ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 110 โจมตีกลางดึก
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 110 โจมตีกลางดึก
แปลโดย iPAT
คนทั้งสองปรากฏตัวต่อหน้าหลี่ฉิงซานอีกครั้ง ชายหนุ่มนำตั๋วแลกเงินออกมาโดยตรง “รับเงินและลงไปข้างล่าง!”
หลี่ฉิงซานผลักเงินกลับไป “ไปหาคนอื่นเถอะ!”
หญิงสาวหยุดชายหนุ่มที่กำลังโกรธ นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้า เฉียนหรงจื่อ นี่คือพี่ชายของข้า เฉียนหรงหมิง”
ผู้ดูแลขัดจังหวะด้วยความตกใจ “พวกท่านมาจากตระกูลเฉียนแห่งเมืองวายุบรรพกาลงั้นหรือ?” เมืองวายุบรรพกาลเป็นเมืองค่อนข้างใหญ่ ผู้ดูแลเคยได้ยินว่าเมืองนี้ให้กำเนิดจอมยุทธ์จำนวนมาก
เฉียนหรงหมิงก่นเสียงเย็นด้วยความภาคภูมิใจขณะที่เฉียนหรงจื่อพยักหน้าอย่างสงวนท่าที นางกล่าวต่อ “ข้าขอแนะนำให้เจ้ารับมันไว้ หากพี่ชายของข้าอารมณ์เสีย เขาจะฆ่าคนเสมอ” พวกนางมาจากตระกูลใหญ่ พวกนางต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ของตระกูลไม่มากก็น้อย ดังนั้นนางจึงชอบใช้วิธีขับไล่ศัตรูมากกว่าปล่อยให้เกิดการต่อส้
หลี่ฉิงซานผายมือ “จริงหรือ? แท้จริงแล้วนั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการเห็น” นี่เป็นครั้งที่สองที่คนทั้งสองเข้ามาหาเรื่องเขา มันจึงช่วยไม่ได้ที่เขาจะหมดความอดทน
การแสดงออกของเฉียนหรงจื่อเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางเกิดมาพร้อมพรสวรรค์ในการบ่มเพาะพลังปราณ ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเป็นหญิงงามแห่งเมืองวายุบรรพกาล นางเป็นหญิงที่ทรงอิทธิพลและมากความสามารถ ตั้งแต่นางยังเด็ก ทุกสิ่งที่นางกล่าวจะจบลงในรูปแบบที่นางต้องการเสมอ นางไม่เคยถูกปฏิเสธมาก่อน หากเปรียบเทียบกับความอดทนที่นางพยายามแสดงออก ความยโสของนางยังเกินกว่าพี่ชายของนางมาก นางเริ่มกล่าวเสียงเย็น “เจ้าปฏิเสธขนมปังเพื่อจะดื่มน้ำเปล่างั้นหรือ?”
“ข้าชอบดื่มน้ำ แต่ข้าก็ยินดีที่จะรับขนมปังไว้เช่นกัน!” หลี่ฉิงซานมองหน้านางอย่างไม่เกรงกลัว เขาต้องการรู้ว่าหญิงจากตระกูลใหญ่ผู้นี้จะตอบสนองอย่างไร
เฉียนหรงจื่อถอนหายใจและถอยหลังกลับไปก่อนกล่าวอย่างเฉยเมย “ผู้ใดจะคิดว่าผู้บ่มเพาะร่างกายจะกล้าไร้เหตุผลต่อหน้าจอมยุทธ์พลังปราณ หากคนโง่เขลาเช่นเจ้าตกตายไป มันก็ไม่ถือเป็นสิ่งใด”
เฉียนหรงหมิงเผยรอยยิ้มชั่วร้ายและก้าวออกมา ผู้ดูแลถอนหายใจ เขาเตรียมคนเก็บศพไว้แล้ว ท้ายที่สุดการเผชิญหน้ากับคนตระกูลเฉียนก็เป็นทางเลือกที่โง่เขลา
“ตระกูลเฉียนแห่งเมืองวายุบรรพกาล มันน่าภูมิใจมากงั้นหรือ?”
ทันใดนั้นเสียงสายหนึ่งก็ดังขึ้น ทุกคนมองไปทางต้นเสียงและเห็นชายวัยสามสิบที่มีใบหน้าสีเข้มและดวงตาเอียงขึ้นเดินเข้ามาด้วยสายตาเย้ยหยัน
“เจ้าเป็นใคร?” เฉียนหรงหมิงโกรธมาก เขากำลังจะเดินเข้าไปหาชายผู้นั้นแต่ถูกเฉียนหรงจื่อหยุดเอาไว้อีกครั้ง นางมองอย่างระมัดระวัง “ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าท่านคือผู้ใดและท่านคิดจะทำสิ่งใด?”
หัวใจของหลี่ฉิงซานเต้นไม่เป็นจังหวะ นี่คือจอมยุทธ์พลังปราณอีกคน นอกจากนั้นเขายังเป็นจอมยุทธ์ขั้นสาม ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะกล้าดูถูกพี่น้องจอมยุทธ์ขั้นสอง
ชายผิวคล้ำเย้ยหยัน “ลำพังพวกเจ้าสองคน พวกเจ้าไม่แม้แต่จะมีโอกาสเข้าร่วมกองกำลังผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ พวกเขาจะเสียเวลาไปเมืองเจียเผิงเพื่อสิ่งใด? พวกเจ้าควรลงจากเรือและกลับบ้านไปซะ!”
ตอนนี้หลี่ฉิงซานเข้าใจแล้วว่าคนผู้นี้ไม่ได้ยืนหยัดเพื่อเขาแต่เพื่อกำจัดคู่แข่งล่วงหน้า เขาสามารถอ่านจุดประสงค์ในการเดินทางของคู่พี่น้อง นั่นเป็นสาเหตุที่เขาเข้ามาและโจมตีด้วยวาจา
เฉียนหรงหมิงและเฉียนหรงจื่อมองหน้ากัน แม้ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะห่างกันเพียงระดับเดียว แต่การเผชิญหน้ากับคนระดับสูงกว่า พวกเขายังต้องพึ่งพาไพ่ตายทั้งหมด นี่จะทำให้การแข่งขันเพื่อแย่งชิงตำแหน่งผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ของพวกเขายากลำบากมากขึ้น
“เพียงรอก่อน” หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ พวกเขาเลือกที่จะข่มขู่และจากไป อย่างไรก็ตามคำกล่าวของพวกเขาไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ชายผิวคล้ำเท่านั้นแต่ยังรวมถึงหลี่ฉิงซานเช่นกัน
หลี่ฉิงซานกล่าว “ขอบคุณที่ช่วยข้า ข้าขอทราบชื่อของท่านได้หรือไม่?”
“เจ้าหนู อย่าทะนงตนมากนักเพียงเพราะเจ้ามีเงินอยู่บ้าง มีคนมากมายที่เจ้าไม่สามารถยั่วยุอยู่บนโลกใบนี้ ข้าแนะนำให้เจ้าออกจากเรือโดยเร็วที่สุด!” ชายผิวคล้ำกล่าวอย่างเย็นชาก่อนจะจากไป
หลี่ฉิงซานยักไหล่ นี่เป็นวิธีแสดงออกของผู้แข็งแกร่งที่ปฏิบัติต่อผู้อ่อนแอ
เรือเคลื่อนตัวออกจากท่าและมุ่งหน้าไปยังเมืองเจียเผิงอย่างช้าๆ
มีห้องไม่กี่ห้องอยู่ที่ชั้นบนสุดของเรือ ประตูทุกบานปิดอย่างแน่นหนา หลี่ฉิงซานเดินชมวิวอยู่บนดาดฟ้าและวางปัญหาที่พึ่งเกิดขึ้นไว้เบื้องหลัง
กลางดึก หลี่ฉิงซานนั่งสมาธิอยู่ในห้องของเขา ตอนนี้เขามีสี่เคล็ดวิชาที่ต้องฝึกฝนได้แก่หมัดปีศาจวัว หมัดปีศาจพยัคฆ์ จิตวิญญาณเต่า และการบ่มเพาะพลังปราณเบื้องต้น
แต่สิ่งที่เขามีความก้าวหน้ารวดเร็วในสุดในช่วงเวลานี้คือการบ่มเพาะพลังปราณเบื้องต้นเนื่องจากมันเป็นการบ่มเพาะระดับต่ำที่สุดของมนุษย์ เพื่อเปิดแหวนมิติ เขาต้องทุ่มเทความพยายามอย่างมากเพื่อฝึกเคล็ดวิชานี้
เสี่ยวอันไม่ได้บ่มเพาะ เขาหมอบอยู่มุมห้องและอ่านหนังสือ มีชั้นหนังสือสองชั้นอยู่ในห้อง พวกมันเก็บกวีนิพนธ์ บทเพลง รวมถึงคัมภีร์ทางศาสนาต่างๆเอาไว้ ตอนนี้เสี่ยวอันกำลังอ่านหลักคำสอนของศาสนาพุทธ
แม้เคล็ดวิชากระดูกขาวและความงามอันเป็นนิรันดร์จะเป็นเคล็ดวิชาสายปีศาจ แต่แก่นแท้ของมันยังมาจากศาสนาพุทธ ดังนั้นเสี่ยวอันจึงต้องทำความเข้าใจมัน เปลวไฟในเบ้าตาของเขาส่องสว่างราวกับโคมไฟทำให้มันดูเป็นภาพที่ค่อนข้างแปลก แต่ทันใดนั้นเด็กน้อยพลันเงยหน้าขึ้น
หลี่ฉิงซานเปิดเปลือกตาขึ้นเช่นกัน เขามองไปที่ประตู ทั้งสองล้วนมีประสาทสัมผัสเหนือคนธรรมดา ตอนนี้พวกเขาสามารถสัมผัสถึงร่างหนึ่งที่เดินขึ้นมายังชั้นบนสุดของเรืออย่างเงียบๆด้วยเจตนาสังหาร
เฉียนหรงหมิงเชื่อว่าเขาไม่ได้สร้างเสียงหรือปลดปล่อยกลิ่นอายใดๆออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่กังวลเกี่ยวกับหลี่ฉิงซานแต่กำลังป้องกันตัวจากจอมยุทธ์ขั้นสามที่อยู่ไม่ไกล เขาต้องการฆ่าหลี่ฉิงซานในคืนนี้
สำหรับจอมยุทธ์ข้างบ้าน เฉียนหรงหมิงไม่มีแผนการที่จะจัดการคนผู้นี้ก่อนการประลองชิงตำแหน่งผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ เมื่อเวลานั้นมาถึง เขาจะใช้ไพ่ตายของตนและคว้าตำแหน่งผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์มาครอง ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อนแก้แค้น
หัวใจของชายผิวคล้ำที่อยู่ในห้องใกล้เคียงเต้นไม่เป็นจังหวะ แม้เขาจะสัมผัสได้ถึงการมาของเฉียนหรงหมิงแต่เขาไม่มีแผนการที่จะเข้าแทรกแซง ในสายตาของเขา หลี่ฉิงซานไร้นัยสำคัญ นอกจากนั้นเด็กหนุ่มยังเมินเฉยต่อคำเตือนของเขา สุดท้ายหากหลี่ฉิงซานจะตกตายไป มันก็เป็นเพราะตัวเขาเอง
ชายผิวคล้ำคิดเพียงว่าเขาจะได้รับประโยชน์จากเหตุการณ์นี้หรือไม่ เฉียนหรงหมิงมาจากตระกูลใหญ่ เขาควรมีสมบัติติดตัวมาด้วย หากเขาฆ่าเฉียนหรงหมิง เขาอาจได้รับประโยชน์และสามารถกำจัดคู่แข่งล่วงหน้า นี่ทำให้ริมฝีปากของเขาขดตัวเป็นรอยยิ้มขณะที่เขายืนขึ้นอย่างเงียบๆ
ประตูถูกเปิดออก เฉียนหรงหมิงพุ่งเข้าไปและใช้ฝ่ามือฟาดไปที่หลี่ฉิงซานโดยตรงก่อนจะเผยรอยยิ้มมีความสุข
“ยิ้มเพื่อ?” หลี่ฉิงซานเปิดเปลือกตาขึ้นพร้อมแสงสีแดงในดวงตา
เฉียนหรงหมิงตกใจอยู่ภายใน เขาต้องการโจมตีอีกครั้ง แต่ร่างกายของเขากลับไร้เรี่ยวแรง เขามองหน้าอกของตนด้วยความไม่อยากจะเชื่อเมื่อเห็นดาบแทงทะลุหัวใจของเขา
เขาถูกลอบโจมตี! สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือเขาไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของผู้ใดก็ตามที่อยู่ด้านหลังเขา มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่รู้สึกถึงผู้ใดเลย เว้นเพียงคนผู้นั้นจะไม่หายใจหรือหัวใจไม่เต้น เขาหันกลับไปอย่างยากลำบาก ภาพสุดท้ายในชีวิตของเขาคือโครงกระดูกที่มีเปลวเพลิงลุกไหม้อยู่ในรูเบ้าตา จากนั้นเพลิงโลหิตก็กลืนกินร่างกายของเขาและเปลี่ยนเลือดเนื้อของเขาเป็นส่วนหนึ่งของมัน
เฉียนหรงหมิงไม่อ่อนแอและไม่ได้ประมาท แต่เพราะความแข็งแกร่งของเสี่ยวอันในปัจจุบันเทียบเท่ากับจอมยุทธ์ขั้นสามหรือขั้นสี่ไปแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งระดับดังกล่าวรวมกับการลอบโจมตี มันไม่แปลกที่เฉียนหรงหมิงจะถูกสังหารในจังหวะเดียว
หลี่ฉิงซานถอนหายใจ “มันเป็นเพียงความขัดแย้งเล็กๆน้อยๆ เหตุใดเจ้าต้องพยายามฆ่าข้า? เจ้ายโสเกินไปหรือข้าสุขุมเกินไป?” ย้อนกลับไปในโรงเตี้ยม หลี่ฉิงซานมีกำลังมากพอที่จะฆ่าคนผู้นี้ อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ลงมือเพราะกลัวปัญหา แต่มันเป็นเพราะเขาไม่ต้องการฆ่าคนตามอำเภอใจ หากเขาต้องฆ่า เขาก็ต้องมีเหตุผลเพียงพอที่จะฆ่า สำหรับคนอื่น พวกเขาอาจมีความคิดที่แตกต่างออกไป บางทีในสายตาของพวกเขา คนทั่วไปก็เป็นเพียงมดปลวกที่พวกเขาสามารถบดขยี้ได้โดยไม่แยแส
เขาตรวจสอบสมบัติที่ยึดมาได้โดยไม่ตั้งใจแต่เขาไม่พบยันต์หรือเม็ดยาใดๆ ทั้งหมดที่เขาพบคือกระเป๋าผ้าปักลายสีดำที่ทรุดโทรมใบหนึ่ง มันดูค่อนข้างตรงข้ามกับการปรากฏตัวของเฉียนหรงหมิงในฐานะนายน้อยตระกูลใหญ่อย่างสิ้นเชิง
หลี่ฉิงซานส่งพลังปราณของเขาเข้าไปในกระเป๋าสีดำ ทันใดนั้นมิติซ่อนเร้นก็ปรากฏขึ้นในใจของเขา มันเหมือนกล่องขนาดเล็กที่บรรจุสิ่งของต่างๆเอาไว้
มีตั๋วแลกเงินจำนวนมากบรรจุอยู่ นอกจากนั้นมันยังมีขวดเล็กๆและยันต์ ด้วยหนึ่งความคิด สิ่งของเหล่านั้นปรากฏขึ้นในมือของเขา
หลี่ฉิงซานมีความสุขมาก ปรากฏว่านี่คือกระเป๋าร้อยสมบัติในตำนาน ในช่วงไม่กี่วันก่อนหน้า เขาได้เรียนรู้เรื่องราวมากมายเกี่ยวกับจอมยุทธ์จากหยางซ่ง เขารู้ว่าแหวนมิติเป็นสมบัติที่มีเพียงจอมยุทธ์ที่ทรงพลังเท่านั้นที่สามารถครอบครอง แหวนมิติมีพื้นที่กว้างใหญ่อยู่ภายใน กระทั่งหยางซ่งก็ไม่มีแหวนมิติและไม่แม้แต่จะเคยเห็นของจริง เขาเคยได้ยินเรื่องราวของมันเท่านั้น สำหรับจอมยุทธ์ทั่วไป พวกเขาจะใช้กระเป๋าร้อยสมบัติ
เหตุผลที่เขารู้สึกคุ้นเคยกับกระเป๋าปักลายสีดำใบนี้เพราะเขาเคยเห็นกระเป๋าร้อยสมบัติของหวังฝูซื่อมาก่อน อย่างไรก็ตามกระเป๋าร้อยสมบัติของหวังฝูซื่อดูน่าประทับใจกว่านี้มาก มันต้องมีพื้นที่มากกว่ากระเป๋าที่ทรุดโทรมใบนี้อย่างไม่ต้องสงสัย โดยไม่ต้องคิดมาก เขาตัดสินได้ทันทีว่ากระเป๋าร้อยสมบัติของเฉียนหรงหมิงเป็นเพียงกระเป๋ารุ่นมาตรฐานทั่วไป มันไม่สามารถแม้แต่จะเก็บอาวุธยาว
อย่างไรก็ตามแม้มันจะเป็นกระเป๋าร้อยสมบัติทั่วไป มันก็ยังเป็นสมบัติหายาก อย่างน้อยที่สุดจอมยุทธ์ขั้นสองเช่นหยางซ่งก็ไม่มีมันในการครอบครอง กล่าวได้ว่าภูมิหลังของเฉียนหรงหมิงค่อนข้างน่าประทับใจ
หลี่ฉิงซานตรวจสอบสิ่งของที่อยู่ในกระเป๋าร้อยสมบัติ มันมีเม็ดยารักษาอาการบาดเจ็บและเม็ดยารวบรวมพลังปราณ พวกมันไม่ใช่เม็ดยาทั่วไปแต่เป็นเม็ดยาจิตวิญญาณที่แท้จริง แน่นอนว่ามันไม่สามารถเปรียบเทียบกับเม็ดยาจิตวิญญาณของซวนเยว่ อย่างไรก็ตามพวกมันเป็นสิ่งที่หลี่ฉิงซานต้องการในเวลานี้