ตอนที่ 20 ลอบเคลื่อนไหว
แม้ว่าเขาจะเพียงซ้อมมือกับอาโมรี่เพียงเวลาสั้นๆ แต่ถังเทียนก็มั่นใจในหมัดประกายไฟของเขา ท้ายที่สุดอาโมรี่ก็ยังมิได้ใช้ปราณเที่ยงแท้แต่อย่างใด แต่พลังที่ปะทะกับเขานั้นคือพลังสุดยอดของเขาแน่นอน
มือถังเทียนยังคงชา สรุปได้ว่ามันหนักแน่นและทรงพลัง
ถังเทียนแค่ต้องการยืนยันพลังของหมัดประกายไฟ เขาจะได้มั่นใจในอนาคตของเขา
แต่ก่อนนั้น มีเรื่องบางอย่างที่เขาต้องทำ
โจวเผิง!
ถังเทียนรู้สึกเศร้าหมองเมื่ออาจารย์เฉินถูกไล่ออก เมื่อเป็นเช่นนี้ ถังเทียนตั้งใจจะแก้แค้นให้เขา ขณะที่เขาไม่ใช่คนใจดีที่จะยอมยกโทษให้คนอื่นง่ายๆ
ถ้าเขาไม่สามารถแก้แค้นให้คนที่เขารักห่วงใย อย่างนั้นชีวิตจะมีความหมายอะไร
ก่อนหน้านี้เขายับยั้งตัวเองไว้ตลอดเวลาเพราะเขารู้ว่าเขายังอ่อนแอเกินไป หลังจากถังเทียนลงโทษโจวเผิงที่หน้าโรงเรียนครั้งล่าสุด บางทีผู้คุ้มกันรอบๆ ตัวเขาอาจจะเพิ่มขึ้น
ด้วยพลังของเขาในเวลานั้น การใช้ความรุนแรงเผชิญหน้าก็เหมือนกับการเอาไข่ไปกระทบหิน
แต่ตอนนี้ เขารู้สึกว่าเขาแข็งแกร่งเพียงพอ และเขามั่นใจในตัวเอง ดังนั้นตอนนี้ ได้เวลาที่เขาจะล้างแค้นแล้ว
เขาเดินไปตามถนนที่คุ้นเคยมุ่งสู่สถาบันแอนดรูว์ ขณะนั้นเป็นช่วงเวลาเรียน ไม่มีคนอยู่ใกล้ๆ เท่าใดนัก ถังเทียนมองดูรอบๆตัวเป็นอย่างดีและปะปนเข้าไปข้างใน
จอมเกเรถังเพิ่งจะย้ายโรงเรียน เมื่อเขามาปรากฏตัว ทำให้เกิดความตื่นเต้นและหวาดกลัว
จอมเกเรถังเป็นเหมือนสัตว์ป่าที่เข้าไปในป่าทำให้พื้นที่ฝึกฝนเกิดความโกลาหล นักเรียนต่างโอดครวญเหมือนภูตผีและโหยหวนเหมือนหมาป่า นักเรียนหลายคนถึงกับวิ่งหนีอย่างตื่นกลัว
เมื่อเป็นแบบนี้ถังเทียนจึงต้องใช้พลังจับนักเรียนคนหนึ่ง
เมื่อนักเรียนคนหนึ่งพูดเหมือนคนติดอ่างบอก ถังเทียนขมวดคิ้ว โจวเผิงไม่ได้มาสถาบันแอนดรูว์สักครั้งตั้งแต่ถังเทียนย้ายสถาบัน
โจวเผิงไม่เคยมาสถาบันแอนดรูว์เลยเหรอ?”
ไม่ว่าถังเทียนจะโง่เพียงไหน เขาก็เข้าใจว่าเหตุผลที่โจวเผิงไม่มาสถาบัน ไม่ใช่เพราะเขากลัว ต้องมีเหตุผลอื่นบางอย่าง
หลังจากขบคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน ถังเทียนก็ยังคิดเหตุผลไม่ออก เขาสั่นศีรษะและไม่คิดอีกต่อไปนับว่าโจวเผิงโชคดีไปในรอบนี้ ส่วนนักเรียนที่เขาดึงปกคอเสื้อเป็นลมไปแล้ว เนื่องจากกลัวจัด
ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเร่งรีบเข้ามาใกล้ ครูอาจารย์หลายคนด่าด้วยความโมโหอยู่แต่ไกล
ถังเทียนหันหลังเดินออกมาอย่างไม่ลังเล
เมื่อออกจากสถาบันแอนดรูว์ หัวใจของถังเทียนก็สงบลง เมืองซิงฟงใหญ่โตมาก พวกเขาจะพบกันจนได้ ตราบใดที่เขาแข็งแกร่งพออย่าว่าแต่โจวเผิงเลย ต่อให้ตระกูลโจวก็คงไม่เท่าไหร่
เป็นผู้แข็งแกร่งให้ได้คือความหมายที่แท้จริง
ถังเทียนตัดสินใจ ก่อนจะไปสวรรค์วิถี เขาจะต้องชำระเรื่องค้างคาเสียก่อน
ทันทีที่เขาจัดการเรื่องค้างคาใจเสร็จถังเทียนจะไม่มีเรื่องกวนใจอีกต่อไป เขาไม่สนใจใครอีกต่อไปและเริ่มผิวปากเดินกลับสถาบัน ตอนนี้เขาได้ยินเสียงคนปรึกษากันอยู่ด้านหลังเขา
“แกรู้ไหมว่าสถาบันคาราเมลอยู่ที่ไหน?
“นั่นเป็นที่ผุพัง มีแต่ผีเท่านั้นที่รู้จัก!ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้มีผลกระทบมาก ฉันก็คงไม่มีทางได้ยินชื่อของสถาบันคาราเมลแน่”
“บ้าเอ๊ย, งั้นเราจะไปสั่งสอนพวกมันได้ยังไง?”
ถังเทียนตะลึงเมื่อได้ยิน สั่งสอนน่ะหรือ?
※※※※※※※※※※※※※※※
เสิ่นหยวนและหยางหย่งโมโหรีบเร่งออกมาจากประตูสถาบันและตั้งใจจะกำจัดถังเทียนและอาโมรี่ ใครจะรู้กันว่าหลังออกมาแล้ว พวกเขาถึงตระหนักว่าพวกเขาเหมือนกับเป็นคนตาบอด
สถาบันคาราเมลอยู่ที่ไหน?
ทั้งสองคนไม่เคยได้ยินชื่อสถาบันนี้มาก่อน พวกเขาถามคนผ่านทาง 2-3 คน แต่ก็ไม่มีใครรู้
ทั้งสองคนยืนอยู่กลางถนนอย่างงุนงง ขณะนั้นทั้งสองคนไม่รู้จะทำยังไง ถ้าพวกเขาแอบถอยกลับ พวกเขาจะต้องอับอายขายหน้าและถูกคนอื่นล้อ ทุกคนอุตส่าห์เสี่ยงต่อการถูกลงโทษปกปิดการโดดเรียนของพวกเขา ตอนนี้พวกเขาจะต้องกลับไปสถาบันเนื่องจากน่าเศร้าที่พวกเขาหาที่ตั้งของสถาบันคาราเมลไม่เจอ
นั่นจะกลายเป็นเรื่องน่าตลกที่สุดแห่งปีของสถาบันเทียนเจียง
เสิ่นหยวนและหยางหย่งทั้งสองคนมีความภูมิใจ ถ้าพวกเขาถูกล้อเลียนอย่างนี้นั่นเท่ากับฆ่าพวกเขา
แต่ไม่มีใครรู้ที่อยู่ของสถาบันคาราเมล
หยางหย่งหน้าดำคล้ำเหมือนก้นกาต้มน้ำ“ไอ้สถาบันคาราเมล มันเป็นสถาบันห่วยแตกที่ไม่มีคนรู้ที่อยู่กันสักคน แล้วพวกมันกล้าท้าทายพวกเราสถาบันเทียนเจียงได้ยังไง อาจารย์ใหญ่ของพวกมันก็เพี้ยน ถ้าเขาอยู่ต่อหน้าฉัน ฉันคงได้สับแหลกแน่”
“แกคงแตะต้องตาเฒ่าไม่ได้หรอก ฉันได้ยินว่าอาจารย์ใหญ่ของเราให้การต้อนรับเขา ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์อันดี เราแค่ต้องสั่งสอนอาโมรี่กับถังเทียน ตอนนี้สถาบันคาราเมลนั้นมีแค่พวกเขาสองคนเป็นนักเรียน เราอย่าปล่อยให้พวกมันเข้าร่วมงานชุมนุมวิทยายุทธจะดีกว่า” เสิ่นหยวนพูดจริงจัง
“ง่ายมากถ้าจะหยุดพวกมันไม่ให้เข้าร่วมงานชุมนุมวิทยายุทธ ต้องใช้เวลาร้อยวันดึงกระดูกรักษาเส้นเอ็น แต่เราต้องหาพวกมันให้เจอก่อน และเราต้องทำให้ไวด้วย เพราะครั้งต่อไปคงจะไม่ง่ายนัก” หยางหย่งผิดหวัง
“เราก็แค่ถามคนดูก็ได้” หยางหย่งไม่มีความคิดอย่างอื่น
พอดีเขาเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังมองมา ขณะที่คิดว่าเขาเป็นนักเรียนคนหนึ่ง จึงเขาไปถามว่า “นักเรียน,แกรู้จักสถาบันคาราเมลไหม?”
อีกฝ่ายหยุดเดินและขมวดคิ้วนึกอยู่ “โอว..นายกำลังตามหาสถาบันคาราเมลที่เจ้าวัวบ้าอาโมรี่เพิ่งย้ายเข้าไปใช่ไหม?ฉันคิดว่ารู้จักนะ”
เสิ่นหยวนดีใจทั้งสองคนมองหน้ากันเองอย่างอารมณ์ดี
จากนั้นเสิ่นหยวนรีบถาม “ช่วยบอกทางให้เราได้ไหม?”
เด็กหนุ่มสั่นศีรษะ “มันอยู่นอกเมืองและไกลด้วย ฉันระบุชัดๆ ลงไปไม่ได้”
“อย่างนั้น นักเรียน, นายพาเราไปที่นั่นได้ไหม?” เสิ่นหยวนยิ้มอบอุ่นเต็มหน้า
เด็กหนุ่มสั่นศีรษะรัว“ไม่ได้หรอก ฉันต้องไปเข้าเรียน ฉันไม่ว่าง”
หน้าของหยางหย่งกลายเป็นสีคล้ำและเขาพูดเบาๆ“หนุ่มน้อย, อย่าทำให้เราต้องเสียหน้าเลย ฉันขอบอกแกตอนนี้ว่าเราต้องเดินทางไปวันนี้ให้ได้แม้ว่าแกจะไม่ต้องการก็ตาม ฉันคือนายน้อยแห่งเทียนเจียง แกต้องการลองฝีมือฉันไหม?”
เด็กหนุ่มถึงกับหน้าซีดไร้สีเลือดและรู้สึกกลัว“นาย... นายมาจากเทียนเจียงจริงๆ หรือ?”
เสิ่นหยวนมองดูหยางหย่งและพูดว่า“มีเวลาเหลือไม่มากนะ”
หยางหย่งได้ยินและโดยไม่ต้องพูดซ้ำสองเขาคลายแขนและดึงคอเสื้อของเด็กหนุ่มและใช้วิชาตัวเบาทันที เสิ่นหยวนได้แต่ตามไปด้านหลัง
หยางหย่งพึมพำอย่างดุร้าย“ไปทางไหน?”
เด็กหนุ่มชี้นิ้วที่สั่น“ทะ..ทางนั้น...”
ทั้งสองคนหมุนตัวและเดินตรงไปตำแหน่งที่เด็กหนุ่มชี้
วิชาตัวเบาของหยางหย่งนั้นโดดเด่น แม้ว่าเขาจะฉุดดึงคนด้วยมือข้างหนึ่งก็ตาม แต่ฝีเท้าเขาก็ยังคล่องแคล่วราวกับเหินบิน เทียบกับหยางหยุงแล้ววิชาตัวเบาของเสิ่นหยวนยังด้อยกว่า แต่ก็ยังเห็นได้ว่าพลังปราณเที่ยงแท้ของเขาหนักแน่นและแข็งแกร่ง ขณะที่จังหวะก้าวเท้าของเขาไม่ค่อยงดงาม เมื่อเขาก้าวไปมักกินระยะสิบฟุตเพื่อรักษาความมั่นคงของปราณไว้
ทั้งสองคนไม่ได้ประหยัดพลังแต่อย่างใดยังคงรักษาความเร็วและเร่งความเร็วขึ้น พวกเขาออกจากเมืองซิงฟงไปตามถนนนอกเมืองและมุ่งหน้าไปต่อ
ขณะที่พวกเขาเร่งรีบเดินทางราวๆหนึ่งชั่วโมง หยางหย่งเริ่มสงสัยว่าเด็กหนุ่มอาจจะโกหกพวกเขา แต่เวลานั้นเองป้ายไม้เล็กๆก็ปรากฏอยู่ต่อหน้าพวกเขา และบนป้ายมีคำสลักไว้
สถาบัน คาราเมล
หยางหย่งและเสิ่นหยวนดีใจและโล่งใจ ในที่สุดก็มาถูกที่
ถึงตอนนี้ หน้าของเสิ่นหยวนเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนเหมือนกับว่าเขาเห็นสิ่งที่สะพรึงกลัว เขาแสดงความกลัวออกมา
“ระวัง!”
หยางหย่งมองไม่เห็นอะไร นอกจากภาพเบลอและทันใดนั้นเขาถูกกระแทกเข้าที่คางอย่างแรง
หมัดนี้แฝงด้วยพลังหนักหน่วงหยางหย่งรู้แต่เพียงว่าเจ็บปวดเหลือแสน แต่ความคิดกลับงงงวยว่างเปล่า
“เจ้าวัวน่ารคาญ!”
เสียงตะโกนลั่นจากใครบางคนทำลายความเงียบสงบของป่า
“ฮ่าฮ่าฮ่า, ถังพื้นฐาน ในที่สุดแกก็กลับมา
“มาเลย” เด็กหนุ่มที่เหมือนกระทิงป่าถือดาบไม้ขนาดพอๆกับตัวกลิ้งออกมาจากป่าทึบ แต่ทันทีที่เห็นสิ่งที่อยู่ต่อหน้าเขา ทำให้เขาตกตะลึงอยู่ชั่วขณะ
“วัวน่ารำคาญ! ฉันหาคู่ต่อสู้ที่ดีมาให้นายแล้ว โอว, มาจากสถาบันเทียนเจียงเสียด้วยฝีมือดีจริงๆ เลยนะ โอวจริงสิ พวกเขามาที่นี่ ตั้งใจจะมาสั่งสอนพวกเรา เพื่อปกป้องสถาบันคาราเมลที่ยิ่งใหญ่ของเรา ฉันขอมอบภารกิจนี้ให้กับนาย”
ถังเทียนตะโกนบอกอาโมรี่โดยไม่มองเขา ขณะที่เขาควงหมัดแล้วปล่อยหมัดลงไปกระแทกร่างของหยางหย่ง
ที่ถนนการใช้วิชาตัวเบาของหยางหย่งสร้างความตราตรึงใจให้ถังเทียน แม้ว่าถังเทียนจะมั่นใจในตนเอง แต่เขาไม่ใช่คนโง่ พลังหมัดประกายไฟในตอนนี้ของเขาแม้นับว่าใช้ได้ แต่เกี่ยวกับวิชาอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาตัวเบา เขายังคงอยู่ในระดับพื้นฐานเท่านั้น
เมื่อหยางหย่งพึ่งพาวิชาตัวเบา เขาจึงมีข้อได้เปรียบอยู่เล็กน้อย ผู้เฒ่าเว่ยได้บอกไว้และถังเทียนจำได้ว่าหากปราศจากวิชาตัวเบาที่ดี ไม่มีทางย่นระยะห่างระหว่างนักสู้กับคู่ต่อสู้ได้ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้
เฉพาะหมัดมวยระดับหกและที่เหนือกว่าจึงใช้โจมตีในระยะไกลได้
ถังเทียนไม่ได้ใช้พลังปราณเที่ยงแท้แต่อย่างใด แต่ความเร็วของหมัดประกายไฟของเขานับว่ารวดเร็วมากและหมัดประกายไฟของเขานั้นสมบูรณ์แบบ เขาโจมตีได้ถี่อย่างน่าอัศจรรย์ หมัดของเขาไวและสมบูรณ์ระดมต่อยได้ราวกับห่าฝน
เพียงหมัดหนักที่ทำร้ายหยางหย่งเขาไม่เหลือเรี่ยวแรงพอจะตอบโต้ ได้แต่เป็นเหมือนกระสอบทรายที่คอยรับหมัดโดยมิอาจตอบโต้ได้
ปัง!
ไม่ทราบว่าหยางหย่งรับหมัดไปกี่หมัดแต่เขามิอาจทนได้อีกต่อไปและล้มสลบลง
อาโมรี่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นและทำได้เพียงมองดูด้วยความเห็นอกเห็นใจ
ร่างกายธรรมชาติของถังพื้นฐานว่าน่ากลัวมากแล้ว ความเข้มแข็งของพลังฝีมือก็ไม่ธรรมดา ไม่มีใครรู้จักพลังหมัดของถังเทียนดีไปกว่าอาโมรี่
การที่ต้องเจ็บตัวจากหมัดถังเทียนเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึง สหายผู้นาสงสารนั้น...
เขารีบถอนสายตาและมองไปที่เสิ่นหยวนที่อยู่ข้างหน้าเขา
“ฝ่ามือเหล็กเสิ่นใช่ไหม?” อาโมรี่ตาเป็นประกาย เขาจำเสิ่นหยวนได้ และนัยน์ตาเขาลุกโชนด้วยเพลิงต่อสู้
ฝ่ามือเหล็กเสิ่นก็คือฉายาของเสิ่นหยวน วิชาฝ่ามือเหล็กทั้งคู่สร้างชื่อให้เขามากที่สุด
เสิ่นหยวนถือเป็นนักเรียนนักสู้อันดับเก้าของสถาบันเทียนเจียง ขณะที่อาโมรี่เมื่อก่อนนั้นเป็นนักเรียนยอดฝีมืออันดับ 7ของสถาบันเหมิ่งโซ่ว แต่สถาบันเทียนเจียงเป็นโรงเรียนอันดับหนึ่ง ขณะที่สถาบันเหมิ่งโซ่วเป็นโรงเรียนอันดับสาม อันดับของเสิ่นหยวนความจริงถือว่าสูงกว่าอาโมรี่
ตอนแรกเสิ่นหยวนก็ตกตะลึงกับการโจมตีอย่างฉับพลันของถังเทียน อย่างไรก็ตามตอนนี้ใบหน้าเขายังคงสงบและมีสีหน้าเป็นปกติ เขาส่ายหน้าและยกย่องว่า “ฉันไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า วันนี้ถังเทียนเจ้าเรือขุดในรางน้ำถึงกับใช้วิชาอย่างนี้เป็นด้วย”
“เฮ้อ, ชมกันมากเกินไปแล้ว”ถังเทียนไม่ได้เงยหน้าเขาใช้ปากคาบเชือกไว้และง่วนอยู่กับการมัดหยางหย่งไว้อย่างแน่นหนา
“มาเลย, มาสู้กันดีกว่า ให้ข้าได้เจอกับเสิ่นฝ่ามือเหล็กในตำนานผู้เอาชนะได้ทุกคน” อาโมรี่ไม่สนใจว่าทำไมเสิ่นหยวนและพวกถึงมาที่นี่ ตราบใดที่เขาได้สู้ เขาถือว่านี่เป็นเรื่องโปรดปรานของเขา
“เอาชนะได้ทุกคน นั่นเป็นคำร่ำลือเกินจริง แต่ใช้จัดการแก ฉันยังมั่นใจได้อยู่” เสิ่นหยวนปล่อยรังสีฆ่าฟันฝ่ามือทั้งสองของเขาเปลี่ยนเป็นสีดำเหมือนเหล็ก
ถังเทียนเพิ่งจะมัดหยางหย่งเสร็จอย่างน้อยตอนนี้เขายังไม่ให้ความสนใจการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้น เขาใช้สายตาโลภมองดูหยางหย่งที่ถูกมัดอย่างดีบนพื้นจากนั้นใช้มือทั้งสองข้างควานหาของในร่างกายหยางหย่ง
ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเท่ากับริบสมบัติของผู้พ่ายแพ้การต่อสู้