ตอนที่แล้วEp.438 - เริ่มปฏิบัติการ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปEp.440 - งานประชุม

Ep.439 - ผู้ครองแคว้นและขุนนางใหญ่ทั้งสาม


1/2

Ep.439 - ผู้ครองแคว้นและขุนนางใหญ่ทั้งสาม

สองสามวันต่อมา

ฮังอวี่ได้รับของที่ต้องการไม่มากก็น้อย

อย่างแรกเลย ซูหยุนปิงได้ทำการประมูล จ่าย 40 หินคริสตัลฟ้าเพื่อซื้อ ‘สัญญาอาวุธ’ คุณภาพสีฟ้าเลเวล 15 มาให้เขา

เอฟเฟกต์ของสัญญานี้สามารถส่งผลต่ออาวุธสีฟ้าเลเวล 15 มันจะช่วยลดเงื่อนไขที่ด้านเลเวลที่อุปกรณ์ชิ้นนั้นๆต้องการลง 1 เลเวล ง่ายๆคือแม้เป็นอาวุธเลเวล 15 แต่คนเลเวล 14 ก็จะสามารถใช้มันได้ และจะมีผลราวๆหนึ่งวัน

นี่คล้ายกับสกิลพรสวรรค์ของฉูเทียนหัว

อย่างไรก็ตาม สกิลพรสวรรค์ของฉูเทียนหัวแข็งแกร่งกว่านี้มาก ตอนนี้เขาสามารถสวมใส่อาวุธที่มีเลเวลห่างจากตัวเองได้ถึง 2 เลเวล และโบนัสคุณสมบัติของอาวุธจะได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นอีก 30% นี่คือสาเหตุที่ว่าทำไมพลังโจมตีของฉูเทียนหัวถึงได้สูงนัก

กลับมาที่หัวข้อเดิม สัญญานี้มีประโยชน์กับฮังอวี่มาก

เพราะฮังอวี่ได้รับอาวุธสองมืออันทรงพลัง ‘นักฆ่าขุมนรก’ ในคุกโบราณมา มันคืออาวุธเลเวล 15 ที่มีคุณภาพสีฟ้าใส  และค่าโบนัสคุณสมบัติมหาศาล!

ดังนั้นการได้รับม้วนคัมภีร์นี้มา จึงมีส่วนช่วยเพิ่มพลังรบของฮังอวี่ได้มาก

นอกเหนือไปจากนี้

ฮังอวี่ยังเก็บเกี่ยวบางอย่างได้ เขาได้รับหินสกิลขั้น 4 มาได้จริงๆ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นึกไม่ถึงก็คือ หินสกิลนี้ไม่ใช่มรดกของปีศาจคลั่งอาบโลหิต ไม่ใช่มรดกของเซียนกระบี่ล่าแสง แต่เป็นชิ้นส่วนมรดกขั้น 4 ของ ‘ปรมาจารย์ปราณสงคราม’ ซึ่งเป็นมรดกขั้นต่อไปของปรมาจารย์เลือดเหล็ก!

‘ปราณสงครามเกราะ’ นี้เป็นอิสระจากสกิลปราณสงครามอื่นๆ หรือก็คือเมื่อฮังอวี่ใช้ปราณสงครามคลั่งจะไม่เกิดการซ้อนทับกับสกิลนี้ สามารถใช้ทั้งสองสกิลได้พร้อมกัน

อย่างไรก็ตาม สกิลขั้น 4 ปราณสงครามเกราะคือสกิลขั้นต่อไปของสกิลกายาเกราะ ดังนั้นหลังเปิดใช้งาน สกิลกายาเกราะจะเริ่มคูลดาวน์โดยอัตโนมัติ

พูดง่ายๆก็คือ

ปราณสงครามเกราะคือเวอร์ชั่นอัพเกรดของกายาเกราะนั่นเอง

สกิลนี้ยังแสดงผลของกายาเกราะดังเดิม แต่ขณะเดียวกันก็เพิ่มเอฟเฟกต์ของปราณสงครามเข้ามา สามารถปัดเป่าดาเมจจากพลังงานทุกชนิดได้โดยอัตโนมัติและกำจัดสถานะผิดปกติของร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความเร็วและพละกำลัง

คุณค่าของสกิลขั้น 4 สูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งปราณสงครามเกราะ หลังจากฮังอวี่ครอบครองมัน ความสามารถในการเอาชีวิตรอดของเขาจะเพิ่มขึ้นระดับหนึ่ง ประสิทธิภาพการรบเจนจัดขึ้น

หินสกิลก้อนนี้มาจากคนระดับสูงของรัฐบาลในหยานจิง

พวกเขารู้ว่าฮังอวี่สืบทอดมรดกที่ตรงกันหินสกิลก้อนนี้ จึงเป็นฝ่ายติดต่อฮังอวี่มาเอง และราคาเสนอขายคือ หินสกิลขั้น 4 หนึ่งก้อนในระดับเดียวกันแต่ต้องเป็นที่นิยมมากกว่า + หินคริสตัลฟ้า 200 ก้อน

ราคาที่ขอค่อนข้างสมเหตุสมผล

แต่แน่นอนว่าต้องมีการต่อราคา สุดท้ายมันถูกแลกเปลี่ยนกับหินสกิลมรดกขั้น 4 ของจอมเวทย์ + หินคริสตัลฟ้า 150 ก้อน

สำหรับฮังอวี่แล้วเรื่องหินคริสตัลไม่นับเป็นสิ่งใด เขาฝากเจียงหนานจัดการเรื่องนี้ การแลกเปลี่ยนเสร็จสมบูรณ์

ก่อนที่ฮังอวี่จะไปถึงช่องเขาจันทร์สีชาด เขาสามารถเรียนรู้สกิลขั้น 4 สกิลใหม่ได้ ระหว่างทางนับว่าคุ้มค่าแล้ว

“ทุกคนเพิ่มความระมัดระวัง”

“ข้างหน้าคือช่องเขาจันทร์สีชาด”

ฮังอวี่นำทีมผ่านทะเลทรายสีชาด หายเข้าไปตลอดหนึ่งวันเต็ม

สถานที่อย่างทะเลทรายสีชาด มันคือพื้นที่อันตรายมากในแคว้นเดียวดาย

เป็นสถานที่อันตรายยิ่งกว่าทะเลทรายมรณะที่ฮังอวี่เคยไปก่อนหน้านี้

มีมอนสเตอร์ปริมาณมากในทะเลทรายสีชาด ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในเลเวล 14 แต่บางทีก็มีมอนสเตอร์เลเวล 15 ปรากฏตัวขึ้น และหลักๆจะเป็นชนชั้นยอด แต่ก็มีระดับเจ้าถิ่นอยู่ไม่น้อยเช่นกัน

นอกเหนือไปจากมอนสเตอร์แข็งแกร่งที่ยากจัดการแล้ว ทะเลทรายสีชาดยังเต็มไปด้วยกับดัก มีทรายจำนวนมากปกคลุมอยู่เหนือเปลวไฟและลาวา หากไม่ตรวจสอบดูให้ดี แล้วบังเอิญเดินไปเหยียบบริเวณเหล่านั้นเข้า บางทีอาจล่มสลายทั้งกองทัพ!

ดังนั้นระหว่างทางจึงไม่ใช่แค่การกวาดล้างมอนสเตอร์ แต่ทุกย่างก้าวยังต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง

ภูเขาไฟสีดำหลายลูกปรากฏขึ้นเบื้องหน้า และทุกลูกยังมีควันไฟ บ่งบอกสถานะว่ายังคุกรุ่นอยู่ มีกระทั่งธารลาวาไหล พื้นที่ส่วนใหญ่ปกคลุมไปด้วยเถ้าภูเขาไฟ สภาพแวดล้อมโหดร้ายรุนแรง

และไกลออกไปเป็นช่องเขาลึก

มิใช่ใดอื่น ที่นั่นคือช่องเขาจันทร์สีชาด!

ฮังเสี่ยวไป๋บินไปบนฟ้าเพื่อสังเกตการณ์ด้วยสกิลสอดแนมขั้น 3 ที่เพิ่งเรียนรู้มา “พี่ชาย ฉันเห็นข้างในช่องเขาแล้ว ดูเหมือนจะมีเมืองอยู่ข้างในด้วย”

ฮังอวี่พยักหน้า “นั่นสมควรเป็นจุดนัดพบของผู้ครองแคว้น”

ทุกคนพอได้ยินก็เริ่มรู้สึกประหม่า

เจียงหนานเอ่ยถามว่า “จะมีการซุ่มโจมตีไหม?”

ฮังอวี่ส่ายหัวและพูดว่า “เธอคิดมากเกินไป พวกเรามีสมุนทหารแค่ 4000 นาย แค่จำนวนเท่านี้ พวกเขาไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้ยุ่งยากเพื่อกำจัดเรา อืม แต่ถ้าคิดกำจัดพวกเราจริงๆ ก็ต้องลองเผชิญหน้ากับกลยุทธ์ของพวกเราดู”

“ถูกเผง ฉะนั้นที่พวกเราต้องทำคือระมัดระวังตัวไว้ จะปล่อยให้พวกชาวพื้นเมืองดูถูกมนุษย์ไม่ได้!”  จ้าวหมิงพูดเสียงดัง “ทุกคนฟัง! เตรียมเผชิญหน้า!”

ไม่ช้า ทุกคนก็มาถึงเมืองขุนเขาไฟในช่องเขาจันทร์สีชาด

ถูกต้อง

มันคือเมืองจริงๆ!

เมืองๆนี้แม้มีอาณาเขตเล็กกว่าเมืองธารทะเลทรายของขุนนางใหญ่มาก แต่ข้อดีคือมันแยกตัวเป็นอิสระ ไม่ได้ตั้งอยู่ในดินแดนของใคร และแน่นอนว่าไม่มีดินแดนระดับล่างในครอบครองเช่นกัน

ดินแดนอิสระเช่นนี้ อันที่จริงแล้วในแคว้นเดียวดายมีค่อนข้างน้อย ส่วนใหญ่อยู่ในการควบคุมของผู้ครองแคว้น และบางส่วนถูกยึดครองโดยเผ่าพันธุ์เร่ร่อน

เมืองอิสระเหล่านี้ ถ้าไม่นับบางเมืองที่มีทรัพยากรเฉพาะที่ ส่วนใหญ่แล้วค่อนข้างแห้งแล้ง แผ่นดินไม่อุดมสมบูรณ์ โดยทั่วไปตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกลและมีสภาพแร้นแค้น ไม่ค่อยมีค่าแก่การพัฒนา

เมืองขุนเขาไฟถูกควบคุมโดยผู้ครองแคว้นนาเซอร์

ในวันธรรมดาพวกเขาไม่คิดแม้จะสร้างสมุนทหารที่นี่ เพราะพวกมันต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดู

หากต้องผลิตสมุนทหารนับหมื่นในที่ๆแร้นแค้นเช่นนี้ คงเป็นเรื่องยากหากคิดคืนทุน

ทุกวันนี้มันจึงกลายเป็นจุดนัดพบ เพื่อจัดหาเสบียงและฟื้นฟูกำลังพล

กองทหารที่แวะเวียนมาสามารถเข้าเมืองเพื่อพักผ่อนได้ เติมเสบียงของตัวเองโดยการใช้หินคริสตัล เมื่อพร้อมก็ออกเดินทางอีกครั้ง

หลังจากยืนยันตัวตนแล้ว ประตูเมืองขุนเขาไฟก็เปิดออก

เมื่อเผ่ามนุษย์ก้าวเข้ามาในเมือง พวกเขาก็ค้นพบว่า มีกองกำลังทหารจำนวนมากประจำการอยู่ที่นี่ กะคร่าวๆมีประมาณ 10,000 ตน แต่บางทีอาจมีมากถึง 20,000!

และพวกเขามีชาติพันธุ์ที่แตกต่างกัน ชัดเจนว่ามาจากหลากหลายดินแดน กระนั้นทุกนายดูเป็นชนชั้นยอด ทั้งหมดเป็นสมุนทหารเลเวล 14 15 และหลายนายอยู่ในขั้นซิลเวอร์ เป็นกองกำลังชั้นยอดตามแบบฉบับของพวกขุนนางใหญ่

เมื่อนำมาเทียบกัน

กองทหารเมืองธารทะเลทรายดูค่อนข้างโทรมและไม่มีคุณภาพ

“เจ้าคือขุนนางคนใหม่แห่งเมืองธารทะเลทรายที่โค่นคาลิมัวได้ใช่ไหม?”

ออร์คผิวสีแดงเลือดนก กับเผ่าพันธุ์ระดับสูงกลุ่มใหญ่ปรากฏตัวต่อหน้ามนุษย์

ในช่วงเวลาที่เขาปรากฏตัว แม้จะไม่เข้าใกล้

แต่ทุกคนสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเหมือนขาดอากาศหายใจ คล้ายจมอยู่ในทะเลเลือด เมื่อพยายามสูดลมหายใจเข้าปอด ก็พบว่าเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด!

เมื่ออีกฝ่ายเดินเข้ามา ทุกคนเผลอขยับเข้ามาใกล้กันโดยไม่รู้ตัว ระมัดระวังมากขึ้น

ออร์คผิวแดงเลือดนกตนนี้มีขนาดตัวแค่ปานกลางเท่านั้นสำหรับเผ่าพันธุ์นี้ ทว่าตั้งแต่หัวจรดเท้าเป็นแสงสีฟ้าสดใสจากพลังงานทางวิญญาณ โดยเฉพาะบนไหล่ที่สะพายขวานสองคมขนาดใหญ่ มันทอแสงพลังงานทางวิญญาณสีม่วง

สีหน้าท่าทีของมันดูเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตและสติปัญญา แต่ขณะเดียวกันเผยให้เห็นถึงความละโมบและกระหายเลือด ...

ชุดเซ็ทสีฟ้าใสเลเวล 15!

และอาวุธชิ้นนั้น ไม่ต้องสงสัยเลย มันคืออุปกรณ์สีม่วง!

ทุกคนสูดลมหายใจเย็นเยียบ ยากที่จะระงับอารมณ์

บุคคลผู้นี้คงไม่พ้นเป็นผู้ครองแคว้นเดียวดาย ขุนนางแห่งเมืองฟ้าเดียวดาย ชูร่าแห่งเลือดนาเซอร์

เขาทรงพลังมากจริงๆ!

ฮังอวี่ขมวดคิ้ว “ไม่ผิดแล้ว ฉันคือขุนนางแห่งเมืองธารทะเลทราย มาตามคำสั่งของผู้ครองแคว้น ยินดีเข้าร่วมการต่อสู้กับราชาปีศาจทรายสีชาด”

ออร์คเกราะดำข้างๆนาเซอร์กล่าวเสียงเย็น “กองทหารที่เจ้านำมามีน้อยและอ่อนแอเกินไป เมืองธารทะเลทรายมีพลังรบแค่นี้เองหรือ? เจ้ากำลังเล่นตลกกับท่านผู้ครองแคว้นหรือไร!”

ฮังอวี่กล่าวอย่างใจเย็น “ตั้งแต่ยึดเมืองธารทะเลทรายได้ เพิ่งผ่านไปแค่ราวๆ 30 วันเท่านั้น พวกเราต้องสร้างกองกำลังขึ้นใหม่ ขณะนี้สามารถนำทหารม้าและพลรบมาได้เพียงเท่านี้”

ออร์คเกราะดำแสดงความก้าวร้าว “เมืองธารทะเลทรายช่างอ่อนแอ อ่อนแอยิ่งนัก ทำไมพวกเราไม่ตั้งประมือกัน? ถ้าเจ้าแพ้ ข้าจะขึ้นเป็นขุนนางใหญ่เอง!”

เหล่ามนุษย์พอได้ยินแบบนั้น ทุกสายตาจับจ้องมาที่ฮังอวี่!

นี่คือการยั่วยุชัดๆ

และทุกคนสามารถเห็นได้ ว่าแม้แต่ออร์คเกราะดำที่อยู่ข้างๆผู้ครองแคว้น พลังรบของเขาก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน สมควรมีมรดกขั้น 4 ที่สมบูรณ์อยู่ในตัว น่าจะด้อยกว่า คาลิมัวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

และถ้าเป็นกรณีสู้กันตัวต่อตัว พลังรบของเขาไม่น่าจะต่ำกว่าคาลิมัว

ถ้าพูดให้รู้สึกเสียขวัญหน่อย คงต้องบอกว่าฮังอวี่อาจไม่สามารถเอาชนะเขาได้

ชัดเจนว่าบุคคลผู้นี้คือหนึ่งในตัวตนที่สำคัญมากแห่งเมืองฟ้าเดียวดาย

เมื่อเทียบกับออร์คเกราะดำที่ดุร้ายแล้ว ตรงกันข้าม ผู้ครองแคว้นกลับสงบเยือกเย็นมาก “อย่าทำให้เรื่องมันยุ่งยากเลย” เขาหยุดการยั่วยุของผู้ใต้บังคับบัญชาในเวลาที่เหมาะสม “เชิญขุนนางเมืองธารทะเลทรายเข้าห้องประชุม ขุนนางใหญ่อีกสามตนมาถึงก่อนแล้ว”

ฮังอวี่ส่งสัญญาณทางสายตาให้ทุกคนสงบสติอารมณ์ เขายืดอกไม่แสดงความหวาดกลัว เดินตามนาเซอร์ไป ทนต่อแรงกดดันของอีกฝ่าย มุ่หน้าสู่ห้องโถงเมืองขุนเขาไฟ

ช่างเป็นบรรยากาศที่กดดันเสียนี่กระไร!

ฮังอวี่รู้สึกได้ถึงออร่าอันทรงพลังจนผิดปกติสี่หรือห้าดวง!

เขาสามารถระบุแรงกดดันเหล่านั้นได้ คาดว่ามันคือแรงกดดันที่เกิดจากผู้ครอบครองมรดกขั้น 4

คนเหล่านี้ แข็งแกร่งอย่างที่คาดไว้จริงๆ!

ขุนนางใหญ่ทั้งสามได้แก่ :

ขุนนางเมืองพายุระห่ำ ‘ปีศาจศิลาผู้พิชิต’ แห่งเผ่าศิลา!

ขุนนางเมืองพันหนองน้ำ ‘อันเดธผู้ครองเงา’ เผ่าวิญญาณจำแลง!

ขุนนางเมืองเพลิงทมิฬ ‘ดิลลอน ปรมาจารย์สลักมนตรา’ เผ่ามังกรบิน!

ขุนนางใหญ่ทั้งสี่ และผู้ครองแคว้นเดียวดาย--

--ทั้งหมดได้มาอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว!

สิ่งที่ทำให้ฮังอวี่รู้สึกอึดอัดก็คือ

เขาเป็นคนเดียวที่มีเลเวลต่ำกว่า 15 และเป็นคนเดียวที่ยังไม่ได้สืบทอดมรดกขั้น 4 อ่อนแอที่สุดในบรรดาขุนนางใหญ่!

และว่ากันตามจริงแล้ว คาลิมัวก็เป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาขุนนางใหญ่เช่นกัน!

เพราะท้ายที่สุดแล้วมรดกขั้น 4 จ้าวสงครามของคาลิมัวไม่ค่อยได้เปรียบนักในแง่ของการสู้แบบตัวต่อตัว กระนั้นสำหรับฮังอวี่ คาลิมัวก็ยังถือว่าแข็งแกร่งอยู่ดี

ดูเหมือนว่าช่องว่างความห่างชั้นระหว่างเผ่าพันธุ์มนุษย์กับชาวพื้นเมืองจะยังมีอยู่มาก!

หนทางของพวกเขายังอีกยาวไกล!