ตอนที่ 15 จดหมายของเชียนฮุ่ย
ที่เรียกว่าการ์ดวิญญาณโบราณนั้นก็เพราะตกทอดมาตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงปัจจุบัน เพื่อให้ทนต่อเวลาและเก็บรักษาได้ดีวิญญาณวิชาต่อสู้บนการ์ดวิญญาณจึงบริสุทธิ์และเต็มไปด้วยสาระแน่นอน
การ์ดวิญญาณโบราณนั้นเป็นอีกชื่อหนึ่งสำหรับการ์ดวิญญาณชั้นยอด
“ผู้จัดทำการ์ดนี้ก็คือผู้ก่อตั้งและบุกเบิกเขากระเรียนฟ้า แล้วยังถูกเรียกว่าปรมาจารย์ระบำกระเรียน,ปราณกระเรียน” นัยน์ตาของผู้เฒ่าเว่ยเต็มไปด้วยความเคารพขณะที่เขาหวนระลึก
ถังเทียนเกาศีรษะ “ฟังดูเหมือนกับจะทรงพลัง...”
แต่อาโมรี่นัยน์ตาเป็นประกาย “โอ้โฮ, ฉันเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนจอมยุทธตะวันออกในยุคโบราณ ทรงพลังมากกันทุกคน ฉันจำได้ว่าถูกเขียนเป็นหนังสือปรมาจารย์ปราณกระเรียนกวาดล้างไปทั่วแดนตะวันออกในปีนั้น”
“นายรู้วิธีอ่านหนังสือจริงๆ ด้วยเหรอ?” ถังเทียนมีความประหลาดใจเต็มใบหน้า
อาโมรี่ละอายเล็กน้อย “เคยอ่านมาบ้าง”
“เขากระเรียนฟ้าตอนนี้ถูกปกครองโดยสำนักกระเรียน สำนักกระเรียนก่อตั้งโดยปรมาจารย์วิชาปราณกระเรียนซึ่งตกทอดมาหลายรุ่น อย่างไรก็ตามสำนักกระเรียนในปัจจุบันมิอาจเทียบได้กับวันคืนยุคเก่าก่อนที่รุ่งเรือง” ผู้เฒ่าเว่ยส่ายหัวอย่างเสียดาย “ฉันคิดว่าวิชาแท้ๆของสำนักกระเรียนคงถูกทำลายไป ถ้าไม่เช่นนั้นก็คงไม่อยู่สถานการณ์ลำบากดังเช่นทุกวันนี้”
“การ์ดวิญญาณใบนี้คือการ์ดวิญญาณสำหรับฝึกวิชากำลังภายในชั้นยอดจากสำนักกระเรียนและตกทอดมาหลายปีแล้ว เทคนิคฝึกฝนพลังภายในของสำนักกระเรียนได้ชื่อว่าฝึกยาก นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมสำนักกระเรียนถึงกลายเป็นดังทุกวันนี้ การฝึกฝนพลังภายในก็แตกต่างพลังภายในที่เราฝึกฝนกันเดี๋ยวนี้ พวกเขามุ่งเน้นให้ความสนใจความต่อเนื่องและไม่สามารถเปลี่ยนระหว่างกันได้ แต่การฝึกฝนพลังภายในทุกวันนี้ ขึ้นอยู่กับระดับ ไม่พูดถึงความต่อเนื่อง”
“งั้นวิธีไหนดีที่สุด?” ถังเทียนอดถามไม่ได้
“ข้อดีข้อเสียมีอยู่ในตัวแล้ว” ผู้เฒ่าเว่ยพึมพำ “การฝึกพลังภายในในอดีต ตั้งแต่เริ่มจนจบการฝึก พวกเขาเพียงฝึกวิชาเดียวซึ่งเพียงพอแล้ว ขณะที่วิชาของพวกเขาแข็งแกร่ง เพียงแต่เมื่อวิชาสูญหายไประดับใดระดับหนึ่ง อย่างนั้นพวกเขาไม่สามารถฝึกได้ต่อไป
*** ข้อชี้แจงโดยพื้นฐาน วิธีฝึกแบบเก่าจะใช้จากคัมภีร์เท่านั้น แต่วิธีฝึกเฉพาะจะถูกแบ่งเป็นหลายระดับ ดังนั้นที่ระดับแรกของปราณแท้ผู้ฝึกจะใช้วิชาระดับหนึ่ง และจากนั้นถ้าผู้ฝึกสูญเสียระดับการฝึก ดังนั้นผู้ฝึกมิอาจฝึกผ่านระดับพลังแท้จริงได้ เนื่องจากไม่มีวิธีฝึกอื่น***
“แต่ตอนนี้แอ่งตันเถียนของเราเปลี่ยนรูปแบบเป็นแอ่งตันเถียนหลายชั้นทำให้ง่ายที่จะประยุกต์และฝึกฝนเคล็ดพลังภายในรูปแบบแตกต่างออกไป อย่างไรก็ตามการฝึกแบบนี้ศักยภาพของเราจะถูกลดลงอย่างมากมายเมื่อเป็นวิชาระดับสาม ก็ใช้เพื่อฝึกวิชาพลังภายในและวิทยายุทธระดับสาม ตราบใดที่ยังมีคุณลักษณะเหมือนกันแกสามารถฝึกได้อย่างอิสระ ถ้าไม่เป็นเช่นนี้ แล้วจะมีจอมยุทธผู้มีชื่อเสียงในทุกวันนี้ได้อย่างไร สำนักเก่าแก่ก็ต้องมีการสืบทอดวิชาทั้งหมดถึงทำให้มีจอมยุทธผู้แข็งแกร่งมาก แต่พวกเขาก็ต้องทุ่มเทราคาที่สูงขึ้น ถ้าเป็นกรณีสำนักเก่าแก่ บางทีอาโมรี่จะได้รับเลือกให้เป็นศิษย์ ขณะที่แกเสี่ยวถังอาจจะยากสักหน่อย คงเป็นเรื่องยากสำหรับแกที่จะเข้าสำนักเก่าแก่อย่างนั้นได้”
ในที่สุดทั้งสองคนก็เข้าใจจนได้และผงกหัวรับทราบอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าถังเทียนจะถูกประเมินว่ามีพรสวรรค์ด้อยกว่าอาโมรี่ แต่เขาไม่โกรธ พรสวรรค์ของเขาด้อยกว่าเจ้าวัวบ้านจริงๆแต่เขาคิดว่าเขาโชคดีมาก ที่ตอนนี้เขามีคุณสมบัติจะได้ฝึกฝนด้วยการ์ดวิญญาณที่มีอยู่เพียงใบเดียว
“ความเข้าใจคัมภีร์ลมปราณกระเรียนสำหรับฉันเองยังมีอยู่น้อย ทั้งหมดที่ฉันรู้ก็คือความแข็งแกร่งของปราณในเส้นชีพจรเป็นเรื่องที่ดีสำหรับการต่อสู้เป็นเวลานาน ฉันคิดว่ามันเหมาะกับแกเนื่องจากยอดฝีมือสู้ระยะประชิด พลังทางร่างกายเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ส่วนที่เหลือ แกจะต้องค้นหาด้วยตัวแกเอง แต่ฉันรับรองได้ว่ามันฝึกฝนได้ยากมาก ในช่วงเวลาที่ผ่านมาที่ฉันได้รับการ์ดวิญญาณคัมภีร์ปราณกระเรียนโดยบังเอิญและแม้ว่ามันจะแตกต่างจากการฝึกฝนพลังภายในของยุคนี้ก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าเคล็ดวิชาอื่นๆ เป็นส่วนใหญ่” จู่ๆ ผู้เฒ่าเว่ยก็โบกมือให้พวกเขา “เอาล่ะ,ฉันบอกสิ่งที่รู้ไปแล้ว ไม่ต้องถามฉันอีกต่อไปแล้ว”
อาโมรี่ตื่นเต้น “ถังพื้นฐาน! รีบๆ ไปฝึกได้แล้ว เราจะต้องสู้กันอีกเมื่อพลังเที่ยงแท้ของนายอยู่ในระดับสาม! ฉันจะขัดเกลากระบวนท่าที่ทรงพลังของฉัน และอาจทำให้นายต้องผิดหวังแน่”
ผู้เฒ่าเว่ยตัดบทพวกเขา “ทำไมพวกแกทั้งคู่ยังส่งเสียงดังอยู่ได้ ไปฝึกกันได้แล้ว เฮ้, ฉันขอบอกพวกแกไว้ก่อน เพื่อเห็นแก่พวกแกที่ไม่ทำให้ฉันขายหน้าในงานชุมนุมวิทยายุทธเมืองซิงฟง ฉันเตรียมบทฝึกพิเศษไว้ให้พวกแกสองคนแล้ว”
“บทฝึกพิเศษ?” ถังเทียนและอาโมรี่ให้ความสนใจทันที
“แล้วพวกแกทั้งคู่จะรู้ในอีกไม่ช้า” ผู้เฒ่าเว่ยหัวเราะ
※※※※※※※※※※※※※※
ถังเทียนอารมณ์ดีและแจ่มใสเป็นพิเศษ ไม่ใช่เพราะเขาได้รับคัมภีร์ปราณกระเรียน แต่เพราะเขาได้รับจดหมายจากเชียนฮุ่ย
จดหมายส่งผ่านสวรรค์วิถีมาอย่างช้าๆ และหน้าซองก็ดูเก่าไปบ้าง
เมื่อเปิดซองสีชมพู กลิ่นหอมจางลอยออกมาลายมือสวยงามของเชียนฮุ่ยปรากฏต่อสายตาถังเทียน เขาบรรจงยกจดหมดขึ้นเหมือนใช้ฝ่ามือประคองทารกแรกเกิดและอ่านเนื้อความอย่างกระหาย
“พี่เทียน- เป็นยังไงบ้าง? ฉันคิดถึงเธอมากนะที่นี่น่าเบื่อไปหมด ฉันไม่ชอบที่นี่เลย ไม่ชอบทั้งกฎเกณฑ์และคนของที่นี่ พี่เทียน! ฉันรอให้พี่มาที่นี่ เราจะได้แอบไปท่องสวรรค์วิถีกัน ฉันเตรียมทุกอย่างสำหรับท่องเที่ยวไว้แล้วฮะฮะ, พวกเขาทุกคนไม่รู้ พวกเขาไม่เชื่อมั่นพี่เทียน แต่ฉันเชื่อ พี่เทียนจะต้องประสบความสำเร็จแน่นอน ฉันมั่นใจเต็มร้อย เออ, จริงสิ พี่เทียนฉันพบเบาะแสเรื่องแผ่นป้ายทองแดงอยู่บ้าง ดาวกางเขนบนป้ายทองแดง ก็คือเครื่องหมายของกลุ่มดาวกางเขนใต้และถ้าในตำราระบุไว้ถูกต้องมีความเป็นไปได้สูงว่านั่นคือสมบัติดวงดาวของกลุ่มดาวกางเขนใต้ เรียกว่าป้ายความเพียรแห่งดาวกางเขนใต้ และในบรรดาสมบัติดวงดาวทั้งหมดมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้น้อยเหลือเกิน”
ถังเทียนกลายเป็นจริงจังและอ่านอย่างระมัดระวัง
“กลุ่มดาวกางเขนใต้อยู่ระหว่างกลุ่มดาวแมลงวันและกลุ่มดาวเซนทอร์ และเป็นกลุ่มดาวที่เล็กที่สุดตรงนั้น จนกระทั่งบัดนี้กลุ่มดาวกางเขนใต้มีสมบัติดวงดาวอยู่เพียงชิ้นเดียวซึ่งก็คือป้ายความเพียรแห่งดาวกางเขนใต้ วิธีใช้สมบัตินั้น ไม่มีการบันทึกไว้ พี่เทียน พี่ต้องค้นคว้าด้วยตนเอง จากที่เห็นชื่อของมัน ก็ควรเป็นสมบัติดวงดาวที่เกี่ยวกับการฝึกฝน จำนวนเลขเหล่านั้น ถ้าฉันคาดเดาไม่ผิดน่าจะเกี่ยวข้องกับแผ่นป้ายทองแดง พี่เทียน! พี่ต้องจดจำไว้อย่าบอกเรื่องป้ายทองแดงกับคนอื่น มันอาจดึงดูดคนไม่ดีมาก็ได้ ป้ายความเพียรแห่งดาวกางเขนใต้เป็นเบาะแสที่ดีมากอย่างหนึ่ง มันเป็นเบาะแสและเงื่อนงำเกี่ยวกับสมบัติกลุ่มดาวกางเขนใต้ พี่เทียน!เชียนฮุ่ยฉลาดไหมจ๊ะ, รีบๆ ชมเชียนฮุ่ยด้วยนะ..”
จดหมายยาวมาก จากตรงนี้เองเขาบอกได้เลยว่าเชียนฮุ่ยใช้เวลาเขียนนานมาก
ถังเทียนอ่านซ้ำอีกสองเที่ยวทีละคำหลังจากอ่านแล้ว เขาจึงพับเก็บไว้
สมบัติดวงดาว คิดไม่ถึงเลยว่าป้ายทองแดงก็คือสมบัติดวงดาว....
ถังเทียนดูเหมือนจะสงบได้เสมอ แต่ในใจเขาท่วมท้นไปด้วยข้อมูลเหลือเชื่อ ถ้าไม่ใช่เพราะเชียนฮุ่ยเป็นคนบอกเขา เขาคงไม่มีทางเชื่อ
สวรรค์วิถีเต็มไปด้วยดวงดาว และดาวบางส่วนก็ค่อยๆจับกลุ่มกัน กลายเป็นกลุ่มดาว ตามตำนานในกลุ่มดาวทุกกลุ่ม จะมีสมบัติวิเศษที่ไม่เหมือนใครอยู่ชิ้นหนึ่งและนั่นเรียกว่าสมบัติดวงดาว
อย่างไรก็ตาม สมบัติดวงดาวมิอาจเทียบได้กับสมบัติของยอดวีรบุรุษหรือยอดยุทธผู้ทรงอิทธิพล ตัวอย่างเช่นหัวใจราชสีห์คลั่งของพญาราชสีห์เลโอน แม้ว่ามันน่ากลัวเมื่ออยู่ในมือของเขาแต่ก็มิได้หมายความว่านั่นคือสมบัติแห่งกลุ่มดาวเลโอ ก็เหมือนอย่างที่ธนูฟ้ายามที่อยู่ในมือของเซียนธนูโฮ่วอี้เทียนก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นสมบัติอันดับหนึ่งของกลุ่มดาวซาจิทาเรียสไม่ใช่หรือ
สมบัติที่ยิ่งใหญ่ในตำนานทุกอย่าง บทกวีและตำราพรรณนาไว้ต่างจากสมบัติดวงดาวที่แท้จริงมากมาย
จู่ๆ วันหนึ่งถังเทียนก็พบว่าป้ายทองแดงที่อยู่มากับเขาตั้งแต่เด็กแท้ที่จริงคือสมบัติดวงดาว แม้ว่าจะดูเหมือนธรรมดา แต่ถังเทียนก็รู้ว่ามีความหมายพิเศษที่แฝงอยู่ในนั้น
แม่... แม่ล่วงลับไปแล้ว มันเกิดอะไรกันแน่?
ทำไมแม่ไม่บอกฉัน...
หัวใจของถังเทียนเงียบอย่างน่ากลัวพร้อมกับรู้สึกพร่ามัวอยู่ในสายตาเขา
แต่เขารีบตั้งสติได้ทันที จู่ๆความรู้สึกแบบวีรบุรุษก็ผุดขึ้นในหัวใจเขา อาการพร่ามัวในสายตาหายไปและเขากำหมัดแน่นอีกครั้ง
แม่! ฉันไม่กลัวหรอก!
ไม่ว่าจะเรื่องใหญ่แค่ไหนหรืออันตรายเพียงไหน ไม่มีอะไรหยุดฉันได้!
ลูกชายของแม่จะไม่ยอมให้แม่เสียหน้าเด็ดขาด
ฉันจะต้องไปให้ถึงก้นบึ้งเรื่องนี้ให้ได้
ทำให้ดีที่สุด, ถังเทียน!
ถังเทียนยกกำปั้นขวาชูขึ้นฟ้า สาบานกับมารดาเหมือนพูดกับตัวเขาเอง
※※※※※※※※※※※
ผิวของโจวเผิงดำคล้ำเนื่องจากแดดเผา ริมฝีปากแห้งมีรอยแตก เขาเหนื่อยจัดจนไม่อาจลืมตาได้
“เฮ้” หม้อใส่น้ำเย็นเทราดลงที่ศีรษะเขา
“โจวมู่, รอให้ฉันเป็นหัวหน้าตระกูลก่อนเถอะไม่งั้นแกตายแน่” โจวเผิงกัดฟันพูด
โจวมู่พูดโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน “ไว้รอจนกว่าคุณจะเป็นหัวหน้าตระกูลจากนั้นคุณค่อยพูดอีกก็ได้”
“ฉันจะเป็นหัวหน้าตระกูลได้แน่นอน! ฉันจะฆ่าแก! และฆ่าถังเทียน! ฉันจะฆ่ามันทุกคนที่ขวางทางฉัน!” โจวเผิงตะโกนลั่น ทันทีที่พูดเสร็จเขาหยิบหินดวงดาวหนึ่งชิ้นขึ้นมาโดยไม่มีวี่แวว และเริ่มฝึกวิชาพลังภายในของเขาทันที
หลังจากนั้นไม่นานหินดวงดาวก็สูญเสียประกายและแตกร่วงหล่นลงพื้นดังปัง มีหินหนาใหญ่แตกกระจายอยู่บนพื้นที่ซึ่งโจวเผิงใช้สอยหินดวงดาวไปจำนวนมาก
จำนวนหินดวงดาวที่ใช้ไปนั้นน่าทึ่งมากเมื่อรวมเข้าด้วยกัน กลับมีผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์
พลังเที่ยงแท้ของโจวเผิงสูงถึงระดับสามแล้วและขึ้นไวมาก เขาสามารถยกพลังภายในขึ้นสู่ระดับสี่ได้ ด้วยพลังเที่ยงแท้ระดับสี่ เทียบกับโรงเรียนทั้งหมดแล้ว เขานับเป็นยอดฝีมือสูงสุดในเมืองซิงฟง
โจวมู่ยังคงไม่แสดงอารมณ์อะไรและแม้จะสอนโจวเผิงไปหลายอย่างแล้ว โจวเผิงรู้ว่าตอนนี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เขาได้รับความเป็นไปได้นี้แต่เป็นเพราะเขาได้แสดงความเหี้ยมหาญที่ไม่เคยทำได้มาก่อน
พรสวรรค์และร่างกายตามธรรมชาติของโจวเผิงถูกมองว่าดีมากนอกจากนี้เขามีความเข้ากันได้กับธาตุไม้ได้อย่างโดดเด่นและถูกมองว่าเป็นสมาชิกรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นที่สุดของตระกูลโจว น่าเสียดายที่เขามักจะทำตัวเหลวไหลนอกลู่ทางกลายเป็นคนไม่อยู่ในวินัย เขาถูกบังคับให้อยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังอย่างปัจจุบันนี้ ไม่มีที่จะหนีไปแต่กลับมีความก้าวหน้าเกินกว่าทุกคนจะคาดถึง
ตระกูลโจวเชี่ยวชาญในวิทยายุทธสายธาตุไม้และมีการสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน ที่ดาวอู่อัน ตระกูลโจวนั้นโดดเด่นมาก และสามารถสร้างความรุ่งเรืองได้เองพวกเขาเป็นที่ยอมรับกันว่าเชี่ยวชาญวิทยายุทธสายธาตุไม้
ตราบใดที่สามารถบรรลุไปถึงระดับสี่โจวเผิงจะเริ่มฝึกกระบี่กังหันหัวใจไม้ที่เป็นวิทยายุทธสร้างชื่อให้กับตระกูลโจว
วิชากระบี่กังหันหัวใจไม้นั้นมีชื่อเสียงและสามารถใช้ผสานร่วมกับวิทยายุทธระดับสี่ของตระกูลโจวได้หลายวิชา
หากว่าโจวเผิงสามารถฝึกวิชากระบี่กังหันหัวใจไม้ได้สำเร็จ เขาจะกลายเป็นผู้ประสบความสำเร็จในเส้นทางเพื่อคว้าตำแหน่งประมุขตระกูลได้ แม้แต่ผู้อาวุโสสูงสุดก็ไม่อาจคัดค้านเขาได้
อย่างไรก็ตามวิชากระบี่กังหันหัวใจไม้มีระดับการฝึกที่ยากมาก และศิษย์หลายคนที่พยายามฝึกลงท้ายด้วยความล้มเหลว ศิษย์ในตระกูลโจวที่ฝึกฝนสำเร็จในประวัติศาสตร์ล้วนประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่
แต่โจวเผิงมีโอกาสมากที่จะฝึกวิชากระบี่กังหันหัวใจไม้ได้สำเร็จ
พอเห็นโจวเผิงลืมตา โจวมู่รายงานอย่างไม่แสดงอารมณ์ว่า “เราเพิ่งได้รับข่าวว่าถังเทียนสมัครร่วมชุมนุมวิทยายุทธเมืองซิงฟงในปีนี้ ประมุขตระกูลก็ลงสมัครให้คุณด้วยเหมือนกัน และนั่นเป็นโอกาสเดียวที่คุณหนูจะได้กอบกู้ชื่อเสียง
นัยน์ตาโจวเผิงเปล่งแววชั่วร้ายและรังสีฆ่าฟันภายใน“มันจะต้องตายแน่ๆ ฉันจะฆ่ามันเอง”
ทันทีที่เขาพูดจบ เขาหันกลับไปฝึกต่อ