ตอนที่ 2-7 เมืองเฟนไล
ถัดจากเทือกเขาสัตว์วิเศษก็เป็นสหภาพศักดิ์สิทธิ์และพันธมิตรมืด และเมืองหลวงอาณาจักรของสหภาพศักดิ์สิทธิ์ก็คืออาณาจักรเฟนไล
เมืองเฟนไลกลายเป็นเมืองหลวงของอาณาจักเฟนไลด้วย
นอกจากนี้ ยังคงเป็นนครศักดิ์สิทธิ์ของสหภาพศักดิ์สิทธิ์ด้วย เพราะวิหารเจิดจรัสตั้งอยู่ในทิศตะวันตกของเมืองเฟนไล
ทั้งเมืองเฟนไลแบ่งออกเป็นสองส่วนคือเมืองเฟนไลตะวันออกและเฟนไลตะวันตก เฟนไลตะวันออกปกครองโดยกษัตริย์แห่งเฟนไล ขณะที่เฟนไลตะวันตกควบคุมโดยวิหารเจิดจรัส เพราะเมืองเฟนไลเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรและเป็นเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน ความมั่งคั่งของเมืองเฟนไลมีเพียงไม่กี่เมืองในทวีปยูลานถึงจะเทียบได้
เมืองเฟนไลกินพื้นที่มหาศาล และมีประชากรอาศัยอยู่ในเมืองมากกว่าล้านคน ในทั่วทั้งทวีปยูลานเมืองนี้ติดอันดับหนึ่งในห้าสุดยอดมหานคร
ตกกลางคืน ลินลี่ย์และฮิลแมนก็เข้ามาในเมืองเฟนไล
“โห..”
ขณะที่พวกเขาเดินอยู่บนถนนศาลาหอม ถนนสายหลักของเมืองเฟนไลตะวันออก ลินลี่ย์รู้สึกเหมือนกับนัยน์ตาพร่ามัว หนูเงาน้อยบีบีหลบเข้าไปอยู่ในชุดของลินลี่ย์ตามคำแนะนำของเขา แต่มันก็แอบดูรอบๆตัวและจากนั้นก็เริ่มส่งเสียงร้องจี๊ดๆ อย่างตื่นเต้น
โชคดีที่ถนนทั้งสายเต็มไปด้วยเสียงอึกทึกมากมายและสิ่งดึงดูดสายตา ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเสียง
“เงียบนะ!” ลินลี่ย์แตะหนูเงาเบาๆซึ่งมันก็เงียบเสียงอย่างว่าง่าย แต่ความคิดผ่านการเชื่อมจิตกับลินลี่ย์ มันยังคงตื่นเต้นไม่หยุด
ถนนศาลาหอมสร้างจากกระเบื้องหินปูน กว้างพอให้รถม้าหลายคันแล่นไปพร้อมกันได้ ด้านข้างของถนนปูกระเบื้องจะมีโรงแรม,ร้านเสื้อผ้า ร้านอาวุธ ไนท์คลับและสถานที่ต่างๆนอกจากนี้ทั้งสองฝั่งถนนศาลาหอมยังยังปลูกต้นสนไซเปรสเป็นแนว
คุณนายคุณหนูฐานะร่ำรวยใส่เสื้อผ้าใหม่ตามสมัยกำลังคุยและยิ้มขณะที่พวกเขาเดินไปตามถนน
พอเห็นท่าทางของลินลี่ย์สุภาพสตรีชั้นสูงที่อยู่ใกล้เริ่มจะแอบหัวร่อต่อกระซิกในหมู่เพื่อนของนางขณะที่ชี้มาทางลินลี่ย์ เห็นได้ชัดว่าท่าทางของลินลี่ย์เหมือนกับบ้านนอกเข้าเมือง พวกผู้ดีในเมืองหลวงรู้สึกอยู่ในใจว่าตนเองเหนือกว่าพวกบ้านนอกนั้น
“ฮึ่ม..ช่างไร้มารยาท”ลินลี่ย์หน้าบึ้งรู้สึกไม่พอใจที่ถูกสาวผู้ดีชี้และหัวเราะใส่
เพราะได้รับการเลี้ยงดูและศึกษาจากตระกูลตั้งแต่เล็ก ลินลี่ย์รีบควบคุมอารมณ์ตื่นเต้นอย่างรวดเร็ว และทำหน้าให้ดูสงบมาก แม้จะดูเผินๆ ก็ตาม
“ลินลี่ย์ เจ้ารู้สึกยังไงกับเมืองเฟนไล? นี่คือเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสหภาพศักดิ์สิทธิ์ของเรา” ฮิลแมนเดินเคียงข้างลินลี่ย์ บางครั้งก็เห็นนักรบบางส่วนและแม้กระทั่งนักเวทเดินผ่านไป เขาอดถอนหายใจไม่ได้ “ลินลี่ย์! ในเมืองเฟนไลนักรบที่ทรงพลังและนักเวทที่มีพลังหาได้ทั่วไป”
ลินลี่ย์หัวเราะพลางพยักหน้า “ในหนังสือกล่าวไว้ว่าเมืองเฟนไลเป็นศูนย์กลางการปกครอง,เศรษฐกิจและวัฒนธรรมของสหภาพศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด”
“นี่คือสวรรค์ของคนรวยหรือคนที่มีฐานะ” ฮิลแมนพยักหน้าและถอนหายใจ
ถนนศาลาหอม มีเสียงอึกทึก มีรถม้าของผู้มั่งคั่งผ่านมาบ่อยๆ หลังจากเดินไปตามถนนศาลาหอมเป็นระยะเวลาหนึ่ง ฮิลแมนและลินลี่ย์ตรงไปที่บ้านพักธรรมดาเพื่ออาศัยพัก
มีร้านอาหารเล็กๆอยู่ใกล้บ้านพัก ดังนั้นลินลี่ย์และฮิลแมนจึงกินมื้อค่ำที่นั่น
คืนนั้นภายในบ้านพัก
ลินลี่ย์และฮิลแมนพักอยู่ในห้องเดียวกัน มีเตียงสองตัวในห้องนี้ ทันทีที่เข้าไปในห้องหนูเงาน้อยบีบีก็โดดออกมาจากชุดของลินลี่ย์และวนเวียนอยู่รอบตัวลินลี่ย์พลางร้องจี๊ดๆเสียงดัง
“รู้แล้ว รู้แล้ว ว่าเจ้าหิว เอ้า..กินซะ” ลินลี่ย์โยนเป็ดย่างที่เขาเอากลับมาด้วยจากร้านอาหารลงบนพื้นและบีบีกิวิ่งเข้ามาและเริ่มกินอย่างตื่นเต้นทันที
“ลินลี่ย์! รีบพักแต่หัวค่ำนะ พรุ่งนี้เช้าเจ้าจะต้องเข้าประเมินและสมัครเป็นจอมเวท”ฮิลแมนสั่ง
“ข้าเข้าใจแล้ว, ลุงฮิลแมน”แม้ขณะที่เขาพูด ลินลี่ย์เดินไปใกล้หน้าต่างและเปิดออก
บ้านพักมีสามชั้น และลินลี่ย์พักอยู่บนชั้นที่สาม ไม่มีอาคารที่สูงเกินสามชั้นในเมืองอู่ซานสักหลัง แต่ในเมืองหลวงเฟนไล มันเป็นภาพที่เห็นโดยทั่วไปเมืองหลวงมีกระทั่งอาคารสูงเจ็ดชั้นหรือแปดชั้นก็มี
พอมองออกไปนอกหน้าต่าง ลินลี่ย์เห็นว่าถนนคราคร่ำไปด้วยผู้คน
“โห... นานแล้วนะนี่ตั้งแต่ข้าเคยอยู่ในเมืองใหญ่” แสงสว่างส่องออกมาจากแหวนมังกรขนดเปลี่ยนรูปเป็นผู้เฒ่าเคราขาว เดลินโคเวิร์ทและลินลี่ย์ยืนเคียงข้างกันจ้องมองถนนข้างล่าง
“ปู่เดลิน” ลินลี่ย์ทักทายเขาทันที
“ลินลี่ย์! รู้สึกยังไงที่ได้อยู่ในเมืองใหญ่?” เดลินหัวเราะขณะพูด
“ก็ไม่มีอะไรมากนี่” ลินลี่ย์เบะปาก
เดลิน โคเวิร์ทถอนหายใจ “เจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่นานนัก เจ้าไม่รู้เรื่องเมืองใหญ่มากนักว่าเมืองใหญ่นั้นเป็นยังไง สถานที่นี้เป็นที่ใช้จ่ายเงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายเหมือนกับการประมูลครั้งใหญ่ก็จะมีผู้ทรงอิทธิพลใช้เงินเป็นแสนหรือเป็นล้านเหรียญทองเพื่อซื้อของเพียงชิ้นเดียว”
“เป็นล้านเหรียญทองเชียวหรือ?” ลินลี่ย์รู้สึกคอแห้ง
นั่นเป็นจำนวนที่มากเพียงไหน? สมบัติของครอบครัวเขารวมกันทั้งหมดบางทีอาจไม่ถึงล้านเหรียญทอง
“มีตระกูลมั่งคั่งมากมายที่นี่ เงิน, อำนาจ, ความงามการต่อสู้เพื่อสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องโหดร้าย ทุกๆ วัน มีคนตายที่นี่ เมื่อสุ่มขุดลงไปในเมืองเฟนไลก็อาจพบศพถูกฝังบ่อยๆบางทีก็เป็นของคนในตระกูลชั้นสูงก็ได้”
เดลิน โคเวิร์ทหัวเราะเบาๆ “แต่เพื่อให้ยืนหยัดในโลกนี้ได้เจ้าจำเป็นต้องมีพลังเป็นของตนเอง”
“อย่างหวังว่าจะพึ่งพาอาศัยความช่วยเหลือจากคนอื่น ทุกอย่างต้องพึ่งพาตนเองและลำพังตัวเจ้าเองเท่านั้น” เดลินโคเวิร์ทมองดูลินลี่ย์
ความจริง เลือดมังกรที่ไหลเวียนอยู่ในสายเลือดของลินลี่ย์ทำให้เขากระหายเลือดและอยากต่อสู้
“ถ้ามีผู้ใดคุกคามข้าหรือครอบครัวของข้า ข้าจะฆ่าพวกมัน” ลินลี่ย์พูดอย่างห้าวหาญ หลังจากได้อ่านหนังสือประวัติศาสตร์มากมายหลายเล่มเกี่ยวกับความรุ่งเรืองและล่มสลายของตระกูลชั้นสูง ลินลี่ย์รู้ชัดว่าการเมตตาศัตรูก็เหมือนกับโหดร้ายกับตนเอง
ถ้าท่านปล่อยให้ศัตรูหลุดมือไป สักวันพวกมันอาจจะฆ่าครอบครัวท่านก็ได้
“อย่างไรก็ตาม, ตอนนี้พลังของข้ายังอ่อนแอมาก” ลินลี่ย์อดจะนึกถึงเมื่อตอนที่เขาเข้าเมืองเฟนไลครั้งแรก พวกสตรีชั้นสูงมองเขาอย่างดูถูก ในสายตาของชนชั้นสูงเหล่านั้น เขาไม่มีอะไรที่สำคัญมากไปกว่าเด็กบ้านนอก
ลินลี่ย์ยิ้มสงบนั่งลงบนเตียงและเข้าสมาธิ เริ่มรวบรวมพลัง
การเข้าสมาธิเป็นวิธีที่ดีในการฝึกพลังจิตของตน วิธีนี้ใช้ได้ มันเป็นวิธีที่ทำให้คนที่ใช้พลังจิตหมดไปแล้วหรือเหลือน้อยได้ฟื้นคืนพลัง
ภายในจุดศูนย์กลางในหน้าอก
สีธาตุดินมัวหม่นเป็นระลอกอยู่ภายในจุดตันเถียน สิ่งที่พร่ามัวสลัวนี้เป็นพลังเวทที่ได้รับจากแก่นธาตุดินเกี่ยวกับการสอนของเดลิน โคเวิร์ทจากตั้งแต่ระดับหนึ่งถึงระดับหกพลังเวทยังปรากฏแบบสลัว ขณะที่จอมเวทฝึกต่อเนื่องไป คุณภาพของพลังเวทจะสูงขึ้นมีความเข้มข้นเพิ่มขึ้นมาก
พอถึงระดับเจ็ด พลังเวทของจอมเวทจะควบแน่นเป็นของเหลว
ดังนั้น ระหว่างระดับที่หกและระดับที่เจ็ด มีช่องห่างแบบก้าวกระโดด
“เด็กลินลี่ย์นี้ ฝึกหนักมาก แม้แต่ยามราตรี เขาก็ยังฝึกพลังจิตต่อ” พอเห็นลินลี่ย์นั่งขัดสมาธิพร้อมกับหลับตา ฮิลแมนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมเขาอยู่เงียบๆ พลังจิตเป็นสิ่งสำคัญมากต่อทั้งนักเวทและนักรบ
…..
เช้าตรู่วันต่อมา ถนนใบไม้เขียว ทางด้านตะวันออกของเมืองเฟนไล ถนนสายหลักของเมืองเฟนไลมีอาคารอยู่สองข้างถนนใบไม้เขียวที่ตกแต่งก่อสร้างอย่างหรู บางอาคารก็เป็นของราชอาณาจักรและอาคารที่สูงที่สุดในหมู่สิ่งก่อสร้างนั้น? ก็คือโบสถ์ของวิหารเจิดจรัส
วิหารเจิดจรัสควบคุมสหภาพศักดิ์สิทธิ์ไว้ทั้งหมด ซึ่งประกอบไปด้วยหกราชอาณาจักรและสิบห้าแว่นแคว้น
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์แห่งวิหารเจิดจรัสมีสถานะสูงส่งมาก เขามีอำนาจปลดพระราชาคนใดในอาณาจักรก็ได้ นี่คือเหตุผลที่ในเมืองเฟนไล อาคารที่สูงที่สุดก็คือโบสถ์ของวิหารเจิดจรัส
เช้านี้ ผู้คนมากมายรวมตัวกันอยู่รอบๆ ทางเข้าโบสถ์ของวิหารเจิดจรัส คนส่วนใหญ่จะเป็นพวกขุนนางแต่งชุดเต็มยศ รถม้านับไม่ถ้วนเต็มพื้นที่ในโบสถ์วิหารเจิดจรัสและขุนนางแต่ละคนก็พูดคุยกันเอง
ลินลี่ย์และฮิลแมนมาถึงที่นี่เช่นกัน
“ลุงฮิลแมน! วันนี้ที่นี่มีคนมากมาย คนชั้นสูงหลายคนพาลูกหลานมาที่นี่ด้วย” ลินลี่ย์หัวเราะให้ฮิลแมน ตอนนี้หนูเงาน้อยบีบียังซ่อนตัวอยู่ในชุดของลินลี่ย์ บางคราวก็แอบดูรอบตัวมัน
ฮิลแมนหัวเราะอย่างใจเย็น “คนชั้นสูงหรือ? นักเรียนทุกคนของสถาบันเอินส์สามารถเป็นเอิร์ลในอาณาจักรใดก็ได้
“เอิร์ลในอาณาจักรใดก็ได้งั้นหรือ?” ลินลี่ย์เข้าใจได้ทันที
เป็นการไม่ยากที่จะได้เป็นขุนนางในอาณาจักรใดๆ ก็ตาม แต่จะกลายเป็นขุนนางของจักรพรรดิเป็นเรื่องที่ยากมาก ที่สำคัญที่สุดสี่จักรวรรดิที่มีพลังเทียบเท่ากับสหภาพศักดิ์สิทธิ์ นครหลวงเฟนไลไม่อาจเทียบได้กับพวกนี้
“โอว, ลอร์ดโดเยิล ท่านก็มาด้วยหรือนี่?”
“เอเบอร์ ข้ามาที่นี่เพราะลูกข้า แน่นอน เฮส..มาคำนับลุงเอเบอร์สิลูก”
ในที่ไม่ห่างนัก พวกขุนนางกำลังสนทนากันเอง เฉพาะค่าทดสอบและสมัครเป็นจอมเวทคือสิบเหรียญทอง และถ้านักเรียนได้รับให้ศึกษาในสถาบันจอมเวท ค่าเล่าเรียนก็จะสูงขึ้น สถาบันจอมเวททั้งหมดจะเรียกเก็บค่าเล่าเรียนปีละร้อยเหรียญทอง ตระกูลธรรมดาคงไม่สามารถจ่ายค่าเล่าเรียนได้ แต่ถ้าลูกๆ ของพวกเขาได้รับเลือก เป็นธรรมดาที่พวกเขาสามารถหาขุนนางคอยอุปถัมภ์ค่าใช้จ่ายให้พวกเขา
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าสถาบันจอมเวทจะมีค่าเล่าเรียนแพงไปเสียทั้งหมด
ตัวอย่างเช่น สถาบันจอมเวทอันดับหนึ่ง สถาบันเอินส์ เพราะรับนักเรียนน้อยมาก เพียงไม่กี่คนนักเรียนคนใดมีภูมิลำเนามาจากสหภาพศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนแต่อย่างใด ที่สำคัญที่สุดทุกคนที่ได้เข้าศึกษาในสถาบันเอินส์จะต้องเป็นนักเรียนระดับอัจฉริยะ ในอนาคตความสำเร็จของพวกเขาไม่มีที่สิ้นสุด
“ฮืม.. พวกชาวบ้านและเด็กบ้านนอกก็มาที่นี่ด้วย พวกเขาฝันอยู่หรือเปล่?” ขุนนางคนที่ยืนไกลออกไปหัวเราะ
มีชาวบ้านทั่วไปบางส่วนปนอยู่ในหมู่คนหลายร้อย และชนชั้นสูงที่อยู่ในเมืองห่างออกไปอย่างลินลี่ย์ ตามปกติแล้วตระกูลคนชั้นสูงที่อยู่ในเมืองที่ห่างไกลก็โดนดูถูกด้วยเช่นกัน พวกขุนนางในเมืองหลวงจะหยิ่งยโสมากชอบดูถูกผู้คน
“ลินลี่ย์, อย่าไปสนใจคนอย่างพวกนั้นเลย” ฮิลแมนพูดเบาๆ
พอจ้องกลุ่มพวกขุนนาง ลินลี่ย์แอบหัวเราะอย่างเง่ยบ “ลุงฮิลแมน ข้าไม่ได้สนใจคนอย่างนั้นเลย” ภายใต้การสั่งสอนของบิดาเขา ลินลี่ย์ไม่ใส่ใจมากนักกับพวกขุนนางที่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง
ทั้งลานกว้างเห็นได้ชัดว่าแบ่งออกเป็นสองกลุ่มกลุ่มขุนนางก็จับกลุ่มคุยกัน และอีกกลุ่มก็เป็นพวกชาวบ้านหรือไม่ก็ขุนนางบ้านนอก
ตอนนี้ นักรบเกราะโลหะสองคนกำลังยืนอยู่หน้าโบสถ์ คอยกันทางเข้าทั้งหมด
หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ชุดดำก้าวเข้ามาจากหน้าประตูโบสถ์ หยุดอยู่หน้าประตู เขายิ้มและพูดด้วยเสียงแจ่มชัดว่า “พิธีประเมินเวทใกล้จะเริ่มแล้ว ผู้สมัครเข้าเป็นจอมเวทในสถาบันเตรียมพร้อมให้ดี ทุกคนที่นี่จะเข้าทดสอบ โปรดตามข้ามาในหอประชุมใหญ่”