ทาสแห่งเงา บทที่ 5 โซ่ขาด
[เจ้าได้สังหารสัตว์ร้ายระดับไม่เคลื่อนไหว ตัวอ่อนของจ้าวภูผา]
ซันนี่คุกเข่าลงอย่างหายใจไม่ออก ร่างกายของเขารู้สึกราวกับว่าเพิ่งผ่านออกมาจากเครื่องบดเนื้อ แม้แต่อะดรีนาลินปริมาณมากก็ไม่สามารถชะล้างความเจ็บปวดและความอ่อนล้าได้ทั้งหมด แต่ถึงกระนั้น เขาก็เบิกบานใจ ความพึงพอใจในการสังหารตัวอ่อนนั้นยิ่งใหญ่มากมายจนเขาลืมความผิดหวังที่ไม่ได้รับอุปกรณ์ สิ่งของพิเศษที่ผูกพันกับแก่นแท้ของผู้อยู่อาศัยในดินแดนแห่งความฝัน ซึ่งบางครั้งก็จะได้รับเป็นรางวัลจากมนตร์ให้กับผู้ปลุกพลังที่ได้รับชันชนะ
ดาบวิเศษหรือชุดเกราะน่าจะมีประโยชน์ในตอนนี้ แต่ให้ตายเถอะ เขายอมเลือกเป็นเสื้อโค้ทที่อบอุ่นมากกว่า
'สามวินาที ฉันสามารถพักได้อีกสามวินาที' ซันนี่คิด
ไม่ว่าอย่างไร ฝันร้ายยังไม่จบ
สองสามอึดใจต่อมา เขาก็บังคับตัวเองให้มีสติสัมปชัญญะกลับคืนมาและมองไปรอบๆ พยายามที่จะตรวจสอบสถานการณ์
ตัวอ่อนตายแล้ว ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เยี่ยมมาก แต่อย่างไรก็ตาม เขายังคงถูกล่ามไว้กับโซ่บัดซบนี่ ทาสเจ้าเล่ห์และทาสนักวิชาการ ซึ่งต่างก็หน้าซีดราวกับคนตาย กำลังง่วนอยู่กับการแกะมันออกเพื่อซื้ออิสระในการเคลื่อนไหวของทั้งสามคน
ไกลออกไป ร่างกายที่ฉีกขาดและชิ้นส่วนของเนื้อหนังกองอยู่บนพื้น ทาสจำนวนมากถูกสังหาร มีไม่กี่คนที่สามารถหลบหนีได้ และตอนนี้ต่างก็กำลังวิ่งหนี
'เจ้าพวกโง่ พวกนั้นกำลังสร้างหายนะให้กับตัวเอง'
ผลปรากฏว่าโซ่ได้ขาดเป็นสองท่อนในบางจุด นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมโซ่จึงพลันหย่อนลงเมื่อซันนี่ถูกลากจากบรรดาทาสที่ตื่นตระหนก หากตรวนของพวกเขามีกลไกการล็อคที่ไม่ซับซ้อน เขาคงพยายามปลดตัวเองออกไปในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม ตรวนแต่ละคู่ถูกยึดไว้ด้วยการเชื่อมต่อพิเศษเฉพาะ หากไม่ปลดล็อก ก็จะไม่มีใครไปไหนได้
จ้าวภูผา ซึ่งสันนิษฐานว่าอยู่ในระดับจ้าวปีศาจ ถูกซ่อนไว้จากสายตาโดยแสงที่ส่องสว่างจากกองไฟ อย่างไรก็ตาม ซันนี่ก็รู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของมันเนื่องจากแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยที่แผ่ขยายไปทั่วหินก้อนใหญ่ เช่นเดียวกับเสียงกรีดร้องอย่างสิ้นหวังของทาสที่ยังไม่ตาย อีกทั้งยังได้ยินเสียงคำรามโกรธแค้นจากคนไม่ต่ำกว่าสอง ซึ่งสามารถระบุได้ว่าทหารบางส่วนยังมีชีวิตอยู่ และพยายามอย่างยิ่งที่จะต่อสู้กับสิ่งชั่วร้ายอย่างสิ้นหวัง
สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขามากที่สุด ก็คือความจริงที่ว่าร่างกายที่ไม่สมประกอบหลายร่างเริ่มเคลื่อนไหว
'มีตัวอ่อนเพิ่มอีกอย่างงันเหรอ?'
ดวงตาของเขาเบิกกว้าง
ศพอีกสี่ศพค่อยๆ ลุกขึ้นยืนตามกันทีละศพ สัตว์ร้ายแต่ละตัวต่างดูน่าขยะแขยงพอๆ กันกับตัวแรก และอันตรายไม่น้อยไปกว่ากัน ตัวที่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างจากซันนี่เพียงไม่กี่เมตร
'ทั้งหมดนี่มันบัดซบ!' เขาคิด
จากนั้น ด้วยความอ่อนล้า 'ฉันอยากตื่นแล้ว'
ขณะที่ส่งเสียงกริ๊กแปลกๆ ขึ้น หนึ่งในสัตว์ร้ายก็หันหน้ามาทางทาสทั้งสามคนและกัดฟันกรอด ทาสเจ้าเล่ห์ล้มก้นกระแทก กระซิบคำอธิษฐาน ขณะที่ทาสนักวิชาการหยุดชะงักอยู่กับที่ ซันนี่พุ่งสายตาไปที่พื้น พยายามหาบางสิ่งที่ใช้เป็นอาวุธได้ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่เขาจะใช้ได้ ด้วยความขมขื่นอันโหดร้าย เขาทำได้เพียงแค่พันโซ่ยาวรอบหมัดแล้วยกกำปั้นขึ้น
'มาหาฉันสิ ไอ้ตัวบัดซบ!'
ตัวอ่อนพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อพร้อมกับกรงเล็บ เขี้ยว และความสยอดขวัญ ซันนี่มีเวลาน้อยกว่าหนึ่งวินาทีในการตอบสนอง แต่ทว่า ก่อนที่เขาจะทันได้ทำอะไร ร่างที่ว่องไวก็เคลื่อนตัวผ่านเขาไป และดาบอันแหลมคมก็วาบผ่านไปในอากาศ สัตว์อสูร ถูกตัดศีรษะจากการจู่โจมเพียงครั้งเดียว ล้มลงบนพื้นอย่างไร้ความยิ่งยง
ซันนี่กระพริบตา
'นั่นคืออะไร?'
ด้วยความตกตะลึง เขาค่อยๆ หันหน้าไปมองทางซ้าย และที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางกล้าหาญก็คือทหารหนุ่มหล่อที่เคยเอาน้ำให้เขา อีกฝ่ายนั้นดูสงบและระแวดระวัง ดูเคร่งเครียดอยู่บ้าง ไม่มีรอยเปื้อนเลือดหรือคราบสกปรกบนชุดเกราะหนังของเขา
'เขาช่าง น่าเกรงขาม' ซันนี่คิดก่อนที่จะเตรียมตัวพร้อม
'วางท่า! ฉันว่าเขาเป็นคนชอบวางท่า!'
ด้วยการพยักหน้าสั้นๆ ทหารก็เคลื่อนตัวไปข้างหน้าเพื่อเผชิญหน้ากับตัวอ่อนที่เหลืออีกสามตัว แต่หลังจากเดินไปได้อีกเพียงไม่กี่ก้าว เขาก็พลันหันหลังกลับและมองซันนี่เป็นเวลานาน จากนั้น ด้วยการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว นักรบหนุ่มก็หยิบบางอย่างจากเข็มขัดของเขาแล้วโยนไปที่ซันนี่
'ดูแลตัวเอง!'
จากนั้น เขาก็มุ่งหน้าไปต่อสู้กับสัตว์อสูร
ซันนี่รับของนั้นตามสัญชาตญาณขณะเฝ้าดูทหารจากไป จากนั้นเขาก็ลดสายตาลงและศึกษาสิ่งที่กำแน่นอยู่ในมือ
มันเป็นแท่งเหล็กสั้นและแคบที่มีตรงปลายบิดไปตรงๆ
'กุญแจ มันเป็นกุญแจ'
หัวใจของเขาเริ่มเต้นเร็วขึ้น
'มันคือกุญแจไขตรวน'
ด้วยการเหลือบมองเป็นครั้งสุดท้ายไปยังการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างทหารหนุ่มกับตัวอ่อน ซันนี่ก็ย่อเข่าข้างหนึ่งลงและเริ่มจัดการกับตรวน ด้วยการพยายามนำมือเข้าไปในตำแหน่งที่เหมาะสมเพื่อสอดกุญแจ เขาต้องใช้ความพยายามสองสามครั้งเพื่อทำความเข้าใจกับแม่กุญแจที่ไม่คุ้นเคยว่าทำงานอย่างไร แต่แล้วในที่สุด ก็มีเสียงคลิกที่น่าพอใจดังขึ้น และเขาก็เป็นอิสระในทันใด
ลมหนาวพัดผ่านข้อมือที่เปื้อนเลือดของเขา ซันนี่ลูบข้อมือและยิ้มด้วยแววตาที่เปล่งประกายอันมืดมิด
'พวกแกรอได้เลยในตอนนี้'
เป็นเวลาชั่วขณะ ภาพของความรุนแรงและการแก้แค้นก็เข้าไปเต็มหัวของเขา
"เจ้าหนู! ตรงนี้!"
ทาสเจ้าเล่ห์โบกมือไปมาในอากาศ พยายามเรียกร้องความสนใจ ซันนี่คิดอยู่ชั่วขณะว่าจะปล่อยให้ตายดีหรือไม่ แต่แล้วก็ตัดสินใจไม่ทำเช่นนั้น จำนวนคนสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้
นอกจากนี้ แม้ว่าทาสเจ้าเล่ห์จะเคยขู่ฆ่าเขาและสร้างความไม่พอใจโดยรวม แต่ซันนี่ก็คงจะรู้สึกแย่ที่ปล่อยให้เพื่อนทาสถูกล่ามไว้กับโซ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการปลดปล่อยเขานั้นไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายใดๆ
เขารีบไปหาทาสสองคนนั้นและปลดโซ่ตรวนของพวกเขาอย่างรวดเร็ว ทันทีที่ทาสเจ้าเล่ห์เป็นอิสระ เขาก็ผลักซันนี่ออกไป เต้นรำเล็กน้อย และหัวเราะเหมือนคนบ้า
"อา! ในที่สุดก็เป็นอิสระ! เทพต้องยิ้มให้กับพวกเราอย่างแน่นอน!"
ทาสนักวิชาการมีท่าทางระแวดระวังมากกว่า เขาบีบไหล่ของซันนี่ด้วยความขอบคุณและยิ้มอย่างอ่อนแรง มองไปอย่างเคร่งเครียดในทิศทางของการต่อสู้ที่เกิดขึ้น
ตัวอ่อนสองในสามตัวตายไปแล้ว ตัวที่สามแขนขาดไปหนึ่งข้างแต่ก็ยังพยายามฉีกคู่ต่อสู้ออกเป็นชิ้น ทหารหนุ่มเต้นรำไปรอบๆ ตัวมัน เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วอย่างสง่างามตามแบบของนักรบโดยกำเนิด
"เจ้ารออะไรอยู่! วิ่งสิ!"
ทาสเจ้าเล่ห์ทำท่าจะวิ่งหนี แต่ทาสนักวิชาการหยุดไว้
"เพื่อน ข้าขอ…"
"ถ้าเจ้าพูดว่า "แนะนำ" อีกครั้ง ข้าขอสาบานต่อเทพว่า ข้าจะทุบหัวเจ้าให้แบะ!"
ทาสทั้งสองมองหน้ากันด้วยความเกลียดชังอย่างเปิดเผย หลังจากนั้นไม่นาน ทาสนักวิชาการก็หลับตาลงและถอนหายใจ
"ถ้าเราหนีไปในตอนนี้ เราจะตายอย่างแน่นอน"
"ทำไม?!"
ทาสที่มีอายุมากกว่าชี้ไปที่กองไฟสูง
"เพราะถ้าไม่มีไฟ เราจะแข็งตายก่อนที่คืนนี้จะจบลง จนกว่าดวงตะวันจะขึ้น การวิ่งหนีก็คือการฆ่าตัวตาย"
ซันนี่ไม่ได้พูดอะไร เขารู้ว่าทาสนักวิชาการพูดถูก จริงๆ แล้ว เขารู้ตัวทันทีหลังจากรัดคอตัวอ่อน ไม่ว่าจ้าวภูผาจะน่ากลัวแค่ไหน กองไฟก็ยังเป็นเส้นชีวิตเพียงเส้นเดียวของพวกเขาในนรกเยือกแข็งนี้
เช่นเดียวกับที่ทาสไหล่กว้างที่อาจได้พักผ่อนอย่างสงบสุข ได้กล่าวไว้ ไม่จำเป็นต้องมีใครมาสังหารพวกเขา เพราะภูเขาเองก็จะทำถ้ามีโอกาส
"แล้วจะทำไม! ข้าชอบแช่แข็งตายมากกว่าถูกสัตว์อสูรกินอยู่ดี! ยิ่งไม่ต้องพูดถึง… เอ่อ… กลายเป็นหนึ่งในพวกนั้น"
ทาสเจ้าเล่ห์แสร้งทำเป็นกล้าหาญ แต่น้ำเสียงของเขานั้นไม่มีความมั่นใจเลย เขามองไปยังความมืดรอบๆ ก้อนหินใหญ่และตัวสั่นสะท้านก่อนจะก้าวถอยหลังเล็กน้อย
เมื่อมาถึงจุดนี้ ตัวอ่อนตัวที่สามก็ได้ตายไปนานแล้ว และทหารหนุ่มก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน เขาอาจจะไปร่วมการต่อสู้ในอีกด้านหนึ่งของกองไฟ ทิ้งทาสทั้งสามไว้ตามลำพังที่ไหล่เขาของแท่นหิน
ทาสนักวิชาการกระแอมไอ
"สัตว์อสูรอาจจะพึงพอใจกับพวกคนที่มันสังหารไปแล้วก็ได้ มันอาจจะพ่ายแพ้หรือถูกขับไล่ไปโดยจักรวรรดิ ไม่ว่าในกรณีใด หากเราอยู่ที่นี่ เรามีโอกาสรอด แม้จะเล็กน้อยก็ตาม แต่ถ้าเราหนีไป หายนะของเราจะเป็นความแน่นอน"
"ว่าแต่เราจะทำอะไรต่อไป"
แตกต่างจากทาสนักวิชาการ ซันนี่แน่ใจว่าจ้าวภูผาจะต้องไม่พึงพอใจกับการสังหารทาสเกือบทั้งหมด อีกทั้งเขาก็ไม่เชื่อว่าคนธรรมดาจำนวนมากจะสามารถเอาชนะมันได้จริง
แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นผู้ปลุกพลัง การต่อสู้กับจ้าวปีศาจก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ จะสามารถเอาตัวรอดได้โดยง่าย นับประสาอะไรกับการที่จะเอาชนะ
##ขอกำลังใจสักนิด ช่วยสนับสนุนกันหน่อย ที่ mynovel.co หรือ www.thai-novel.com เลยค่ะ
แต่ถ้าเขาต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ เขาก็ต้องกำจัดเจ้านั่นไปด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง
"เราไปดูกันเถอะ"
ทาสเจ้าเล่ห์มองมาที่เขาราวกับเห็นคนบ้า
"เจ้าบ้าไปแล้วเรอะ? เจ้าอยากเข้าเข้าไปใกล้สัตว์ร้ายนั่นมากขนาดนั้นเลยเหรอ!"
ซันนี่จ้องมองไปยังอีกฝ่ายอย่างว่างเปล่า จากนั้นก็ยักไหล่และมุ่งหน้าไปยังทิศทางของสัตว์อสูรที่ออกอาละวาด