ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 45 กลับภูเขา เตรียมพร้อมการประลองยุทธ
ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 45 กลับภูเขา เตรียมพร้อมการประลองยุทธ
ฉีอู๋ฮุ่ยเดินทางมาอย่างมีความสุขและจากไปด้วยความโกรธ
เดิมทีเขาต้องการมาเมืองกวงหลิงในวันนี้เพื่อนมาหาตระกูลหยางเพื่อรับผลประโยชน์กลับไป ทว่าตนกลับไม่ได้รับอะไรเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังสูญเสียสมบัติบางส่วนไป
“ฮ่าฮ่า ไปกันเถอะ ไม่มีการแสดงให้ดูอีกต่อไปแล้ว…”
หลังจากฉีอู๋ฮุ่ยจากไป ฝูงชนก็เริ่มแยกย้าย ทุกคนต่างกลับบ้านของตนเอง
ก่อนที่เหออู๋ซวงจะจากไป เขาไม่ลืมที่จะคำนับเย่ชิว
หานเซิงอี้มองไปยังเหออู๋ซวงและส่ายหัว “เหยาเอ๋อ พวกเราไปกันเถอะ”
“ท่านลุงหานไปกันเถอะ” ก่อนที่ฝูเหยาจะจากไป นางมองไปยังเย่ชิวอย่างลึกซึ้งและจากไปโดยไม่พูดอะไร
ในไม่ช้า ทั้งถนนก็เหลือเพียงเย่ชิว ตระกูลเซียว ตระกูลหยางและสหายเต๋าทั้งสามคนจากภูเขาสวรรค์
“ท่านอาจารย์ เราจะไปที่ไหนกันต่อหรือ” จ้าวว่านเอ๋อดึงเสื้อคลุมสีแดงของนางและถามเบา ๆ
ในขณะนี้ เซียวจ้านแนะนำว่า “ท่านเย่เจินเหริน ท่านต้องการมาพำนักที่บ้านของข้าหรือไม่”
“ข้าซาบซึ้งในความตั้งใจดีของผู้อาวุโสเซียว การเดินทางลงเขาในครั้งนี้ล่าช้าไปมากเช่นกัน การลองยุทธเจ็ดขุนเขากำลังใกล้เข้ามา ได้เวลากลับของพวกข้าแล้ว” ขณะที่เขาพูด เย่ชิวมองไปยังเซียวอี้อย่างมีเลศนัยและกล่าวว่า “นายน้อยเซียว ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก! ดูเหมือนว่าเจ้าไม่ได้โกหกข้า…”
“ฮิฮิ ผู้อาวุโส ข้าจะกล้าโกหกท่านได้อย่างไร ข้าเป็นคนกตัญญูเป็นอย่างมาก ทุกคนในเมืองกวงหลิงล้วนรู้ว่าข้าเซียวอี้เป็นหนึ่งในลูกชายที่กตัญญูที่สุด” เซียวอี้เช็ดเหงื่อบนหน้าผากอย่างรู้สึกผิด
เย่ชิวแอบหัวเราะ “ดีมาก เช่นนั้นก็จงรักษามันต่อไป! เรื่องนี้ได้ยุติลงแล้ว ไปกันเถอะ…” เย่ชิวกล่าวอย่างใจเย็นและพาหลินชิงจู้และจ้าวว่านเอ๋อกลับไปยังขุนเขาเมฆาม่วง
เดิมทีเสี่ยวหลิงต้องการตามขึ้นไปบนภูเขา ทว่าจ้าวว่านเอ๋อบอกให้นางกลับบ้านและแสวงหาอิสรภาพที่ควรจะเป็นของนาง ไม่ใช่เป็นสาวใช้และรับใช้ผู้อื่นไปตลอดชีวิต
เสี่ยวหลิงรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก แต่นางก็ยังลังเลที่จะแยกทางกับองค์หญิง ในท้ายที่สุดเย่ชิวก็ให้สัญญาว่า หากนางคิดถึงองค์หญิง นางสามารถขึ้นมายังภูเขาเพื่อมาหาจ้าวว่านเอ๋อได้
“ท่านพ่อ ท่านกำลังคิดอะไรอยู่หรือ” หลังจากที่เย่ชิวจากไป เซียวจ้านกลับยืนอยู่ที่เดิมด้วยความงุนงง ขณะที่เขาคุ่รนคิดกับตนเอง เซียวอี้จึงถามด้วยความสงสัย
เซียวจ้านถอนหายใจและกล่าวจากก้นบึ้งของหัวใจว่า “เย่เจินเหรินเป็นอัจฉริยะในโลกใบนี้อย่างแท้จริง เขามีระดับการบ่มเพาะสูงตั้งแต่อายุยังน้อย ด้วยความแข็งแกร่งของเขาเอง เขาได้โจมตียอดฝีมือทั้งสามจากภูเขาสวรรค์จนบาดเจ็บสาหัส แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้หยิบสมบัติของเขาออกมาใช้ด้วยซ้ำ”
“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าความสำเร็จของเขาในเต๋ากระบี่จะมาถึงขอบเขตดังกล่าวแล้ว”
“ยิ่งกว่านั้นไป ศิษย์ทั้งสองของเขาเป็นเหมือนกับนกฟีนิกซ์ในสวรรค์ทั้งเก้า พรสวรรค์ของทั้งคู่นั้นยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก อนาคตของพวกเขานั้นไร้ขีดจำกัด”
“ดูเหมือนว่าการที่เราเดิมพันกับขุนเขาเมฆาม่วงจะเป็นการกระทำที่ถูกแล้ว”
หลังจากนั้นไม่นาน เซียวจ้านก็หันกลับมาและกล่าวกับเซียวอี้อย่างจริงจังว่า “อี้เอ๋อ ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก! หากเจ้าไม่ได้ปกป้องศิษย์สองคนของเย่เจินเหริน ตระกูล เซียวของเราคงไม่สามารถเกาะขาขุนเขาเมฆาม่วงได้อย่างง่ายดาย”
“เมื่อก่อนนั้นข้าสงสัยในความสามารถของเจ้าเป็นอย่างมาก หลังจากเหตุการณ์วันนี้ ข้าจะมองเจ้าในระดับใหม่ ข้าสามารถส่งต่อตระกูลเซียวให้เจ้าได้อย่างสบายใจเสียที”
เซียวอี้ตาค้างเมื่อได้ยินคำพูดของบิดา หลังจากผ่านไปหลายปี ในที่สุดเขาก็ได้รับการยกย่องจากบิดา
อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดอีกครั้ง เอ๊ะ… เช่นนั้น ข้าก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น ฮี่ฮี่ หากเทียบกับหยางเสี่ยวผู้โง่เขลาแล้ว ข้าช่างโดดเด่นเกินไป
หวังไห่กล่าวว่า “ผู้อาวุโส ตอนนี้ตระกูลใหญ่ทั้งหมดในเมืองกวงหลิงต่างล่วงรู้ว่าเรามีความสัมพันธุ์กับขุนเขาเมฆาม่วง ท่านคิดว่าเราควรแสดงความขอบคุณต่อเขาหรือไม่”
“เอาล่ะเจ้าพูดถูก! นำทองคำหนึ่งหมื่นตำลึงมมอบเป็นของขวัญและปรับปรุงขุนเขาเมฆาม่วงใหม่ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังคงเป็นผู้สนับสนุนตระกูลเซียวของข้า พลังอำนาจภายนอกของเราไม่สามารถด้อยกว่าได้”
“พวกเราขาดแคลนทุกอย่างยกเว้นเงินทอง!” เซียวจ้านกล่าวอย่างกล้าหาญ เขามองดูหยางเหอผู้น่าสงสารที่อยู่ไม่ไกลอย่างภาคภูมิใจและจากไปด้วยความภาคภูมิ
ไม่กี่ชั่วยามต่อมา
บนขุนเขาเมฆาม่วง ร่างสามร่างค่อย ๆ ร่อนลงบนพื้นหญ้าหน้ากระท่อมไม้
“นี่คือขุนเขาเมฆาม่วงหรือ” จ้าวว่านเอ๋อกล่าวด้วยความงุนงงขณะที่นางมองไปยังเมฆาม่วงท่ามกลางเวหา ทิวทัศน์ที่สวยงามราวกับสรวงสวรรค์ต่างทำให้ผู้คนดื่มด่ำไปโดยไม่รู้ตัว
นี่คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเซียนอย่างแท้จริง
มีพลังวิญญาณอบอวลอยู่มีมากมาย ภูเขาแม่น้ำ และทิวทัศน์ต่างงดงาม
“ชิงจู้! พาศิษย์น้องหญิงของเจ้าไปเดินเล่น ทำความเข้าใจกับอาณาเขตของขุนเขาเมฆาม่วง ในเวลาเดียวกัน บอกนางเกี่ยวกับกฎของสำนัก หลังจากนั้นก็กลับไปพักผ่อน พวกเราจะพูดคุยกันใหม่ในวันพรุ่งนี้” ทันทีที่กลับมายังขุนเขาเมฆาม่วง เย่ชิวก็เข้าไปในห้องของเขาอย่างหมดอาลัยตายอยากและสั่งหลินชิงจู้
“เอาล่ะศิษย์น้องหญิง! ตามข้ามา…”
หลินชิงจู้จากไปพร้อมกับจ้าวว่านเอ๋อ
ในห้อง เย่ชิวปิดประตูแน่นและเดินไปยังเตียง เขาหยิบกระดูกสัตว์อสูรออกมาจากหยกวิญญาณเร้นลับและศึกษามัน
กระดูกสัตว์อสูรนี้มีกลิ่นอายแห่งความมืดมิดที่แปลกประหลาดซึ่งกำลังรุกรานอย่างน่าสะพรึงกลัว
“นี่คือที่มาของความวุ่นวาย! แปลกยิ่งนัก… เกิดอันใดขึ้น”
หลังจากศึกษากระดูกสัตว์อสูรในมือแล้ว เย่ชิวก็นั่งลงบนเตียงและครุ่นคิด
เขาได้เก็บกระดูกสมบัตินี้มาจากหุบเหวหลังจากที่เข้าไปยังส่วนลึกของดินแดนรกร้าง กลิ่นอายความมืดบนกระดูกนี้มีลักษณะเดียวกันกับสัตว์อสูรที่เขาเจอก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม กลิ่นอายบนกระดูกนี้กลับแข็งแกร่งยิ่งกว่า นี่ควรเป็นกระดูกของสัตว์กลุ่มแรกที่ติดเชื้อ
ครั้งนี้ หลังจากเข้าไปยังดินแดนรกร้างแล้ว เย่ชิวยังบังเอิญค้นพบรอยแยกในแนวกั้นของดินแดนรกร้างทางตะวันออก นอกเหนือจากการค้นพบกระดูกชิ้นนี้ กลิ่นอายแปลกประหลาดเหล่านี้ยังได้หลั่งไหลเข้ามาจากดินแดนภายนอกและเริ่มแพร่เชื้อจากส่วนลึกของดินแดนรกร้าง
อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้ เขาเห็นเพียงสัตว์อสูรที่ติดเชื้อและยังไม่พบผู้ติดเชื้อ
เย่ชิวรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เขารู้สึกว่ามีเงื่อนงำซ่อนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
หลังจากพบรอยร้าวเขาก็เฝ้าดูอยู่นาน ทว่าก็ไม่พบอะไรจึงรีบเดินทางกลับมา
ระหว่างทางกลับ เขาได้ค้นพบสุสานของจักรพรรดิด้วยเช่นกัน น่าเสียดายที่เขาไม่ใช่คนแรกที่ค้นพบมัน
เหตุผลที่เหออู๋ซวงและคนอื่น ๆ ปรากฏตัวในเมืองกวงหลิงอาจเป็นเพราะสุสานของจักรพรรดิ
เหล่าตระกูลโบราณเหล่านี้ต่างรู้ดี
น่าเสียดายที่ตราประทับบนสุสานของจักรพรรดิยังคงแข็งแกร่งมากและไม่สามารถเปิดออกได้ในระยะเวลาอันสั้น เย่ชิวจึงตัดสินใจพาศิษย์ของเขากลับมาก่อน
ท้ายที่สุดแล้ว การเตรียมการสำหรับการลองยุทธเจ็ดขุนเขาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับทุกคนในสำนักเยียวยาสวรรค์
“ปวดหัวยิ่งนัก… ข้าจะนอนพักและหยุดคิดเรื่องนี้ สิ่งนี้กินพลังสมองของข้าเกินไป…”
เย่ชิวกุมหัวของเขาและนอนลงบนเตียง
ค่ำคืนผ่านไปอย่างสงบ
เช้าวันรุ่งขึ้น
“อา…” ยืดเส้นยืดสายอย่างเกียจคร้าน เย่ชิวได้เดินออกจากห้องของเขา หลังจากพักผ่อนมาหนึ่งคืน พลังวิญญาณที่เขาใช้ไปเมื่อวานก็ฟื้นคืนมาอย่างสมบูรณ์
“เอ๊ะ สาวน้อยทั้งสองคนนั้นอยู่ที่ไหนกัน ยังไม่ตื่นอีกหรือ” เย่ชิวชำเลืองมองห้องสองห้องด้านข้างเมื่อเขาเดินออกไป ประตูห้องทั้งคู่ยังคงปิดอยู่
เขาคิดว่าทั้งสองยังคงหลับอยู่ ทว่าจู่ ๆ เขาก็รู้สึกถึงกลิ่นอายที่ลอยอยู่บนหน้าผา
“ฮ่าฮ่า พวกเขาขยันไม่น้อย…” เย่ชิวยิ้มจาง ๆ
หลินชิงจู้และจ้าวว่านเอ๋อตื่นแต่เช้าตรู่ ทั้งสองคนกำลังชื่นชมทิวทัศน์ของขุนเขาเมฆาม่วง
เย่ชิวไม่ได้รบกวนพวกเขา เขากลับไปยังห้องฝึกซ้อมและเริ่มวันแห่งการบ่มเพาะของเขาเอง
หลินชิงจู้และจ้าวว่านเอ๋อเดินกลับมาพร้อมจับมือกันในตอนเที่ยง
“ท่านอาจารย์ พวกเรากลับมาแล้ว…” จ้าวว่านเอ๋อกล่าวอย่างมีความสุขทันทีที่นางเดินเข้ามา
ในวันนี้ หลินชิงจู้พานางตื่นแต่เช้าเพื่อฝึกฝนและเที่ยวชมทิวทัศน์ของขุนเขาเมฆาม่วง และรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก นางไม่เคยรู้สึกว่าตนเองมีอิสระเช่นนี้มาก่อน
เพียงวันเดียวนางก็ปรับตัวเข้ากับชีวิตที่นี่ได้ ที่นี่อบอุ่นเป็นอย่างมาก
ศิษย์พี่หญิงของนางดูแลตนเป็นอย่างดี และท่านอาจารย์ของนางก็ปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดี มันดีกว่าผู้คนในพระราชวังที่เย็นชามากโข
ในห้องโถงฝึกซ้อม เย่ชิวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นและพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ศิษย์ข้า นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าขึ้นภูเขามา เจ้าปรับตัวได้หรือไม่”
“ท่านอาจารย์ ข้าปรับตัวได้ดี สถานที่นี้ดียิ่งนัก เต็มไปด้วยความอบอุ่นราวกับอยู่บ้าน ข้าชื่นชอบที่นี่เหลือกัน”
“เช่นนั้นก็ดีมาก!”
[ปล. ช่วยกันซื้อตอนเยอะ ๆ จะได้แปลเยอะ ๆ ถึงจะปวดหลัง แค่เห็นยอดคนซื้อก็มีพลังแปลละครับ555]