ตอนที่ 11 การฝึกหนักและตระกูลโจว
เมื่อเวลาผ่านไป เสียงตวาดของถังเทียนจากเสียงสูงก็ลดลงเป็นเสียงต่ำจากนั้นก็ตะโกนทั้งที่เสียงแหบแห้ง
มีแต่เสียงหมัดแหวกอากาศที่ไม่เคยหยุด
ต่อย, ต่อย, ต่อย....
เพราะวิชาวิทยายุทธระดับต่ำ พลังของร่างกายเป็นพื้นฐานสำหรับทุกอย่าง เป็นเวลาห้าปีห้าปีที่เขาฝึกอย่างหนักตลอดทุกๆ วัน จำนวนการฝึกฝนที่เขาทำได้มากกว่าที่ทุกคนจะนึกภาพออกและนี่คือความอดทนที่น่าทึ่งของเขา
ความแข็งแรงของเขา แสดงออกทางการฝึกฝนมากมายอย่างน่าทึ่ง
การฝึกฝนอย่างเข้มข้นเป็นบ้าเป็นหลังนี้ แม้แต่พวกที่มีร่างกายแข็งแรงพอๆกับถังเทียนมาลองฝึกอย่างนี้เป็นครั้งแรก คงไม่สามารถทนได้อย่างแน่นอน
หลังจากเรี่ยวแรงอึดสุดท้ายถูกใช้หมด ถังเทียนทรุดลงกับพื้น นอนราบกับพื้นที่มีสภาพเหมือนบ่อโคลน
การฝึกฝนอย่างหนักเป็นเรื่องบ้าเกินไป ต่อให้มีพลังแท้จริงซ่อมแซมร่างกายได้ตลอดเวลา แม้ว่าความหิวจะไม่มีอยู่ในพื้นที่มหัศจรรย์ แต่การนั่งโคจรลมปราณก็ทำได้เหมือนกันอย่างน่าประหลาดใจ
พลังงานของเขาเหือดแห้งลงไปเรื่อยๆ จนไม่มีอะไรเหลือ จากนั้นเขาก็เริ่มบ่มเพาะพลังปราณลับและเมื่อเรี่ยวแรงฟื้นฟูแล้วเขาจะมุมานะฝึกรอบใหม่ ด้วยวิธีนี้ถังเทียนไม่เคยสูญเสียเวลาเปล่าไปแม้แต่น้อย
แต่เมื่อเวลาผ่านไป การฝึกอย่างตั้งใจสูงขนาดนี้ กลับสร้างภาระให้กับร่างกายมากขึ้น ความเหนื่อยล้ายากจะฟื้นตัวการบ่มเพาะพลังใช้เวลามาก และความเจ็บปวดจากการฝึกก็ใช้เวลาเยียวยาที่เพิ่มมากขึ้นทุกที
นอกจากนี้ยังใช้เวลาทำสมาธินานขึ้น สภาพใจของเขาเหนื่อยล้าและแทบขาดสติ ถังเทียนรู้สึกเหมือนศีรษะจะแตกออกจากอาการปวดเมื่อย
ความเย็นของพื้นหินดำถ่ายเทมาที่แก้มของเขาและปลุกให้เขาได้สติขึ้นมาบ้าง อย่างไรก็ตามเขาไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะขยับปลายนิ้ว เหมือนกับร่างกายของเขาไม่มี
เวลานี้ เขาควรจะฝึกฝนจิต แต่ไม่ว่าจะพยายามหนักเพียงไหน เขาก็ไม่สามารถลุกขึ้นนั่งได้
ความเมื่อยล้าโถมเข้าหาเป็นระลอกเหมือนคลื่นทะเลทำให้หนังตาของเขาหนักอึ้งขึ้นทุกที
หลับ, แค่หลับตรงนี้, หลับเดี๋ยวนี้ เป็นวิธีที่น่าพอใจ...
เสียงที่น่าพึงใจเสียงหนึ่งดังออกมาจากส่วนลึกในสมองของเขาทันทีเต็มไปด้วยการเชิญชวน
หลับเสียเถิด เจ้าทำมาได้ดีแล้ว หลับเสียชั่วครู่เถอะ เจ้าต้องการทำ
เหมือนกับว่าสมองของเขาซ่อนปีศาจไว้ภายใน ยังคงชักชวนเขาต่อเนื่อง
ถังเทียนมุ่งมั่นพยายามลืมตา ต้องการจะลุกขึ้น แต่ร่างกายของเขาทั้งตัวยังอ่อนแอมากและไม่สามารถขยับได้แม้แต่นิ้วเดียว
“ไม่! ฉันไม่ต้องการหลับ! ฉันต้องการฝึกต่อ”ถังเทียนตะโกนก้องในใจ ทั้งกับตนเองและปีศาจในใจของเขา
“แกไม่เหลือเรี่ยวแรงไว้ฝึกฝนแล้วหลับเถอะ หลังจากแกหลับแล้วค่อยฝึกต่อ แกทำดีที่สุดแล้ว แกฝึกมาพอแล้ว อย่าฝืนตนเอง ทำไมถึงทำร้ายตัวเองอย่างนั้น? นอนสักครู่เถอะ มันน่าพึงพอใจและเย้ายวนนะ...”
“ไม่! ฉันต้องการฝึก! ฉันต้องการฝึก! ฉันแค่ต้องการฝึก!”
ถังเทียนเป็นคนที่ระเบิดอารมณ์ได้ง่ายและขณะที่ความโกรธในตัวเขาร้อนแรงเหมือนลาวา ทั่วทั้งร่างของเขาจะปลดปล่อยพลังงาน
ความโกรธของเขานำมาซึ่งความดื้อรั้นและไม่พอใจอยู่ลึกๆ
เขาเป็นเหมือนราชสีห์ที่โดนยั่วแหย่ ร่างของเขาสั่นจนควบคุมไม่ได้ แต่นัยน์ตาของเขาเป็นเปลวลุกโชนเหมือนกับทะเลเพลิง
เขาลืมตาที่กระหายเลือดของเขาจ้องดูเงาสะท้อนบนพื้นน้ำแข็งเย็นคำรามด้วยเสียงแหบแห้งลอดไรฟันและค่อยๆเค้นเสียงออกมา
“ในฐานะชาวสวรรค์ แกจะยอมรับความพ่ายแพ้ได้อย่างไร?
“ฉันต้องการไปหมู่ดาวเพอร์ซูส ฉันต้องการพบเชียนฮุ่ย เราจะไปตามวิถีสวรรค์ด้วยกัน”
“แกสัญญาไว้แล้ว แล้วแกจะยกเลิกตอนนี้ได้อย่างไร?”
“ถังเทียน...”
“อย่ายอมแพ้..”
“อย่ายอมแพ้!”
พอคำรามด้วยความโกรธ กระแสพลังไม่รู้ว่ามาจากไหน ถังเทียนค่อยๆ พยุงตัวลืมตาที่ดูดุร้ายมากมีเส้นเลือดปูดโปนบนหน้าผากของเขา
ร่างเขาสั่นอย่างต่อเนื่อง แต่เขายังคงลุกนั่งช้าๆ
เหงื่อจากตัวเขาหยดลงเป็นสายเกาะพื้นผิวจนสะท้อนเงาของเขา
แกต้องไม่ยอมแพ้... ถังเทียน... แกยังตามหลังคนอื่นอีกมากนัก
วันที่สิบ
สติของถังเทียนไม่ค่อยเต็มที่นัก และเขาไม่สามารถเห็นตัวเลขสีแดงหรือเวลาได้ ขณะนี้เองเขาฝืนอยู่ได้ด้วยสัญชาตญาณหมัดของเขาปล่อยออกไปทันที
ตัวเลขสีแดงวิ่งขึ้นรวดเร็วราวกับสายฟ้า
ถังเทียนสามารถได้ยินเสียงหัวใจของเขาเต้น และลมหายใจของเขาหนักหน่วงรุนแรง
มีอะไรอีกมากที่เราต้องทำ... เราจะยอมละทิ้งเรื่องเหล่านั้นได้อย่างไร...
อดทนอีกสักพัก.... เราแค่ต้องอดทนต่ออีกสักพัก
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ในห้วงภวังค์ของเขาถังเทียนรู้สึกแต่ว่าโลกหมุน เขาผ่อนคลายจิตใจขณะที่ค่อยๆ ยิ้มเต็มใบหน้าที่อ่อนเพลีย
ฮ้า...เราชนะ
นี่คือประโยคสุดท้ายที่เขาสามารถจำได้
ด้านหลังประตูแสง ที่ซึ่งไม่มีชีวิต มีแถวตัวเลขสีแดง
30,000!
※※※※※※※※※※※※※※※※※※
ที่ห้องโถงใหญ่ตระกูลโจวผู้อาวุโสหลายคนของตระกูลมาถึง
“เรื่องนี้มีส่งผลต่อภาพลักษณ์ตระกูลโจวของเราในทางลบมาก” คนพูดเป็นชายชรามีผมและหนวดขาว แม้ว่าเขาจะแก่ แต่เขาถือไม้เท้าหัวมังกรมีดวงตาชัดใส ไม่มีความโกรธอยู่ในดวงตา แต่ก็ยังให้ความรู้สึกถึงพลัง เขาคือผู้อาวุโสของตระกูลโจวผู้ทรงเกียรติและมีชื่อเสียงที่สุดของตระกูลโจวและแม้แต่ประมุขของตระกูลโจว ก็ยังให้ความสำคัญเขาในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูล
การประชุมของตระกูลครั้งนี้จัดขึ้นโดยตัวผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลเอง
“ตระกูลโจวของเราผงาดอยู่ในโลกนักสู้มานาน 400 ปีแล้ว บรรพบุรุษของเราก่อตั้งสมบัติครอบครัวและมันไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้เยาว์รุ่นหลังของเราไม่เพียงแต่พวกเจ้าไม่ปกป้องสมบัติตระกูลเท่านั้น แต่แกกลับปล่อยให้บรรพบุรุษของเราถูกหยามอัปยศ สองสามวันมานี้ ฉันนอนตาหลับได้ยากนัก”
น้ำเสียงของผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลจริงจังและน่านับถือนักไม่มีใครในห้องโถงใหญ่กล้าส่งเสียง
ประมุขตระกูลดูเหมือนกับว่านั่งอยู่บนเข็มหรือตะปูเหงื่อไหลพร่างพรูไม่หยุด ถ้าผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลคัดค้าน ตำแหน่งประมุขตระกูลของเขาจะไม่มั่นคงทันที จากน้ำเสียงพูดของผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูล ถ้าเขาเตรียมปลดตำแหน่งประมุขตระกูลจากเขาผู้อาวุโสของตระกูลครึ่งหนึ่งคงปฏิบัติตามแน่นอน
“เป็นความผิดของผมคนเดียว! ผมไม่เข้มงวดกวดขันให้พอ...” ประมุขตระกูลโจวตำหนิตัวเอง
ผู้อาวุโสสูงสุดแค่นเสียงเย็นชาโดยไม่มองเขา“แกบอกว่าเข้มงวดกวดขันไม่พอ ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าบุตรของประมุขตระกูลโจวเกือบถูกนักเรียนสวะฆ่าตาย! ถ้าตาแก่ไม้ใกล้ฝั่งอย่างฉันยังจำได้ไม่ผิด โจวเผิงคือว่าที่ประมุขตระกูลรุ่นต่อไปใช่หรือไม่?”
ประมุขตระกูลโจวหลั่งเหงื่อพร่างพรูทันที หน้าของเขาดูเหมือนคนกำลังจะตาย
เรื่องนี้สร้างผลกระทบเป็นวงกว้าง ทั่วทั้งเมืองซิงฟงรู้ว่าโจวเผิงต้องเสียหน้าพ่ายแพ้ให้กับสุดยอดนักเรียนซ้ำชั้น นับว่าเป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้าเป็นอย่างมาก
ความจริง พอเวลาผ่านมาหลายวัน เขาได้ยินข่าวลือกระจายไปทั่วแล้วถึงเกิดวิตกกังวล แต่เขานึกไม่ถึงว่าเรื่องที่เขากังวลจะกลายเป็นจริง
เขาได้แต่ตอบเบาๆ ว่า “เผิงเอ๋อยังเด็กและยังไม่ประสีประสา เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เขาจะทำตัวใจร้อน อย่างไรก็ตาม พื้นฐานและสภาพร่างกายของเขาก็ดีมากจริงๆ”
“อย่างงั้นเหรอ?” สีหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดเคร่งเครียด“เนื่องจากร่างกายของเขาดี อย่างนั้นทองแท้ก็เลยไม่กลัวไฟเลยสินะ ในช่วงเวลาหนึ่งเดือน เขาจะต้องรับมือเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว บุตรของเจ้าเป็นคนทำเสียชื่อเสียง ดังนั้นเขาจะต้องกู้ชื่อกลับคืนมาให้ได้ ในฐานะทายาทตระกูลถ้าเขาไม่ตระหนักในเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ แล้วเขาจะรับสืบทอดตระกูลได้อย่างไร ใครจะเป็นประมุขตระกูลคนต่อไปย่อมไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญก็คือ สถานะของประมุขตระกูลโจวของเราจะไม่มีทางส่งมอบให้เศษสวะที่ไร้ประโยชน์อย่างเด็ดขาด!”
น้ำเสียงของผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลเยือกเย็นและก้องกังวานขณะตะโกนบอก
“ถูกแล้ว!”
“เขาต้องใช้กำลังของตนเองพูด”
“ผู้อาวุโสสูงสุดพูดถูก!”
กลุ่มผู้อาวุโสของตระกูลเริ่มเห็นพ้องต้องกันทีละคน
ประมุขตระกูลโจวรู้ว่าช่วงเวลานี้เขาอึดอัดแทบตาย เขากัดฟันแน่นแล้วกล่าวว่า “ผู้อาวุโสสูงสุดพูดถูก ถ้าเขาไร้ประโยชน์ ผมจะถือว่าเขาไม่ใช่บุตรชายผม”
สีหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดค่อยๆ ผ่อนคลาย“พวกแกทุกคนทุ่มเททำงานหนักในช่วงไม่กี่ปีมานี้ เราก็เห็นอยู่ แต่ไม่ว่าที่ไหน หรือเมื่อไหร่ก็ตาม พวกแกต้องจำข้อนี้ไว้ ชื่อเสียงตระกูลโจวจะถูกละเลยไม่ได้! แกยังอายุไม่มากและยังสามารถสนับสนุนลูกๆได้อีก 2-3 คนเพื่อความเจริญของตระกูลเรา”
“”ขอรับ!” ประมุขตระกูลโจวคำนับและตอบรับ
※※※※※※※※※※※※※※※※※
หัวหน้าตระกูลโจวเฝ้ามองอย่างไม่สบายใจขณะที่โจวเผิงรีบเดินเข้าไปในบ้านอย่างอารมณ์ดี
“พ่อ! ในที่สุดฉันก็พบว่าเจ้าถังเทียนไปเรียนที่ไหน! มันไปเข้าสถาบันคาราเมล, ฮ่าฮ่า โรงเรียนสวะอันดับสามจากบ๊วย!” โจวเผิงร่ำร้องอย่างอารมณ์ดี “ฉันตรวจสอบเป็นเวลานานอย่างมั่นใจแล้ว ฉันคงจะไม่พบอะไรแน่ ถ้าไม่ใช่เพราะอาโมรี่ก็ย้ายโรงเรียนด้วย ฉันก็คงไม่พบอะไร”
เมื่อถังเทียนทุบตีเขาที่หน้าประตูใหญ่โรงเรียนในตอนนั้น แม้ว่าบิดาของโจวเผิงจะไล่ถังเทียนออกจากสถาบันแอนดรูว์ไปแล้ว แต่โจวเผิงก็ยังไม่เลิกล้มความคิดล้างแค้น
ตั้งแต่เล็ก เขาไม่เคยเสียหน้าต่อหน้าคนหลายคนมาก่อน จึงเป็นเรื่องน่าขายหน้ามาก!
ถังเทียน!
พอนึกถึงวันที่ถังเทียนคว้าคอของเขา ดวงตาที่หยิ่งและก้าวร้าวแล้วโจวเผิงกำหมัดโดยมิได้ตั้งใจ
ถังเทียน อีกไม่นานแกจะได้รู้ฤทธิ์ฉัน
“เผิงเอ๋อ! เรื่องนี้แหละที่พ่อต้องการพูดกับแก” หัวหน้าตระกูลโจวพูดเบาๆ
จากนั้นโจวเผิงสังเกตเห็นว่าสีหน้าของบิดาเขาประหลาดจึงถามด้วยความสงสัย “เกิดอะไรขึ้น?”
“เรื่องถังเทียน, ฉันต้องการให้แกจัดการด้วยตัวเอง”
“อย่างนั้นก็ดีน่ะสิ! ฉันยังไม่ได้ใช้การ์ดวิญญาณวิชาพลองมังกรทองที่อาพานให้ฉันไว้ก่อน การ์ดวิญญาณชั้นเงินวิชาระดับสาม ฉันจะต้องเล่นงานไอ้ถังเทียนเหมือนอย่างสุนัขให้ได้” โจวเผิงส่งเสียงตื่นเต้นทันที
“ไม่!” หัวหน้าตระกูลสั่นศีรษะ “ผู้อาวุโสสูงสุดบอกว่า แกจะต้องรับมือด้วยตนเองและแกไม่อาจขอความช่วยเหลือคนอื่นได้”
โจวเผิงสีหน้าเยือกเย็นด้วยความพอใจ “ผู้อาวุโสสูงสุดโง่หรือเปล่า?”
“เหลวไหล!” สีหน้าของหัวหน้าตระกูลโจวเข้มงวด“ดูเหมือนว่าตลอดหลายปีมานี้ ฉันไม่ได้เข้มงวดกวดขันแกอย่างเพียงพอ! ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปแกจะต้องฝึกฝนกับโจวมู่!”
จากนั้นโจวเผิงสังเกตได้ว่าบิดาผู้ยืนอยู่ใกล้ๆแทบจะไม่มีอารมณ์ความรู้สึกของบิดาเลย
โจวมู่คือองครักษ์คนหนึ่งของบิดาเขาปกติจะช้าแต่สุขุม เงียบและไม่สุงสิงกับใคร อย่างไรก็ตาม เขามีพลังเต็มเปี่ยมเป็นพลังที่มองไม่เป็น สิ่งที่โจวเผิงกลัวมากก็คือโจวมู่มิได้พูดตามความรู้สึก ตราบใดที่บิดาของเขาสั่งให้เขาทำงาน เขาก็จะทำให้สำเร็จได้อย่างแน่นอน
“โจวมู่! ฝากเผิงเอ๋อให้กับคุณด้วย ฉันไม่สนว่าคุณจะใช้วิธีใด แต่ภายในหนึ่งเดือน ฉันต้องการให้เขาใช้วิทยายุทธระดับสามได้” ประมุขตระกูลโจวพูดเสียงเย็นชา “ไม่ว่าต้องจ่ายมากแค่ไหนก็ตามคุณรับไปได้เลย”
“ครับ” โจวมู่ตอบอย่างเฉยชา
โจวเผิงแทบลมจับ คร่ำครวญอย่างเจ็บปวด “พ่อ,ฉันไม่เอาด้วยหรอกนะ...”
เขาตะโกนอย่างเจ็บช้ำแต่ก็เงียบหายไปทันที เนื่องจากโจวมู่ซัดเขาจนสลบ จากนั้นแบกเขาออกไป
ประมุขตระกูลโจวมีนัยน์เป็นประกายคลุ้มคลั่งแต่ยังอดกลั้นได้เป็นอย่างดี
ถังเทียน!
แววตาประมุขตระกูลโจวดูเยือกเย็น สาเหตุของหายนะนี้ก็คือบุรุษคนหนั้นถ้าไม่ใช่เพราะผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลกำชับว่าต้องให้เผิงเอ๋อรับมือถังเทียนด้วยตนเอง เพื่อให้เรื่องเงียบหาย เขาคงจ้างคนไปฆ่าถังเทียนแล้ว
เราแค่ยอมให้เจ้าเด็กนี่มีชีวิตได้อีก2-3 วัน
เมื่อเผิงเอ๋อได้รับการตัดสินแล้วเราจะจ้างคนไปฆ่าเจ้าเด็กนี่เงียบๆ
ฮึ, ทุกๆ ปีมีคน 2-3คนสาบสูญไปจากเมืองซิงฟง ใครจะสนใจกันเล่า?
ใบหน้าของประมุขตระกูลโจวปกคลุมไปด้วยรังสีฆ่าฟัน