ตอนที่ 13 สังเกตการณ์
พลังที่ปล่อยออกมาจากหมัดของถังเทียนไม่ธรรมดา!
หมัดแปรเปลี่ยนอย่างคาดไม่ถึง มีพลังแปลกๆ
บางอย่างผิดปกติ พลังที่เขาสร้างขึ้นมานั้นไม่ธรรมดานัยน์ตาของอาโมรี่เบิกกว้างตื่นเต้น พอเห็นถังเทียนสร้างพลังแบบนี้ได้ เท้าทั้งสองลอยอยู่ในอากาศเล็กน้อยระยะห่างระหว่างพวกเขาน้อยมาก ถ้าอาโมรี่ไม่สังเกตใส่ใจ เขาคงไม่มีทางรู้สึกได้
ใช้วิธีนี้เพื่อหลีกคลื่นสะเทือนไหว มั่นใจได้ว่าเขาคือถังพื้นฐานผู้ยอดเยี่ยมจริงๆ
แทนที่จะรู้สึกหดหู่ อาโมรี่กลับตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น
เขาบ่งบอกได้เลยว่าถังเทียนใช้วิชาหมัดประกายไฟ ลักษณะของหมัดประกายไฟมีความโดดเด่นมากและง่ายต่อการจดจำ นอกจากเป็นวิทยายุทธระดับสองแล้วหมัดประกายไฟไม่ถือว่าโดดเด่น จำนวนคนที่ฝึกวิชานี้ไม่มากนัก เป็นวิทยายุทธที่ไม่ได้รับความนิยม อย่างไรก็ตามอาโมรี่ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับวิชานี้
ที่สำคัญ มียอดฝีมือหมัดประกายไฟอยู่ในสถาบันเหมิ่งโซ่ว หวังเจิ้นจัดอยู่ในอันดับสามของทำเนียบนักเรียนสถาบันเหมิ่งโซ่ว เขาเน้นฝึกฝนแต่วิชาหมัดมวยและเมื่อเขาบรรลุถึงระดับพลังแท้จริงแล้วเขาเชี่ยวชาญในวิชาหมัดประกายไฟเป็นพิเศษ
หวังเจิ้นพัฒนาความเข้าใจหมัดประกายไฟอย่างลึกซึ้ง อาโมรี่รู้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตามหมัดประกายไฟของหวังเจิ้นและหมัดประกายไฟของถังเทียนแตกต่างกันมาก
หมัดประกายไฟของหวังเจิ้นชกได้รุนแรงและเมื่อหมัดหายไปกลางอากาศคลื่นกระแทกที่ทรงพลังจะส่งระลอกคลื่นผ่านอากาศ แต่หมัดของถังเทียนไม่ได้สร้างคลื่นกระแทก ระดับความไวของหมัดเร็วกว่ามากและหมัดถูกอำพรางไว้อย่างดี ไม่มีทางรู้ได้ว่าหมัดของถังเทียนจะปรากฏอีกครั้งตรงไหน
นอกจากนี้ความถี่ของการโจมตีของถังเทียนสูงขึ้นรุนแรงขึ้นและกดดันคู่ต่อสู้จนแทบไม่มีพื้นที่หายใจ
เทียบวิชาหมัดประกายไฟของนักสู้ทั้งสองแล้ว อาโมรี่อัศจรรย์ที่พบว่าเขาไม่สามารถประเมินได้ว่าหมัดประกายไฟของใครแข็งแกร่งกว่ากันแน่
จุดที่สำคัญก็คือ
นักสู้ผู้ฝึกวิชาหมัดประกายไฟไม่สามารถสร้างหมัดประกายไฟได้ทุกหมัดแค่ปล่อยเป็นหมัดประกายไฟสำเร็จได้แปดในสิบหมัดก็นับได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญแล้ว สำหรับผู้ใช้หมัดประกายไฟตามสถิติสูงสุดของสถาบันเหมิ่งโซ่วก็คือหวังเจิ้น ก่อนหน้านี้เขาออกหมัดร้อยหมัดถึงกับสร้างสถิติที่น่าทึ่งคือเป็นหมัดประกายไฟถึงแปดสิบสามหมัด นี่คือสถิติที่น่าทึ่งสั่นสะเทือนไปทั้งเมืองซิงฟงก่อนนี้ จากนั้นหวังเจิ้นยังได้รับการบันทึกสถิติโดยทั่วไปว่าเป็นยอดฝีมือหมัดประกายไฟอันดับหนึ่งของเมืองซิงฟง
แต่!
อาโมรี่ควงฝ่ามืออย่างต่อเนื่องและป้องกันจุดศูนย์กลางไว้
ในสายตาเขา มีเงาหมัดโผล่ออกมาจากท้องฟ้าโดยไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ ขณะที่หมัดเหล่านั้นระดมใส่หน้าของเขา
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหวังเจิ้นมาเห็นหมัดประกายไฟของถังพื้นฐาน....
อาโมรี่พลาดการนับจำนวนหมัดของถังเทียนและพยุงตัวเองไว้ แต่จนกระทั่งตอนนี้ถังเทียนยังไม่ล้มเหลวในการออกหมัดประกายไฟเลย
ถังพื้นฐาน นายเป็นคนแบบที่ทำได้เกินคาดหมายของทุกคนจริงๆ
อาโมรี่โดนกำราบสิ้นเชิง ฝ่ามือสลายศูนย์ถ่วงของเขาโดนกำราบโดยตรง แต่อาโมรี่กลับมีใบหน้าสดใสยิ่งขึ้น
※※※※※※※※※※※※
ตรงชายป่าของพื้นที่ฝึกฝีมือห่างออกไปประมาณสี่สิบฟุต มีเงาร่างสองร่างยืนอยู่บนกิ่งไม้ หนึ่งในนั้นคือเหลียงชิว และที่ยืนอยู่ข้างๆเขาคือบุรุษคนหนึ่งสวมเครื่องแบบสีเทา เขาดูสัตย์ซื่อและมือทั้งสองหยาบหนา กำลังจ้องดูการต่อสู้ของคนทั้งสองอย่างไม่กระพริบตา
เขาคือหวังเจิ้น
“เจ้านั่นใช้หมัดประกายไฟได้ดีเลยทีเดียว” เหลียงชิวทึ่ง สีหน้าบ่งบอกความซื่อตรง“ข่าวลือเรื่องถังเทียนฝีมืออ่อนคงไม่จริงแน่ แม้ว่าอาโมรี่ไม่ได้ใช้วิทยายุทธระดับสามก็ตาม พวกเขาทั้งสองใช้วิทยายุทธระดับสอง แต่ถังเทียนสามารถชิงมีเปรียบอาโมรี่ได้ นับว่าไม่เลวเลย”
ถ้าคนภายนอกรู้ว่าเหลียงชิวชมถังเทียนว่าไม่เลว พวกเขาอาจคิดว่าพวกเขาฟังผิด
“ฮ่าฮ่า ตอนนี้นายไม่ต้องเป็นห่วงอาโมรี่แล้ว ฉันรู้สึกว่าเขาอาจจะพูดแล้วฟังดูไม่น่าเชื่อถือ แต่เขาก็มีความคิดเป็นของตัวเอง” หวังเจิ้นยิ้มและคลายหมัดโดยไม่รู้ตัว แต่สายตาเขามองถังเทียนไม่วางตา
เหลียวชิวไม่ต้องการให้อาโมรี่ตกต่ำจึงแอบตามมาสืบดูเงียบๆ
“ฮื่อ, อย่าเชื่อข่าวลือเป็นดีที่สุด ความจริงว่าซ่างกวนเชียนฮุ่ยเห็นบางอย่างในตัวคนผู้นี้ก็หมายความว่าเขาต้องมีบางอย่างที่พิเศษ” เหลียงชิวกล่าวอย่างเฉื่อยชาว่า “น่าเสียดาย ตอนที่ซ่างกวนเชียนฮุ่ยยังอยู่ฝีมือฉันยังอ่อนเกินไป เสียใจที่ไม่ได้ประลองฝีมือกับเธอสักครั้ง”
“ใช่แล้ว ไม่มีใครอื่นที่เหมือนกับซ่างกวนเชียนฮุ่ย แข็งแกร่งอย่างแท้จริง แต่หมัดประกายไฟของถังเทียน ทำให้ฉันคันไม้คันมืออยากจะสู้เสียแล้วสิ”
“เขาคลั่งอยู่” เหลียงชิวพูด “ดูที่ตาเขาสิ”
ที่เรียกว่าคลั่งนั้นเป็นการพูดเป็นนัยถึงบุคคลผู้ในสภาวะระเบิดอารมณ์ ศักยภาพของเขาจะถูกเอามาใช้เต็มที่ในเวลานั้น ความแข็งแกร่งทุกด้านจะเพิ่มขึ้นจนน่ากลัวมาก
“แม้ว่าเขาจะอยู่ในอารมณ์คลั่ง แต่หมัดประกายไฟของเขาปล่อยออกมาได้อย่างงดงาม นอกจากนี้ฝีเท้าของเขาและจังหวะออกหมัดทำได้โดดเด่นมาก ถ้าฉันไม่เห็นด้วยตัวเอง ฉันคงไม่เชื่อว่าคนสอบตกซ้ำซากจะมีพลังขนาดนี้” หวังเจิ้นตื่นเต้น
“นายจะต้องมีโอกาสแน่” เหลียงชิวจ้องหวังเจิ้น “สถาบันคาราเมลมีคะแนนไม่พอ”
“คะแนนไม่พอเหรอ?”
“ฮืมม... ฉันเช็คคะแนนของสถาบันคาราเมลแล้ว ถ้าพวกเขายังคงคุณสมบัติสถาบันไว้ พวกเขาจะไม่สามารถสะสมคะแนนได้พอจะต้องพึ่งพาสองคนนี้ในการทดสอบของเมือง
“นายกำลังบอกว่า...” หวังเจิ้นตะลึง แต่เขารู้ว่าเหลียงชิวมักจะระมัดระวังกับหลายเรื่องที่เขาทำ ถ้าเป็นเช่นนั้น นี่ก็ต้องมีมูลความจริง
ระบบคะแนนในเมืองซิงฟงจะเป็นตัวกำหนดอันดับสถาบันการศึกษาทุกแห่ง ผลจากการทดสอบจะเป็นตัวกำหนดคะแนนที่สถาบันจะได้รับ และคะแนนสะสมสุดท้ายจะเกี่ยวข้องกับวิธีที่สถาบันจะได้รับเงินสนับสนุนมีสิ่งอำนวยความสะดวกทำให้พวกเขาได้พัฒนาเป็นสถาบันที่เหมาะสมต่อไป
“สถาบันคาราเมลมีคะแนนสะสมเป็นศูนย์ในปีนี้ และนอกจากการสอบอย่างเป็นทางการแล้ว พวกเขายังต้องมีส่วนร่วมประลองยุทธในเมืองซิงฟงและยังต้องได้อันดับที่ดีด้วยจึงจะได้รับคะแนนสะสมที่น่าพอใจ” เหลียงชิวพูดเป็นนัย
หวังเจิ้นหัวเราะ“นั่นน่าสนใจดี!”
หมัดประกายไฟอย่างนั้น หวังเจิ้นกระตือรือร้นมากต้องการจะลองฝีมือ
ทันใดนั้นหวังเจิ้นมีข้อสงสัย “ถ้าสถาบันคาราเมลอยู่ในสภาพย่ำแย่ แล้วนายจะกดดันให้อาโมรี่กลับมาหรือเปล่า?”
“ไล่ทุบเขา จนกว่าเขาจะยอมตามมา” เหลียงชิวพูดอย่างเย็นชา
หวังเจิ้นตะลึงและยิ้มหลังจากนั้นไม่นาน เนื่องจากเขารู้สึกว่าเหลียงชิวสามารถทำอะไรอย่างนั้นได้
“ไปกันเถอะ, คราวนี้เราจะปล่อยให้เขาหลุดมือไปก่อน” เหลียงชิวหันไปโดยไม่ลังเล “ระหว่างงานประลองยุทธ เราจะมาดูกันว่าเขาก้าวหน้าหรือไม่”
หวังเจิ้นหันกลับไปมองถังเทียนเหมือนกับมีไฟลุกโชนในดวงตาเขา ก่อนที่จะหันกลับและตามเหลียงชิวหายลับตาไป
※※※※※※※※※※※※※
พอเมื่อเหลียงชิวและหวังเจิ้นหายไป ผู้เฒ่าเว่ยที่กำลังหลับอยู่บนเตียงก็ตื่นขึ้น เขาจ้องมองในตำแหน่งที่เหลียงชิวและหวังเจิ้นหายไป หน้าของเขาเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น ยากจะบอกได้ว่าเขามีความสุขหรือโกรธ แต่เขาคงคิดอะไรอยู่แน่นอน
เขาจับตามองดูสองคนที่กำลังสู้กัน มีแววตาผิดปกติฉายอยู่ในดวงตาเขา
แม้ว่าอาโมรี่จะควบคุมพลังของเขาได้อย่างต่อเนื่องและมิได้ใช้วิทยายุทธระดับสามเข้าสู้ และแม้ว่าถังเทียนจะเข้าสู่สภาวะคลุ้มคลั่ง แต่ผู้เฒ่าเว่ยกลับประหลาดใจที่ว่า อาโมรี่ยังถูกถังเทียนชิงมีเปรียบได้
ครั้งแรกที่ผู้เฒ่าเว่ยพบอาโมรี่เมื่อหลายปีมาแล้ว และอาโมรี่ก็คือคนที่มีศักยภาพสูงที่สุดที่เขาเคยเห็น สภาพร่างกายและความรอบรู้เกี่ยวกับวิทยายุทธของเขาทำให้คนอื่นตกใจ เขามีจิตใจบริสุทธิ์และไม่บ่นเมื่อเผชิญกับความยากลำบาก จากนั้นอาโมรี่ทั้งที่อายุน้อยขนาดนั้น ก็กลายเป็นหนึ่งในยอดฝีมือของสถาบันเหมิ่งโซ่ว
ผู้เฒ่าเว่ยเห็นอาโมรี่มีอนาคตใหม่ ขณะที่นักเรียนเหล่านั้นมีชื่อเสียงมากกว่าอาโมรี่มาก และเนื่องจากอาโมรี่ยังอายุน้อยและพวกเขาฝึกฝนมาเป็นเวลานานกว่าเขา
เปรียบเทียบกับพวกเขาแล้วศักยภาพของถังเทียนไม่เป็นรองเท่าใดนัก และจุดเด่นที่น่ายกย่องของถังเทียนก็คือเขามีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง
แต่ถังเทียนที่อยู่ต่อหน้าเขากลับมีภาพต่างจากเมื่อสองสามวันก่อนอย่างสิ้นเชิง
เขาลอบสังเกตดูอาโมรี่มาหลายปีแล้ว คุณสมบัติทางร่างกายของอาโมรี่นั้นยอดเยี่ยมขนาดไหน เขารู้เป็นอย่างดี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบคนที่มีสภาพร่างกายดีพอๆ กับอาโมรี่
และการ์ดวิญญาณวิชาหมัดประกายไฟก็เพิ่งส่งมอบให้ถังเทียนเมื่อไม่กี่วันนี้
ผู้เฒ่าเว่ยจับตามองดูพวกเขาด้วยความชื่นชม
สภาพร่างกายของทั้งสองคนคล้ายคลึงกัน และเมื่อมองทางด้านความเก่งกาจในวิชาต่อสู้ อาโมรี่คือผู้ชนะ ถังเทียนยังอยู่ในสภาวะคลุ้มคลั่ง และพลังของเขาเพิ่มขึ้นมากมาย ว่ากันตามเหตุผลทั่วไปทั้งสองฝ่ายเสมอกัน
แต่อาโมรี่กำลังถูกไล่ต้อนต่อหน้าต่อตาผู้เฒ่าเว่ย
วางก้ามนัก!
ผู้เฒ่าเว่ยนัยน์ตาเป็นประกาย ถังเทียนถูกพลังครอบงำในลักษณะที่ผิดปกติ เขาไล่ต้อนอาโมรี่เหมือนกับว่ากำลังสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายโดยไม่มีเหตุผลเลย เขาโจมตีใส่เหมือนพายุบุแคม แม้ว่าอาโมรี่จะได้แต่ตั้งรับแต่อันตรายก็มีอยู่รอบตัว
“คลุ้มคลั่ง...” ผู้เฒ่าเว่ยพึมพำกับตัวเอง
※※※※※※※※※※※
ยิ่งโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่า ความโกรธของถังเทียนก็ยิ่งลุกกระพือ ตาของเขากลายเป็นสีแดงเพลิง เขาเปล่งเสียงคำรามจากปาก จังหวะการจู่โจมจากหมัดทั้งสองเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อาโมรี่รู้สึกแต่ว่าแรงกดดันเพิ่มขึ้น เขากำลังเหน็ดเหนื่อยและหมัดสลายศูนย์กลางถูกกำราบลงอย่างต่อเนื่อง
เว้นแต่เขาต้องใช้วิทยายุทธระดับสามอย่างนั้นหรือ?
อาโมรี่กัดฟันอย่างเด็ดเดี่ยว ถ้าเขาต้องใช้วิทยายุทธระดับสามก็ไม่ต่างอะไรกับการยอมรับความพ่ายแพ้
ถึงตอนนี้เองมีกลิ่นหอมของหมูย่างลอยมาตามอากาศ
หือ?
ทั้งสองคนชะงัก
ถังเทียนสูดกลิ่นและท้องของเขาร้องจ๊อก นัยน์ตาที่แดงกวาดมองไปตรงตำแหน่งกลิ่นหอมลอยมา ความรู้สึกหิวครอบงำเขาและดึงดูดพลังงานออกไปหมด เบื้องหลังประตูดาวกางเขน เขาไม่รู้สึกหิว แต่สัญชาตญาณเดิมของกายหยาบของเขายังคงอยู่ เขาไม่ได้กินอะไรมาเป็นเวลาสิบวัน และถูกกลิ่นเนื้อย่างดึงดูดใจโดยมิได้ระวังตัว
ถังเทียนหันหน้าไปดู ไม่รู้ว่ามีกองไฟอยู่ด้านหลังเขาเมื่อไหร่และผู้เฒ่าเว่ยนั่งย่างเนื้ออยู่ที่นั่นอย่างสบายอารมณ์
พอสังเกตว่าถังเทียนกำลังมองเขา ผู้เฒ่าเว่ยก็ใช้มือขวากวักเรียกเขา “อ๊ะ.. พวกแกทั้งคู่สู้กันไปเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ”
โดยไม่ต้องพูดอะไรสักคำถังเทียนไม่สนใจอาโมรี่และร้องโหวกเหวกมาทางผู้เฒ่าเว่าย “ขอผมกินสักหน่อยเถอะ กำลังต้องการอยู่เลย”
อาโมรี่ยังยืนตะลึงมองดูอยู่ที่เดิม เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดรวดเร็วเกินไปเร็วจนเขางงไปหมด
ความสับสนในดวงตาของเขาหายไปอย่างรวดเร็ว
เขามองดูเงาร่างที่ผละออกไปส่วนตนเองกำหมัดชูตะโกนลั่น
ถังพื้นฐาน, ฉันยังไม่แพ้นาย!
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
ถังเทียนเพิ่งจะกินอิ่มอย่างเต็มคราบ หน้าของเขามีแววพึงพอใจขณะที่นั่งเอนตัวและลูบหน้าท้องเบาๆดูเหมือนพวกคนเมา “เยี่ยม, อาหารก็เยี่ยม,ปู่! ผมไม่อาจบอกได้ว่าฝีมือปรุงอาหารของปู่ไม่เลวเลยเรื่องดูแลปากท้องในอนาคต คงต้องฝากไว้กับปู่แล้ว”
สภาพอาโมรี่ไม่ได้ดีไปกว่าถังเทียนเลย ร่างกายที่ตัวใหญ่และตัวเป็นมันนอนโชว์แข้งขาจนเห็นขนหน้าแข้งรุงรัง เขาแคะฟันพลางพูด “ปู่! เคยเป็นพ่อครัวมาก่อนเหรอ?”
ท่าทีภูมิใจ ขณะที่ผู้เฒ่าเว่ยตอบ “พวกแกทั้งคู่ยังอายุน้อย ฉัน, ในฐานะรุ่นอาวุโสของสวรรค์วิถีต้องบอกเรื่องนี้ไว้กับพวกแกก่อนถ้าพวกแกทั้งคู่ตั้งใจจะไปสวรรค์วิถี อย่างนั้นพวกแกต้องเชี่ยวชาญในการทำครัวเสียก่อน”
“สวรรค์วิถีเหรอ?” ถังเทียนตะลึงและนั่งตัวตรงโดยไม่รู้ตัว
อาโมรี่ยังรักษาสีหน้าที่พอใจต่อไป เขานั่งตัวตรงแล้วถามว่า “ปู่! ปู่เคยไปสวรรค์วิถีด้วยเหรอ?”
“เหอะ เหอะ เมื่อฉันยังหนุ่ม ฉันเคยไปผจญภัยมาสองสามปีแล้ว” ผู้เฒ่าเว่ยพูดพลางหัวเราะ
ถังเทียนและอาโมรี่มีสีหน้าจริงจัง ดาวอู่อานคือดาวที่อยู่ในท้องฟ้าแม้ว่าชื่อเดิมจะมาจากมนุษย์ แต่หลังจากวิวัฒนาการหลายหมื่นปี ดาวอู่อานก็ล้าสมัยแล้ว
คนที่สามารถก้าวเข้าสู่สวรรค์วิถีย่อมไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน “นี่,ปู่ สวรรค์วิถีเหมือนกับอะไรกันแน่?” ถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น