ตอนที่ 36 เผชิญหน้ากับจักรพรรดินี
เสาที่ค้ำจุนโถงเต็มไปด้วยลวดลายการแกะสลัก แสดงถึงความหรูหราและสูงส่ง
อวิ๋นฉีหลัวกำลังเอนบนเก้าอี้ฟีนิกส์ และแม้จะผ่านผ้าม่าน มันก็สามารถเห็นถึงความงามโดดเด่นของนางได้
มันเป็นความงามอันเร่าร้อนที่จะทำให้คนใจสั่นไหว
ซูสือยืนและไม่มองไปที่นาน
จักรพรรดินีมาร
โหดเหี้ยม เย็นชาและทะเยอทะยาน
ตอนเจอกับผู้หญิงเช่นนี้ มันต้องไม่แสดงอะไรที่เกินเลย ไม่งั้นกระดูกอาจหายไป
ต่อให้นางจะสวยแค่ไหนก็ตาม
เกิดความเงียบนโถง
หลังผ่านไปนาน อวิ๋นฉีหลัวก็พูดขึ้น"ซูสือ ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะโตขึ้นมากขนาดนี้แล้ว"
"เรียนฝ่าบาท!ผู้น้อยก็อายุยี่สิบแล้วในปีนี้"
ซูสือตอบ
อวิ๋นฉีหลัวพยักหน้า"ข้ารู้ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ความประทับใจของข้าที่มีต่อเจ้ายังติดอยู่กับวัยเด็กของเจ้า"
"นั่นเป็นเรื่องปกติขอรับ"
ซูสือพูด"มันก็สิบสองปีมาแล้วที่ผู้น้อยเจอฝ่าบาท"
เขาเข้าร่วมสำนักมารตอนอายุ 7 ขวบ
อวิ๋นฉีหลัวสอนเคล็ดบ่มเพาะขุมนรกให้เขาเองกับมือ
นี่คือสิ่งที่ทำให้เกิดความวุ่นวายอย่างใหญ่หลวงในสำนักตอนนั้น โดยทุกคนเชื่อว่านางกำลังเตรียมผู้สืบทอดของนาง
ปีต่อมา ในการทดสอบไหวพริบ ด้วยความคาดหวังอย่างสูงต่อ'ผู้สืบทอดของฝ่าบาท' เขากลับมีพรสวรรค์แค่สูง
นี่ทำให้ทุกคนตกใจ
จากนั้นมา อวิ๋นฉีหลัวก็ไม่เคยมาเจอเขาอีก
มันราวกับนางลืมเขาไปแล้ว
หลังซูสือมาถึงอาณาจักรก่อตั้งรากฐานขั้นปลาย เขาถึงได้รับเลื่อนเป็นแม่ทัพเมืองเฟิงซา
แต่ทว่า ตอนนั้น หลายคนมีความคิดต่างๆกันไป
คนธรรมดาเช่นนี้จะควรค่าให้ฝ่าบาททอดมองได้ไง?
สิ่งเดียวที่ฝ่าบาทสนใจคงเป็นภูมิหลังตระกูลซู!
อวิ๋นฉีหลัวพูด"เจ้ายังบ่นข้าอยู่อีกหรือ?"
"ผู้น้อยไม่กล้า"
ซูสือประสานมือ"ผู้น้อยมีพรสวรรค์ธรรมดา ไร้คุณสมบัติ การได้เข้าร่วมสำนักถือเป็นโชคของข้าแล้ว ข้าจะยังกล้าขออะไรได้อีก?"
พอเห็นท่าทางสงบของเขา หัวใจของอวิ๋นฉีหลัวก็รู้สึกไม่สบายใจ
"มันไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากดูแลเจ้า แต่ถ้าข้าให้ความสนใจกับเจ้ามากเกินไป มันจะทำร้ายเจ้าแทน"
ซูสือเข้าใจ
พรสวรรค์ของเขาแค่ระดับสูงขั้นธรรมดา
แม้จะไม่แย่ มันก็ยังห่างไกลจากการกลายเป็นผู้สืบทอดของฝ่าบาท
เพื่อแผนระยะยาวในการต่อสู้เพื่อที่ราบกลาง คนในสำนักจะไม่มีวันยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น
สถานการณ์จะอันตรายมาก
ดังนั้น การทิ้งระยะห่างงของนางก็เพื่อพยายามปกป้องข้าจริงๆ?
ซูสือไม่คิดเพิ่มและส่ายหัว"ผู้น้อยไม่กล้าขออะไร"
อวิ๋นฉีหลัวขมวดคิ้ว"เจ้ายังบ่นข้าอยู่จริงๆ"
"ผู้น้อยไม่กล้า.."
ปัง!
อวิ๋นฉีหลัวตบที่วางแขนเสียงดังลั่น!
"ไม่กล้านั่น ไม่กล้านี่ งั้นทำไมเจ้าถึงกล้าให้มะระหวานกับข้าในตอนนั้น?"
ซูสือตัวแข็ง"มะระหวาน?"
ผ่านผ้าม่าน อวิ๋นฉีหลัวจ้องตาเขาตรงๆ"ทำไมเจ้าถึงกล้าให้มะระหวานกับข้า ทำไมเจ้าถึงกล้าบอกว่าจะปกป้องข้า และทำไมเจ้าถึงกล้ามากับข้า?"
"ตอบข้ามา!"
พอเจอกับชุดคำถาม ซูสือก็เงียบไป
มันก็สิบสามปีมาแล้ว เขาไม่คิดว่านางจะยังจำเรื่องนี้ได้
หรือว่ามันสำคัญต่อนาง?
เขาพลันรู้สึกลำบากใจ
หลังผ่านไปนาน ซูสือก็ขยับสายตาและพูดเสียงต่ำ"ตอนนั้น ผู้น้อยยังเด็ก พูดจาอะไรแบบเด็กๆ หวังว่าฝ่าบาทจะไม่ถือสา"
อวิ๋นฉีหลัวเอนพิงเก้าอี้และพูดอย่างไม่แยแส"เจ้าหมายความว่าที่เจ้าเคยพูดตอนนั้นขอให้ถือว่าไม่เคยเกิด?"
ดูเหมือนจะมีแสงในดวงตาของนาง ราวกับนางกำลังคาดเดาบางสิ่ง
"ฝ่าบาทกำราบใต้หล้าและไร้เทียมทาน นางจะยังต้องการการปกป้องจากผู้น้อยได้อย่างไร?"
ซูสือลดสายตาลง"แต่ถ้าฝ่าบาทออกคำสั่ง ผู้น้อยเต็มใจไปนรกและข้ามผ่านความตายนับหมื่นเพื่อฝ่าบาท"
เกิดความเงียบสงัดในโถง
แสงในดวงตาของอวิ๋นฉีหลัวหายไป ก่อนจะกลายเป็นลึกประดุจหุบเหว เหมือนทะเลเย็น
"ความตายนับหมื่น?"
นางพยักหน้า"ดี งั้นเจ้าก็ไปลงนรกซะ"
บูม!
แรงกดดันน่ากลัวกดทับ และซูสือก็เหมือนโดนสวรรค์บดขยี้ เขากระอักเลือดคำโต
เส้นชีพจรของเขาดูเหมือนจะฉีกขาด เขาไม่สามารถใช้พลังปราณได้สักนิด
แม้กระทั่งสติก็ยังเลือนราง
ในสายตาที่พร่ามัว เขาเห็นคนเดินมาด้านหน้าเขา พร้อมกับกลิ่นหอมสดชื่น
เสียงของอวิ๋นฉีหลัวดัง"มีอะไรที่เจ้าอยากพูดอีกไหม?"
ซูสือฝืนเงยหน้า
"ผู้น้อยรู้ว่าฝ่าบาทอยากได้ยินอะไร"
"แต่ต่อให้ข้าพูดมัน แล้วมันจะแตกต่างอะไร?มันไม่ใช่ข้าที่ท่านห่วงใย แต่เป็นเด็กน้อยในอดีต"
ใบหน้าของนางไร้อารมณ์"แล้วไง?เจ้าเสียใจไหม?"
"ภูเขาไม่อาจโยกย้าย ทะเลมิอาจเคลื่อน"
ซูสือยิ้ม"แต่ทว่า ถ้าข้ามีโอกาสใช้ชีวิตที่สอง ข้าก็จะยังเลี้ยงมะระหวานให้ท่าน"
อวิ๋นฉีหลัวเงียบ
ดวงตาของนางทอดมอง มันไม่สามารถเห็นอารมณ์นาง แต่มือที่ซ่อนอยู่ด้านหลังนางกำแน่น
"แค่นั้น?"
นางยื่นนิ้วเรียวออกมาและลูบคิ้วของซูสือ
ราวกับกำลังย้อนเวลา แทบจะทันที แผลของเขาหายดี แม้แต่เลือดบนตัวก็ยังหายไป
"ขอบคุณฝ่าบาทที่เมตตา"
เสียงของซูสือสงบมาก
แต่ในใจของเขากำลังก่นด่า
บัดซบ ข้าเกือบตาย!
จักรพรรดินีมารทรงพลังเกินไป และนิสัยของนางก็ยังรับมือได้ยากต่อให้ข้าจะรู้โครงเรื่องดี
การอยู่ใกล้ตัวละครแบบนี้อันตรายเกินไป
ถ้าเขาไม่ระวัง เขาจะตาย!
ตอนนี้ อวิ๋นฉีหลัวพลันถาม"เจ้าเพิ่งบอกว่าภูเขาไม่อาจโยกย้าย ทะเลมิอาจเคลื่อน...ควรมีอีกครึ่งประโยคใช่ไหม?ที่เหลือเล่า?"
ซูสือส่ายหัว"ผู้น้อยไม่สามารถพูดได้"
"พูดมา"
".."
ซูสือกลืนน้ำลาย"ภูเขาไม่อาจโยกย้าย ทะเลมิอาจเคลื่อน ทว่า คนที่ข้ารักกลับถูกแยกจากด้วยภูเขาและทะเล"
อวิ๋นฉีหลัวตกตะลึง
.ภูเขาไม่อาจโยกย้าย ทะเลมิอาจเคลื่อน.......คนที่ข้ารักกลับถูกแยกจากด้วยภูเขาและทะเล"
นางเงียบไปนาน และแค่นเสียงเย็น"เป็นกวีที่แย่มาก"
ซูสือถอนหายใจโล่งอก"จริงขอรับ"
"ไปกัน"
อวิ๋นฉีหลัวหมุนตัวและเดินไปทางประตู
ซูสือเกาหัวอย่างสับสน."ฝ่าบาท เราจะไปไหน?"
"ไปกินข้าวเย็นกับข้า"
"ขอรับ"
ซูสือเดินตามหลังนาง
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขารู้สึกว่าการก้าวเดินของนางเบาลง
นางดูเหมือน...จะมีความสุข?