ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 33 เคล็ดวิชาเหมันต์ภูตผีนพเก้า
ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 33 เคล็ดวิชาเหมันต์ภูตผีนพเก้า
เย่ชิวดูเหมือนจะสังเกตเห็นความผิดหวังของนาง นางรู้สึกว่าเขานั้นละเลยลูกศิษย์คนโตหลังจากมีศิษย์ผู้ที่สอง อืม…
สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องดีนัก
อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีเคล็ดวิชาลับเกี่ยวกับธาตุน้ำแข็งที่สามารถเสริมกับกระดูกเหมันต์เร้นลับได้
เมื่อคิดเช่นนี้ก็ปวดหัวไม่น้อย
ทันใดนั้นเอง
[ ติ๊ง… ]
[ ท่านมอบเคล็ดวิชาลับระดับสวรรค์แก่ลูกศิษย์ของท่าน เคล็ดวิชาเพลิงกรรมบงกชแดง ได้กระตุ้นกลไกการสุ่มรางวัล ]
[ เนื่องจากเคล็ดวิชาลับนี้เป็นเคล็ดวิชาลับของระบบ จึงไม่สามารถเปิดใช้งานระบบตอบแทนหมื่นเท่าได้ สุ่มได้เพียงเคล็ดวิชาในระดับเดียวกันเท่านั้น ]
[ ท่านต้องการเปิดใช้งานหรือไม่ ]
“ระบบ เจ้าหมายถึงอะไร” เย่ชิวไม่เข้าใจการสุ่มรางวัลที่ว่ามาแม้ตแน้อย
[ โฮสต์ เนื่องจากข้าไม่ได้อธิบายอย่างชัดเจน ข้าจะอธิบายอีกครั้ง ]
[ สิ่งของที่ระบบมอบให้จะไม่กระตุ้นระบบตอบแทนโดยการมอบสิ่งของให้แก่ศิษย์ของท่านอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม หากถ่ายทอดเคล็ดวิชาการบ่มเพาะหรือเคล็ดวิชาลับให้แก่ศิษย์ มีความเป็นไปได้ที่จะกระตุ้นกลไกลการสุ่มรางวัล ]
[ หมายเหตุ: การสุ่มรางวัลสามารถสุ่มได้เฉพาะเคล็ดวิชาการบ่มเพาะในระดับเดียวกันที่มอบแก่ลูกศิษย์ของท่านเท่านั้น ]
“โอ้ ข้าเข้าใจแล้ว…” เย่ชิวตระหนักได้ทันที เขาคิดว่าตนเองกำลังจะพบช่องทางร่ำรวยใหม่ ทว่ากลับกลายเป็นแค่เรื่องบังเอิญ อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นสิ่งที่ดีเช่นกัน แม้ว่าเขาจะมอบเคล็ดวิชาการบ่มเพาะและเคล็ดวิชาลับให้กับลูกศิษย์ของเขา เขาก็จะไม่สูญเสีย
“เริ่มการสุ่มรางวัล”
[ ติ๊ง… ]
[ ขอแสดงความยินดี ท่านประสบความสำเร็จในการสุ่มเคล็ดวิชาลับระดับสวรรค์ เคล็ดวิชาเหมันต์ภูตผีนพเก้า
“นี่มัน…” เย่ชิวตกตะลึง เขามองไปยังหลินชิงจู้ด้วยความสงสัยทันที
ระบบทำเช่นนี้โดยเจตนาหรือ มอบสิ่งที่เขาต้องการให้ทันที ที่เรียกว่าการสุ่มรางวัลไม่ใช่การมอบของขวัญให้สตรีหรอกหรือ
“ชิงจู้ เจ้ามานี่สิ” หลังจากได้รับเคล็ดวิชาเหมันต์ภูตผีนพเก้าแล้วเย่ชิวก็ไม่ลังเลและเรียกหลินชิงจู้มาทันที
ศิษย์คนโตของเขาคือผู้ที่ทำให้เขามีวันนี้ เขาจะทอดทิ้งนางได้อย่างไรกัน
ไม่นานมานี้เย่ชิวต้องการจะสอนเคล็ดวิชากระบี่พงไพรให้แก่นาง แต่เคล็ดวิชากระบี่ระดับเทพเจ้านี้ไม่ใช่สิ่งที่ใครก็สามารถฝึกฝนได้ หากไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของบุปผามหาเต๋า เย่ชิวก็ไม่อาจสามารถฝึกฝนมันได้สำเร็จ นับประสาอะไรกับนาง
เป็นผลให้เคล็ดวิชาระดับสวรรค์เป็นขีดจำกัดของนาง และบังเอิญมากเช่นกันเนื่องจากเย่ชิวมีเคล็ดวิชาระดับสวรรค์ที่เหมาะกับนางอยู่พอ เขาจะไม่สอนมันให้นางได้อย่างไร
“ท่านอาจารย์ เหตุใดท่านถึงเรียกข้าหรือ…” หลินชิงจู้เดินไปอย่างสงสัย
เมื่อเห็นหญิงสาวผู้ระมัดระวังคนนี้ หัวใจของเย่ชิวก็อ่อนโยนลงและกล่าวว่า “นั่งลง ตอนนี้เคล็ดวิชากระบี่เมฆาม่วงของเจ้าได้รับการฝึกฝนจนสมบูรณ์แบบแล้ว ถึงเวลาที่ข้าจะต้องสอนเคล็ดวิชาลับอื่น ๆ ให้แก่เจ้า”
ดวงตาของหลินชิงจู้เป็นประกายด้วยความสุขทันที่ได้ยินเช่นนี้ ดูเหมือนว่าอาจารย์ของนางจะยังไม่ลืมนาง ความผิดหวังในใจของนางก็มลายหายไปในทันที
“ขอบเจ้าเจ้าค่ะท่านอาจารย์” หลินชิงจู้ยิ้มและนั่งลงอย่างมีความสุข
เย่ชิวยิ้มจาง ๆ เขาสัมผัสได้ถึงความผิดหวังของหลินชิงจู้ได้เป็นอย่างดี เขามีความสุขมากเช่นกันที่ตอนนี้นางยิ้มอย่างมีความสุข นางแตกต่างจากจ้าวว่านเอ๋อเพราะอีกฝ่ายมีครอบครัว แต่ครอบครัวนั้นไม่ได้รักเอ็นดูนางและนางไม่ต้องการกลับไปหาครอบครัวเช่นนั้น ทว่าหลินชิงจู้ไม่มีบ้านให้กลับอีกต่อไป เย่ชิวเป็นเพียงกำลังใจเดียวของนาง หากเขาเพิกเฉยต่อนาง นี่ก็เหมือนกับการผลักนางไปสู่ความพินาศชั่วนิรันดร์
“วันนี้ข้าจะสอนเคล็ดวิชาเหมันต์ภูตผีนพเก้าแก่เจ้า เคล็ดวิชาลับนี้เป็นเคล็ดวิชาลับระดับสวรรค์ มันลึกซึ้งอย่างยิ่ง เจ้าต้องฝึกฝนอย่างขยันขันแข็ง หากเจ้ามีคำถามใด ๆ จงถามข้า อย่าฝึกฝนอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าเด็ดขาด” เย่ชิวกล่าวเตือน
“เจ้าค่ะ อย่ากังวลไปเลยท่านอาจารย์ ข้าจะจดจำไว้”
เย่ชิวพยักหน้าและมอบเคล็ดวิชาเหมันต์ภูตผีนพเก้าให้กับนาง ในไม่ช้านางก็ได้รับคัมภีร์เคล็ดวิชาลับนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ฝึกฝน ทันใดนั้นกระดูกเหมันต์เร้นลับภายในร่างกายของนางก็ปะทุรุนแรงราวกับถูกยั่วยุในทันที
หลินชิงจู้มีความสุขเป็นอย่างมาก นางนั่งลงและเริ่มฝึกฝนทันที
หลังจากผ่านไปนาน กลิ่นอายเย็นเยียบรอบตัวนางก็ยิ่งรุนแรงขึ้น นางเป็นเหมือนภูเขาน้ำแข็งและกลิ่นอายที่ขับไล่คนให้ห่างนั้นก็แข็งแกร่งมากขึ้น นางเป็นเด็กสาวที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสาเป็นอย่างมาก ความคิดของนางใสซื่อเหมือนกับหิมะสีขาวบริสุทธิ์
เคล็ดวิชาลับนี้เหมาะสมกับนางเป็นอย่างมาก
ในเวลาไม่นานหลินชิงจู้ก็เข้าใจความลึกซึ้งของเคล็ดวิชาเหมันต์ภูตผีนพเก้าและนางก็หลอมรวมมันเข้ากับเคล็ดวิชากระบี่เมฆาม่วงทำให้กลายเป็นเคล็ดวิชาที่น่าเกรงขามยิ่งขึ้น
เย่ชิวไม่ได้รบกวนพวกเขาเนื่องจากทั้งคู่ได้เข้าสู่สถานะการฝึกฝนแล้ว แต่เขานั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ เพื่อคอยปกป้องพวกเขา
ในบรรดาศิษย์สองคนนี้ คนหนึ่งมีความเย็นชาเป็นจุดเด่น ในขณะที่อีกคนอ่อนโยนราวกับไฟ ทั้งคู่ต่างกันสุดขั้ว และสิ่งสำคัญที่สุดคือแต่ละคนมีเสน่ห์อย่างหาที่เปรียบมิได้
เย่ชิวรู้สึกผิดหวังเนื่องจากเขาไม่ได้รับการสุ่มรางวัล แต่เขาก็ไม่สนใจ เพราะมีเพียงเคล็ดวิชากระบี่พงไพรเพียงอย่างเดียวก็เกินพอแล้ว
ค่ำคืนได้ผ่านไป
เช้าวันรุ่งขึ้น ร่างที่งดงามทั้งสามร่างก็ได้ปรากฏขึ้นบนถนนของเมืองกวงหลิน
“พี่สาวเสี่ยวหลิง ดูนี่สิ ปิ่นอันนี้ดูดีหรือไม่” จ้าวว่านเอ๋อหยิบปิ่นปักผมจากแผงลอยอย่างสง่างามและชมอยู่สักพัก
“สำหรับว่านเอ๋อของเรานั้นต้องเหมาะสมอยู่แล้ว” หลินชิงจู้กล่าวอย่างมีความสุข ทั้งสามคนเดินไปมาตามถนนเป็นเวลานาน เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาพบสิ่งใหม่ ๆ พวกเขาจะมองดู
จ้าวว่านเอ๋ออาศัยอยู่ในพระราชวังตั้งแต่ยังเด็กและไม่เคยเห็นสิ่งของเหล่านี้ ดังนั้นนางจึงมีความอยากรู้อยากเห็นมากโดยธรรมชาติ
ขณะที่ทั้งสามกำลังสนุกสนาน เสียงที่ไม่เป็นมิตรอย่างยิ่งก็ดังขึ้น
“ข้าคิดว่าปิ่นตัวนี้เหมาะกับธิดาแสนสวยผู้นี้มาก ท่านจะสวยมากหากท่านใส่มัน”
เด็กสาวทั้งสามหันกลับไปและเห็นชายหนุ่มรูปงามยืนอยู่ข้างหลังพวกเขา
หลินชิงจู้มองชายตรงหน้านางอย่างเย็นชา เพราะนางสัมผัสได้ถึงการจ้องมองที่ต่ำทรามของเขา นางเกลียดชังสายตานั้นเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเทียบกับความเย็นชาของนางแล้ว จ้าวว่านเอ๋อดูสง่างามกว่ามาก นางวางปิ่นลงด้วยรอยยิ้มจาง ๆ และกล่าวว่า “เจ้าพูดถูก ศิษย์พี่ของข้าสวยโดยธรรมชาติ ใส่กับอะไรก็ดูดีอย่างแน่นอน แต่นั่นดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า”
หยางเสี่ยวไม่ได้โกรธ เขาหันไปมองจ้าวว่านเอ๋อแทนและดวงตาของเขาก็สว่างขึ้น เขาตื่นเต้นเป็นอย่างมากมาก เนื่องจากวันนี้เขาไม่มีอะไรทำเขาจึงตัดสินใจเดินไปตามถนน เขาพบเจอสาวงามราวเทพธิดาสองคนโดยบังเอิญ
ในฐานะนายน้อยของตระกูลหยางแห่งเมืองกวงหลิงและศิษย์คนโตของหลี่ชางกงแห่งภูเขาเซียน หยางเสี่ยวเกิดมาพร้อมกับความมั่นใจอย่างยิ่งยวด พูดให้ถูกก็คือ มันเป็นความภาคภูมิใจรูปแบบหนึ่ง
ไม่ว่าจะอยู่ในเมืองกวงหลิงหรือภูเขาเซียน ตราบใดที่สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เขาต้องการ ไม่มีอะไรที่เขาไม่สามารถแย่งชิงมาได้ แม้แต่สตรีที่โดดเด่นที่สุดก็ไม่มีข้อยกเว้น
“ข้าคือหยางเสี่ยวจากตระกูลหยางแห่งเมืองกวงหลิงและข้าเป็นศิษย์คนโตของหลี่ชางกงจากภูเขาเซียน ธิดาทั้งสอง ข้าขอทราบนามของท่านและภูเขาแห่งใดที่ท่านกำลังฝึกฝนอยู่ได้หรือไม่ พวกท่านสนใจที่จะหาสถานที่ที่สวยงามเพื่อดื่มสุราหรือไม่”
หยางเสี่ยวแนะนำตนเองและแสดงข้อได้เปรียบโดยกำเนิดของตนเองทันที โดยปกติแล้วสตรีจะแสดงความชื่นชมเมื่อทราบถึงเบื้องหลังของเขา
อย่างไรก็ตาม สตรีสองผู้ที่เขาพบในครั้งนี้อาจไม่ได้สนใจเขามากนัก
หลินชิงจู้ยังคงไม่เปลี่ยนสีหน้าและไม่ได้กล่าวอะไร จ้าวว่านเอ๋อดึงเสื้อคลุมสีแดงของนางและยิ้มอย่างสนุกสนาน “ข้าไม่คิดว่าจะมีความจำเป็นสำหรับสิ่งนั้น เราไม่ได้รู้จักกัน นอกจากนี้ ก่อนที่เราจะออกมา ท่านอาจารย์ของเราได้บอกเราว่าผู้ชายข้างนอกนั้นไม่มีใครเป็นคนดี เขาบอกให้เราอยู่ห่างจากผู้ชาย หากไม่มีอะไรแล้ว พวกเราก็ขอลา”
“โอ้ จริงสิ! ชื่อของเจ้าอาจทำให้คนอื่นตกใจ แต่เจ้าไม่มีเจ้าสมบัติเมื่ออยู่ต่อหน้าข้า”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ สีหน้าของหยางเสี่ยวก็เปลี่ยนเป็นบูดบึ้งเล็กน้อย สตรีสองคนนี้ไม่ไว้หน้าเขาเลยแม้แต่น้อย
“เจ้ากำลังจะบอกว่าข้าไม่มีเจ้าสมบัติหรือ” หยางเสี่ยวกัดฟัน ในเมืองกวงหลิงนี้ไม่มีใครกล้าพูดแบบนี้กับเขาเลยสักคน
เขาหันกลับมาทันทีและบอกคนใช้ที่อยู่ข้างหลังเขาว่า “ไปตรวจสอบดู ข้าต้องการดูว่าพวกนางมีภูมิหลังอย่างไร”
“ฮึ่ม หากข้าสนใจสตรีคนไหน คนนั้นต้องเป็นของข้า”