื่อแรงกดดันสูงถึงระดับหนึ่ง ในที่สุดลินลี่ย์ก็ต่อต้านไม่ไหว  เขาคุกเข่าข้างหนึ่ง เขากำหมัดแน่นอยู่บนพื้น

สายตาทุกคนหันไปมองผู้เฒ่าศีรษะล้าน

เขามีความสุขจนหน้าแดงมากขึ้น ผู้เฒ่าศีรษะล้านประกาศด้วยเสียงแจ่มชัด “ความบริสุทธิ์ของพลังวิญญาณสิบแปดเท่าของคนวัยเดียวกันถือว่าเป็นระดับที่สูง ความบริสุทธิ์วิญญาณสูง และความเข้ากันได้กับธาตุยอดเยี่ยม”

พอถึงตอนนี้ ผู้รับสมัครของสถาบันจอมเวทต่างๆ ก็พุ่งเข้ามา “สวัสดี, ลินลี่ย์ข้ามาจากสถาบันเวทแลนเดอร์ สถาบันเวทแลนเดอร์ของเรามีความจำนงจะรับเจ้าเข้าในโรงเรียนของเรา   ตราบใดที่เจ้าสมัครเข้าเรียนในโรงเรียนเราเจ้าจะได้เรียนฟรีไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน และทุกๆปีเราจะให้เจ้าพันเหรียญทองสำหรับค่าอยู่อาศัย เราจะเชิญครูจอมเวทที่มีทักษะโดยเฉพาะมาฝึกให้เจ้าเป็นการเฉพาะบุคคล”

“ลินลี่ย์, ข้ามาจากสถาบันเวทเวลลิง เรา.....”

…..

พอเห็นฝูงคนรุมล้อมรอบตัวเขาและปฏิบัติต่อเขาอย่างอบอุ่น  ลินลี่ย์ตะลึงไปนาน ขณะที่ในใจของเขาเขาถอนหายใจด้วยความตื่นเต้น เพียงชั่วพริบตา ผู้รับสมัครมากมายก็รู้จักชื่อของเขา  นี่น่าทึ่งมาก

“นี่ทุกท่าน, ขอเชิญกลับไปที่นั่งของพวกท่านด้วย  เราจำเป็นต้องทำการสอบต่อไป”  บุรุษชราศีรษะล้านพูดเสียงนุ่มนวล

เขาสามารถเย่อหยิ่งต่อคนธรรมดาทั่วไปได้ แต่เขาต้องสุภาพต่อตัวแทนสถาบันเวทที่ทรงพลัง

“ลินลี่ย์! สถาบันเอินส์ของเรามีความเต็มใจจะเชิญเจ้าให้เป็นหนึ่งในนักเรียนของเรา”  ในที่ไกลออกไปมีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นและเมื่อเสียงนั้นดังขึ้น หอประชุมทั้งหมดก็เงียบลง  แม้แต่ผู้อาวุโสศีรษะล้านก็หยุดพูด

ลินลี่ย์หันไปดู

บุรุษวัยกลางคนชุดขาวเดินเข้ามา เขายิ้มพลางพูด“ความเข้ากันได้กับธาตุยอดเยี่ยม ความบริสุทธิ์ของวิญญาณสูง และเป็นประเภทสองสายธาตุ  ลินลี่ย์ สถาบันเอินส์ของเรายินดีต้อนรับเจ้าขอให้มาร่วมกับเรา  ไม่ทราบว่าเจ้ายินดีจะเข้าสถาบันเอินส์ของเราหรือไม่?”

ฮิลแมนที่อยู่ใกล้ๆ ยืนจ้องตะลึงอยู่เงียบๆ เขาวิ่งมายืนข้างๆ ลินลี่ย์ทันที และตื่นเต้นจนมือสั่น

สถาบันเอินส์?

เข้าสถาบันเวทอันดับหนึ่งของทวีปยูลาน สถาบันเอินส์? นี่แสดงว่ายังไง?

แสดงว่าทันทีที่เขาเรียนจบ  แม้ว่าเขาจะเป็นแค่นักเรียนธรรมดา เขาสามารถได้รับบรรดาศักดิ์เอิร์ลในอาณาจักรใกล้ๆ ได้ง่าย  ถ้าเขาเป็นนักเรียนชั้นยอดแม้แต่สี่จักรวรรดิใหญ่ก็ยินดีต้อนรับเขาแน่นอน

ทั่วทั้งทวีปยูลานที่กว้างขวาง แต่ละปีสถาบันเอินส์จะรับนักเรียนเพียงร้อยคน

หนึ่งร้อยคนต่อหนึ่งปีหมายความว่ายังไง?

นักเรียนทุกคนที่เข้าเรียนในสถาบันเอินส์ถูกเรียกว่าเป็นอัจฉริยะ!

“ลินลี่ย์, ตอบรับเขาซะ”  ฮิลแมนพูดอย่างตื่นเต้น

ลินลี่ย์ก็ตื่นเต้นเช่นกัน แต่หัวของเขาปลอดโปร่ง และภายนอกเขายังดูใจเย็น  ลินลี่ย์รู้ดีว่าการกลายเป็นสมาชิกของสถาบันเอินส์และด้วยคำแนะนำของเดลินโคเวิร์ท ภายในไม่กี่สิบปีคงไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะกลายเป็นจอมเวทระดับเจ็ดหรือระดับแปด

ตระกูลของเขาจะกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง

“ขอรับ, เป็นเกียรติของข้าที่จะได้เข้าศึกษาในสถาบันเอินส์”  ลินลี่ย์พูดอย่างสุภาพ

บุรุษชุดขาวประหลาดใจกับความสงบของลินลี่ย์แต่ก็ยังคงยิ้ม “ลินลีย์,ข้าจะให้ข้อมูลและรายละเอียดสถาบันแก่เจ้า เมื่อถึงเวลา ก็แค่นำหลักฐานยืนยันไปที่สถาบัน และทดสอบแบบนี้อีกครั้งเจ้าก็จะกลายเป็นนักเรียนของสถาบันเราอย่างเป็นทางการ”

ไม่มีประโยชน์ที่จะลองและหาคนอื่นมาทดสอบแทนท่าน เพราะว่าแต่ละโรงเรียนก็จะมีการทดสอบสำรองเช่นกัน

“ในแต่ละปีการศึกษา จะแบ่งออกเป็นสองเทอมเทอมแรกจะเริ่มต้นในวันที่เก้ากุมภาพันธ์ ตราบใดที่เจ้ามาถึงวันที่เก้ากุมภาพันธ์ ก็ไม่เป็นไร  นี่คือหลักฐานยืนยันสถานะของเจ้า  จัดได้ว่าเป็นหลักฐานรับตัวเจ้า” บุรุษชุดขาวนำจดหมายปิดผนึกสีแดงออกมาจากแขนเสื้อ

ความจริง ทันทีที่รู้ผลทดสอบของลินลี่ย์ เขาได้บันทึกรายละเอียดของลินลี่ย์ไว้ในกระดาษจดหมาย  เพราะบุรุษชุดขาวเชื่อโดยไม่มีข้อสงสัยว่าจะไม่มีผู้ใดปฏิเสธข้อเสนอของสถาบันเอินส์

“ขอบคุณ” ลินลี่ย์รับจดหมาย

ภายนอกลินลี่ย์ไม่ได้ดูตื่นเต้นนัก แต่ฮิลแมนตื่นเต้นจนควบคุมตนเองไม่ได้ นักเรียนสถาบันเอินส์  ใครบ้างที่ไม่ให้เกียรติพวกเขา? อนาคตของลินลี่ย์แทบจะเดาได้แล้ว

“ลุงฮิลแมน! ไปกันเถอะ”  ลินลี่ย์เก็บจดหมายแดงไว้ในเสื้อเขาและจากนั้นก็ออกไปจากหอประชุมใหญ่พร้อมกับฮิลแมน

แม้ว่าจะมีคนเป็นจำนวนมาก แต่ทุกคนในหอประชุมใหญ่ ตั้งแต่คนธรรมดาจนถึงขุนนาง ทั้งหมดถอยเปิดทางให้เขาผ่านไปได้  แม้ว่าพวกขุนนางเหล่านั้นจะเคยดูแคลนลินลี่ย์ว่าเป็นเด็กบ้านนอกแต่ตอนนี้ทุกคนกำลังยิ้มให้เขาด้วยท่าทางเป็นมิตร ท่าทีของพวกเขาดูดีจนน่าประหลาด

นี่เป็นการแสดงออกง่ายๆ ถึงสถานะที่นักเรียนสถาบันเอินส์ได้รับ

ขณะที่ถูกกลุ่มขุนนาง, ชาวบ้านและเจ้าหน้าที่โบสถ์มองดูอยู่ลินลี่ย์และฮิลแมนก็ออกไปจากโบสถ์

“จี๊ดดดดด!”  หลังจากออกมาจากโบสถ์  หนูเงาน้อยส่งเสียงลั่นมันรู้สึกได้ถึงความตื่นเต้นของลินลี่ย์

พอถึงตอนนี้ลินลี่ย์ปล่อยให้ความตื่นเต้นปรากฏอยู่บนใบหน้า เขากำหมัดทันทีนัยน์ตาของเขาเป็นประกายกระตือรือร้น หันไปมองฮิลแมน  เขารีบพูดว่า“ลุงฮิลแมน ไปกันเถอะ, กลับเมืองอู่ซันกันเถอะ!  ข้าอยากให้ท่านพ่อทราบข่าว!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด