ตอนที่ 30 เปิดงานยิ่งใหญ่
หญิงงามวัยกลางคนกำลังถือชิ้นส่วนเกล็ดหมึกชิ้นเล็กๆนัยน์ตาคู่งามของเธอบ่งบอกถึงความประหลาดใจ
หลังจากเพ่งดูอยู่นาน เธอถึงมีอาการตอบสนอง
“นี่คือพลังร่างกระเรียน” หญิงงามวัยกลางคนวางเกล็ดหมึกลง
“พลังร่างกระเรียน?” หานปิงหนิงไม่เคยได้ยินชื่อนั้นมาก่อน
“อืม.. เดี๋ยวนี้มีคนรู้จักกันน้อยมาก” หญิงงามวัยกลางคนพึมพำ“สำนักกระเรียนเริ่มก่อตั้งโดยปรมาจารย์ผู้มีลมปราณกระเรียน และหมู่ดาวกระเรียนฟ้าในวันนี้ก็คือทางผ่านเข้าไปในสวรรค์วิถี กำเนิดของปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญปราณกระเรียนยังไม่ชัดเจนมีความเป็นไปได้สูงที่เขาอาจเป็นศิษย์ที่มาจากสำนักหลิวตะวันออก”
“หมู่ดาวกระเรียนฟ้า?” หานปิงหนิงประหลาดใจ เธอเคยได้ยินชื่อหมู่ดาวนี้ แต่เป็นหมู่ดาวที่ธรรมดามาก
“สำนักกระเรียนสูญเสียเคล็ดฝึกวิชาที่แท้จริงไปและตกต่ำมาหลายปี ในอดีตสถานะหมู่ดาวกระเรียนฟ้า คนธรรมดาในปัจจุบันนี้ไม่สามารถนึกภาพออกได้” หญิงวัยกลางคนเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจเธอส่ายหน้าถอนหายใจเล็กน้อย “ฉันไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะได้เห็นเคล็ดดั้งเดิมของสำนักกระเรียนที่นี่”
เธอยื่นเกล็ดหมึกคืนให้หานปิงหนิงแล้วกล่าวว่า“เคล็ดวิชาฝึกฝนปราณเฉพาะอย่างของสำนักกระเรียนนั้นมีชื่อว่าคัมภีร์ปราณกระเรียน ยากที่จะถอดความหมายและทำความเข้าใจได้ และความยากในการฝึกฝนอยู่ในระดับที่สูงมาก ความพิเศษของคัมภีร์ปราณกระเรียนก็คือร่างกระเรียน เล่าลือกันว่าเมื่อบรรลุร่างกระเรียน พลังเที่ยงแท้ของผู้ฝึกจะมีพลังแหลมและคมเหมือนกับจะงอยปากกระเรียน มีพลังทำลายที่ทรงอานุภาพ ดังนั้นมันจึงถูกเรียกว่าพลังงานร่างกระเรียน ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงสมัยกลางของสำนักกระเรียน แต่เคล็ดวิชาดั้งเดิมหายสาบสูญไปและตอนนี้ไม่มีผู้ใดรู้วิธีฝึกฝนร่างกระเรียน ดังนั้นฉันคาดไม่ถึงเลยว่าจะได้เห็นที่นี่จริงๆ”
“แข็งแกร่งมากนักหรือคะ?” หานปิงหนิงนัยน์ตาเบิกค้าง น้ำเสียงของอาจารย์ใหญ่เต็มไปด้วยความยกย่องชื่นชมซึ่งเป็นภาพที่เห็นได้ยาก
“คนในสำนักกระเรียนแต่ละรุ่นไม่รู้ว่ามากมายเพียงไหนต่างก็ค้นหาวิธีฝึกฝนร่างกระเรียนมาตลอดชีวิตของพวกเขา”หญิงงามวัยกลางคนพูดอย่างจริงจัง “ยอดฝีมือปราณกระเรียนที่ในอดีตอาศัยพลังของมันจึงสถาปนาหมู่ดาวกระเรียนฟ้าที่ทรงพลังขึ้นมาได้ คิดดูสิว่าแข็งแกร่งเพียงไหน หลังจากผ่านมาเกือบสามร้อยปี นอกจากราชสีห์เลโอนผู้ข่มหัวใจราชสีห์คลั่งได้และครองตำแหน่งสุดยอดฝีมือแห่งหมู่ดาวเลโอ ใครยังจะสร้างผลงานได้โดดเด่นขนาดนั้น?พวกนั้นสามารถใช้พลังของตนเองภายในสวรรค์วิถีสถาปนาหมู่ดาวของพวกเขาเอง ทุกคนเป็นยอดฝีมือที่ไม่มีใครเทียบติด เคล็ดวิชาดั้งเดิมของพวกเขาเป็นการเรียนรู้วิทยายุทธระดับสูงสุดของโลก”
หานปิงหนิงตะลึงอ้าปากค้างด้วยความตกใจ เธอรู้สึกว่ายิ่งอาจารย์ใหญ่เล่าให้ฟังมากเท่าไหร่ก็ยิ่งตกตะลึงมากเท่านั้น
ไม่ว่าเธอจะทำยังไง เธอก็ไม่สามารถหาความเชื่อมโยงระหว่างเจ้าเด็กดิบเถื่อนกับจอมยุทธที่ยอดเยี่ยมในอดีตได้เลย
หญิงงามวัยกลางคนพึมพำกับตัวเอง “เขาคงได้แต่เพียงเคล็ดฝึกฝนกำลังภายใน ถ้าไม่อย่างนั้น เขาคงไม่เรียนวิชาหมัดพิฆาตน้อย แม้ว่าหมัดพิฆาตน้อยมีแนวโน้มว่าเป็นวิชาอำมหิต แต่เมื่อเทียบกับวิทยายุทธของสำนักกระเรียน ก็ยังนับว่าอ่อนกว่ามาก”
ทันใดนั้น หญิงงามวัยกลางคนลืมคำถามที่ถูกละเลยมาเป็นเวลานาน “ปิงหนิง,เขาคือใครกัน? ครูมัวแต่ถือสันโดษนานเกินไปกระมัง? เมืองซิงฟงให้กำเนิดอัจฉริยะเยาว์วัยตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
อัจฉริยะเยาว์วัย....
ปากของหานปิงหนิงสั่นเล็กน้อย.. เธอพยายามควบคุมตนเอง “ถังเทียนแห่งสถาบันคาราเมลค่ะ”
“ถังเทียนเหรอ?” หญิงงามวัยกลางคนส่ายหน้า“ครูไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อน ดูเหมือนจะเป็นคนใหม่ ปิงหนิง! เธอต้องระวังคนผู้นี้ให้มากไว้ เธอจะต้องไม่ประมาท มีหลายคนที่ไม่คุ้นเคยกับเอกลักษณ์พิเศษของปราณร่างกระเรียน เขาสามารถใช้ปราณได้นานอย่างน่าอัศจรรย์ต่อเนื่องเป็นเวลานาน”
หานปิงหนิงยังคงตอบรับ และหญิงงามวัยกลางคนลุกขึ้นยืนพึมพำกับตนเอง “ดูเหมือนว่าเร็วๆนี้ฉันคงย่อหย่อนมากไปหน่อย จากวันนี้เป็นต้นไป ฉันจะลงมาควบคุมดูแลพวกเธอทุกคนฝึกฝนด้วยตัวเอง”
หานปิงหนิงตะลึง “ไม่ต้องก็ได้ค่ะ อาจารย์ใหญ่, ทุกคนฝึกฝนหนักอยู่แล้ว”
“ไม่มีทาง” หญิงงามวัยกลางคนโบกมือและพูดตัดบทหานปิงหนิง“ฉันผ่อนปรนมามากเกินไปแล้ว จำเป็นต้องทำให้เป็นตัวอย่างและออกไปสู้แนวหน้าบ้าง”
หานปิงหนิงหน้าสีหน้าขาวเผือด อาจารย์ใหญ่เป็นคนเข้มงวดกวดขันเมื่อลงมาฝึกฝน ทันทีที่เธอเริ่มฝึกฝน เธอจะไม่มีโอกาสได้พัก ถ้าเธอมาดูการฝึกของหานปิงหนิงนั่นคงจะเป็นฝันร้ายแน่นอน
เธอรู้สึกเสียใจที่เอาเกล็ดหมึกมาให้ท่านดู
ทุกอย่างเป็นเพราะถังเทียนคนเดียว
※※※※※※※※※※※※※※
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ใกล้จะถึงงานชุมนุมวิทยายุทธเมืองซิงฟง ในเมืองกลับกลายเป็นคึกคักยิ่งขึ้น
ชุมนุมวิทยายุทธซิงฟงคือเหตุการณ์ที่ใหญ่ที่สุดของเมืองซิงฟง ผู้คนที่เข้าร่วมต่อสู้ในงานชุมนุมวิทยายุทธซิงฟงไม่ได้มีแต่เพียงนักเรียนและคนจากสถาบันในเมืองซิงฟงเท่านั้น แต่ยังมีผู้ฝึกยุทธชาวต่างถิ่นต่างเมืองอีกมากมาย งานชุมนุมยุทธจักรซิงฟงไม่ได้จำกัดแค่เพียงนักเรียนเท่านั้น แต่ยังเป็นการเปิดให้สู้กันอย่างอิสระเพื่อรางวัลล่อใจ ดังนั้นจึงดึงดูดนักสู้จากต่างถิ่นมามากมาย
มีผู้ฝึกวิทยายุทธมากมายมารวมตัวในงานชุมนุมวิทยายุทธ ดังนั้นจึงทำให้เมืองซิงฟงน่าสนใจมากขึ้นและคราคร่ำไปด้วยผู้คน หลายๆคนมาจากเมืองที่อยู่ห่างไกลออกไปเพื่อมาชมดูการประลอง
จำนวนผู้คนสัญจรไปมาบนท้องถนนมากกว่าปกติ โรงเตี๊ยมที่พักเกือบทุกแห่งเต็มหมด
จำนวนของนักสู้ผู้ฝึกยุทธที่เข้าร่วมประลองในปีนี้สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ บนเส้นเชือกที่ขึงไว้สำหรับผู้ฝึกวิชาตัวเบาภายนอกเมือง มีเงาร่างคนแล้วคนเล่าใช้วิชาตัวเบาต่างๆใช้สัญจรไปมา
“นี่, ผู้เฒ่าเว่ย,ทำไมปู่ถึงฉุดเรามาที่นี่แต่เช้าตรู่เล่า? ปู่กำลังรบกวนเวลานอนหลับของเราอยู่นะ” ถังเทียนเดินพลางบ่นอุบไปพลาง เสี่ยวหนานหนานขี่คอเขาพลางกินขนมอย่างสบายใจ
“เจ้าโง่! พวกแกต้องเข้าร่วมการแข่งขันคัดตัวเบื้องต้นก่อน” ผู้เฒ่าเว่ยมองดูเขาอย่างรังเกียจเล็กน้อย
“มีการแข่งขันคัดตัวเบื้องต้นที่งานชุมนุมวิทยายุทธซิงฟงด้วยเหรอ?” อาโมรี่ประหลาดใจ “ทำไมฉันไม่รู้มาก่อน?”
“สถาบันอย่างเหมิ่งโซ่วเห็นได้ชัดว่าไม่ต้องเข้าร่วมแข่งขันเบื้องต้น” ผู้เฒ่าเว่ยพูด “สถานะของเราไม่ได้ดีที่สุด ดังนั้นเราต้องไปเริ่มต้นการแข่งขันคัดตัวเบื้องต้น”
“โอว, จริงด้วย เราเป็นสถาบันอันดับสามจากบ๊วย ดังนั้นเราต้องเริ่มสู้จากการแข่งขันคัดตัวเบื้องต้น” อาโมรี่เข้าใจทันที
ผู้เฒ่าเว่ยสะดุ้งโหยงเหมือนถูกเหยียบหาง “อาโมรี่! อย่าทิ้งเบาะแสใดๆ เกี่ยวกับสถานะของสถาบันของเรา? แกอย่าหลงใหลกับการต่อสู้เพราะย้ายสถาบันได้ไหม?”
“ถังพื้นฐาน นายถูกความหลงใหลการต่อสู้เผาผลาญบ้างหรือเปล่า?” อาโมรี่หันหน้าไปถามถังเทียน
“ฉันอยากหลับว่ะ” ถังเทียนหาว
“เมื่อคืนนี้แกมัวไปทำอะไร?” ผู้เฒ่าเว่ยถามด้วยความสงสัย
“ฝึกหมัดพิฆาตน้อย” ถังเทียนยังคงหาวต่อไป ด้วยท่าทีที่อ่อนเพลีย
“หมัดพิฆาตน้อย? ฉันกำลังตั้งตารอพอดี? ถังพื้นฐาน! เรามาสู้กันให้สะใจเลย! เพื่อเชียนฮุ่ย...” อาโมรี่ชูดาบตะโกนลั่น
โป๊ก!มะเหงกของใครคนหนึ่งเขกใส่กบาลเขาค่อนข้างแรง
ผู้เฒ่าเว่ยหน้าบึ้ง“อาโมรี่ ถ้าแกแข่งแพ้วันนี้นะ, หึหึ”
เสียงหัวเราะเย้ยหยันทำให้อาโมรี่กลับมาเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่ายทันที
เมื่อทั้งสี่คนมาถึง พวกเขากลัวกับการหลั่งไหลของผู้คน ถนนแน่นขนัดและคึกคักไปด้วยกิจกรรมต่างๆได้ยินเสียงโห่ร้องดังก้องอย่างน่าประหลาดใจ ถังเทียนและอาโมรี่มองด้วยความงุนงงทั้งคู่
“นี่เป็นแค่การแข่งขันคัดตัวเบื้องต้น แต่ก็มีผู้คนมากมายขนาดนี้เชียวเหรอ?” อาโมรี่มีสีหน้าตื่นตะลึงสิ้นเชิง
“เฉพาะผู้ที่เริ่มต้นฝึกฝน ต้องเริ่มสู้จากการแข่งขันคัดตัวเบื้องต้น” ผู้เฒ่าเว่ยกลับสงบได้มาก เขาล้วงกระดาษออกมาจากอกและก้มไล่อ่านดูอย่างระมัดระวัง พึมพำกับตัวเอง “อาโมรี่ แกไปที่ลานหมายเลข5267 ขณะที่เสี่ยวถัง ไปที่ลานหมายเลข3897 เข้าใจไหม เห็นป้ายนี่ไหม? พวกแกทั้งสองคนไปตรวจดูตำแหน่งที่พวกแกต้องไปรวมตัว นี่คือหลักฐานเข้าร่วมการแข่งขันของพวกแก เก็บไว้ให้ดีล่ะ”
ผู้เฒ่าเว่ยตะโกนส่งเสียงลั่น “หนุ่มๆทั้งหลาย เพื่อฟื้นฟูสถาบันคาราเมลให้กลับมารุ่งเรือง จงเดินหน้าสู้...”
ถังเทียนหาวอีกครั้งและหมุนตัวเดินจากไป
อาโมรี่มองดูผู้เฒ่าเว่ยด้วยความรู้สึกเห็นใจก่อนที่หมุนตัวเดินไปหาสนามแข่งขันของเขา
หนังตาของถังเทียนหนักอึ้ง เขาพยายามก้มหน้ามองหาจุดหมาย แทบอยากจะล้มตัวนอนทันที เมื่อคืนที่แล้ว เขาเข้าสู่การฝึกหนักอีกรอบหนึ่ง สิบวันของการฝึกหนักแทบทำให้เขาไม่เหลือเรี่ยวแรง ในที่สุดเขาไม่ได้นอนอย่างเพียงพอก็ถูกผู้เฒ่าเว่ยปลุกให้เข้าร่วมแข่งขันต่อสู้รอบคัดตัวเบื้องต้น
หนานหนานขี่คอถังเทียนอยู่เหลือบมองลงมา ทันใดนั้นเมื่อเธอเหลือบตาขึ้นมองอีกทีเธอใช้มือน้อยๆ ข้างหนึ่งกระตุกผมของถังเทียน แล้วใช้มืออีกข้างหนึ่งชี้ไปด้านขวาแล้วตะโกน“พี่ชาย, อยู่นั่นไง!”
“เหรอ!” ถังเทียนตอบรับและเดินลากเท้าไปตามตำแหน่งที่เสี่ยวหนานหนานชี้บอกโดยไม่รู้ตัว
ลานหมายเลขที่ 3897
คู่ต่อสู้และกรรมการตัดสินยังไม่มาถึง ถังเทียนล้มตัวลงนอนหลับโดยไม่พูดอะไร เมื่อศีรษะเขาสัมผัสพื้นเขาก็เริ่มกรนสนั่นทันที
※※※※※※※※※※※※※※※
“ไม่มีอะไรน่าดูสำหรับการแข่งขันเบื้องต้นเลย” หมิงกวงยืนคราง เขาไม่กล้าพูดเสียงดัง
พี่ใหญ่เหลียงชิวบอกว่าเขาต้องการดูการแข่งขันคัดตัวเบื้องต้น แต่หมิงกวงพบว่ามันน่าเหลือเชื่อ การแข่งขันคัดตัวเบื้องต้นน่ะหรือ? มันเกี่ยวอะไรกับพวกเขาด้วย?พวกเขาเป็นกลุ่มที่ได้รับเลือกไปแล้ว! หมิงกวงอยู่อันที่เก้าในทำเนียบยอดฝีมือนักเรียนสถาบันเหมิ่งโซ่ว แน่นอนว่าเขาไม่จำเป็นต้องผ่านการคัดเลือกในระดับแข่งขันเบื้องต้น
ในสายตาของเขาการแข่งขันคัดเลือกเบื้องต้นเป็นแค่บทสรุปที่คู่ต่อสู้ได้ใช้ซ้อมฝีมือเท่านั้น ยอดฝีมือที่แท้จริงจะไม่เปิดเผยตัวในกลุ่มนักสู้ฝึกหัดแน่
ข้อเสนอแนะที่ประหลาดของเหลียงชิวทำให้เถียนหลินและหมิงกวงรู้สึกประหลาดใจ
แน่นอนพวกเขาไม่เคยคิดว่ารุ่นพี่หวังเจิ้นก็ยังเห็นพ้องด้วย เถียนหลินและหมิงกวงทั้งสองคนมองหน้ากันเองอย่างผิดหวัง ไม่เข้าใจเลยว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับรุ่นพี่ทั้งสองคน?
อย่างไรก็ตามเมื่อรุ่นพี่ทั้งสองสั่ง พวกเขาได้แต่ฟังและทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย
ทั้งสี่คนเดินเรียงแถวเข้ามาในลานจัตุรัส และมีความโกลหลเกิดขึ้นทันที เหลียงชิวมีนิสัยง่ายๆ สบายๆ, หวังเจิ้นเป็นคนซื่อสัตย์, เถียนหลินถือตัวว่าเป็นคนชั้นสูงขณะที่หมิงกวงกระตือรือร้นมีชีวิตชีวา คนทั้งสี่ต่างก็มีบุคลิกนิสัยเฉพาะตน แต่พวกเขาก็มีลักษณะที่โดดเด่น
“พระเจ้าช่วย! นี่ฉันตาฝาดไปหรือเปล่านี่? นั่นเหลียงชิวไม่ใช่หรือ?” เขาคือแบบอย่างของฉันเลย”
“เหลียงชิว, หวังเจิ้น, เถียนหลิน, หมิงกวง,โห.... สถาบันเหมิ่งโซ่วหรือนี่.? ในทำเนียบยอดฝีมือสิบคนของสถาบัน มีสี่คนมาที่นี่ด้วยหรือนี่? เป็นไปได้ว่าต้องมีคนที่น่าทึ่งบางคนแข่งขันในรอบคัดเลือกเบื้องต้นกระมัง?”
“ทำไมนักเรียนจากสถาบันเหมิ่งโซ่วต้องเข้าร่วมการแข่งขันคัดเลือกเบื้องต้นด้วยหรือนี่?”
นักเรียนในจัตุรัสสนทนากันอย่างออกรสชาติ คนทั้งสี่นี้เป็นนักเรียนของหนึ่งในสถาบันของเมืองซิงฟง ทุกคนเป็นยอดฝีมือ และเหลียงชิวและหวังเจิ้นเป็นยอดฝีมือต้นแบบที่หลายคนเทิดทูนบูชา
นักเรียนผู้แข่งขันในรอบคัดเลือกเบื้องต้นเป็นนักเรียนธรรมดากันทุกคน เมื่อพวกเขาเห็นนักเรียนแบบอย่างของพวกเขาจึงพากันตื่นเต้นมาก
แต่ไม่มีผู้ใดเข้าใจว่าทำไมยอดฝีมืออย่างนั้นถึงได้มาดูรอบแข่งขันคัดตัวเบื้องต้น
การแข่งขันรอบคัดตัวในงานชุมนุมวิทยายุทธซิงฟงเป็นที่รู้กันว่าเป็นรอบอุ่นเครื่องของพวกม้ามืด แต่ความจริงกลับเป็นแค่ให้นักสู้ฝีมือปานกลางได้ซ้อมมือกับคนอื่น นักฝึกยุทธผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงถูกเลือกให้เป็นนักสู้ที่ผ่านการคัดเลือกแล้ว พวกเขาทุกคนจะได้ผ่านเข้าไปแข่งขันในรอบแข่งจริง
สำหรับสี่ยอดฝีมือที่ปรากฏตัวในการแข่งขันรอบคัดตัวเบื้องต้นนับเป็นเรื่องแปลกมาก
รุ่นพี่เหลียงชิวเป็นหนึ่งในตัวเต็งที่ได้รับการคาดหมายว่าจะเป็นผู้ชนะเลิศทำไมเขาถึงยินยอมมาดูการแข่งขันคัดตัวเบื้องต้น?
ต้องมีเรื่องบางอย่างแฝงอยู่แน่!
เหลียงชิวแกล้งทำเป็นไม่เห็นสายตาเหล่านั้นและพูดอย่างเฉื่อยชา“ฉันจะไปดูอาโมรี่”
หวังเจิ้นพยักหน้า “ส่วนฉันจะไปดูถังเทียน”
เถียนหลินและหมิงกวงมองหน้ากันเองอย่างผิดหวัง เถียนหลินติดตามพี่ใหญ่เหลียงชิว ขณะที่หมิงกวงติดตามศิษย์พี่หวังเจิ้น
ทั้งสี่คนแบ่งออกเป็นสองกลุ่มและเดินแยกไปกันคนทาง ความเปลี่ยนแปลงนี้ผิดคาด นักเรียนที่ไม่ได้แข่งขันทุกคนเดินตามพวกเขาไป
พวกเขาต้องการดูว่าการแข่งขันแบบไหนกันถึงได้ดึงดูดนักสู้ผู้ผ่านการคัดเลือกทั้งสี่คนนี้ให้ตามมาดู