ตอนที่ 1-13 ตั้งเป้าไขว่คว้าพลัง (2)
เวลาอาหารค่ำสมาชิกตระกูลบาลุคทั้งสามคนและแอชลี่ย์พ่อบ้านของพวกเขาจะกินอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากัน วอร์ตันตัวน้อยจะลุกขึ้นส่งเสียงดังน่ารักหัวเราะร่าเริงอยู่ที่โต๊ะทานอาหารพอทานอาหารค่ำเสร็จ พ่อบ้านผู้รับใช้ชราก็นำวอร์ตันกลับไปที่ห้อง ขณะที่ลินลี่ย์กับฮ็อกบิดาของเขาเริ่มสนทนากัน
“จริงสิ, ท่านพ่อ, ระหว่างจอมเวทกับนักรบ ผู้ใดแข็งแกร่งกว่ากัน?” ลินลี่ย์สงสัย
ฮ็อกจ้องลินลี่ย์ แล้วหัวเราะเบาๆ ส่ายหน้ากล่าวว่า “ลินลี่ย์! จอมเวทกับนักรบต่างก็มีความแข็งแกร่งของตนเอง ในระดับที่เท่ากันบางทีจอมเวทอาจดูแข็งแกร่งกว่านักรบอยู่บ้าง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือสถานะของจอมเวทจะสูงส่งกว่านักรบในระดับที่เท่ากันมากนัก ตัวอย่างเช่นจอมเวทสองสายธาตุผู้นั้นอยู่ในระดับแปด กติกาสถานะในสังคมบางทียังเหนือกว่านักรบระดับเก้าเล็กน้อย”
“ถ้าพวกเขามีพลังต่างกันเล็กน้อย ทำไมถึงมีสถานะต่างกันใหญ่หลวงขนาดนั้น?” ลินลี่ย์สงสัย
ฮ็อกหัวเราะ “ก่อนจะอธิบายเรื่องนี้ ลูกควรจะเข้าใจระบบจัดระดับของจอมเวทเสียก่อน มีอยู่ถึงเก้าระดับ นักเวทระดับแรกและระดับสองถือเป็นนักเวทชั้นต้น นักเวทระดับสามและสี่เป็นนักเวทชั้นกลาง ระดับห้าและหกถือเป็นนักเวทระดับสูง สามระดับเหนือจากนั้น ระดับเจ็ด, แปด,เก้าล่ะ? จอมเวทพวกนี้จะทรงพลังน่ากลัวมาก และแน่นอนว่าที่เหนือกว่านักเวทระดับเก้าก็คือนักเวทระดับเซียน”
“เหตุผลที่นักเวทมีสถานะในสังคมก็เป็นเพราะเวทที่มีศักยภาพในการทำลายล้างของพวกเขามีอยู่มาก” ฮ็อกหยิบแก้วน้ำผลไม้มาถือและจิบน้ำหลังจากพูด
“ศักยภาพในการทำลายล้าง?” ลินลี่ย์มองบิดาของเขา
พอวางแก้วน้ำผลไม้แล้ว ฮ็อกพยักหน้า “นักรบคนหนึ่ง ต่อให้เป็นนักรบเลือดมังกรก็ตามสามารถฆ่าคนได้มากสุดร้อยคนในการตวัดดาบคราวเดียว เมื่อเผชิญหน้ากับกองทหารเป็นล้าน อย่างมากก็ฆ่าหัวหน้าพวกเขาได้ แต่เมื่อผู้นำคนหนึ่งของพวกเขาตาย เขาก็สามารถหาคนอื่นแทนที่ได้ แต่เซียนจอมเวทเล่า? ถ้าเขาเลือกใช้เวทต้องห้ามเขาสามารถกวาดเมืองได้ทั้งเมือง ทำลายทหารได้ทั้งกองทัพ พอทหารถูกทำลายทั้งกองทัพ ต่อให้หัวหน้ารอดตาย ยังจะใช้การอะไรได้อีก? ฉะนั้นจอมเวทชั้นเซียนของอาณาจักรจึงน่ากลัวกว่าทหารทั้งกองทัพ”
ลินลี่ย์เข้าใจทันที
“ตอนนี้อย่าเพิ่งพูดถึงจอมเวทชั้นเซียนเลย แม้ว่าจะเป็นจอมเวทระดับแปดหรือระดับเก้าก็สามารถใช้เวทที่มีพลังน่าทึ่งได้และสามารถเปลี่ยนแปลงผลการต่อสู้ได้ นี่คือสาเหตุให้จอมเวทดำรงอยู่ในสังคมระดับสูงได้” ฮ็อกพูดพลางหัวเราะเบาๆ
ลินลี่ย์พยักหน้าเงียบงัน
ในสงครามแย่งชิงดินแดนในทวีปยูลาน ใครก็สามารถจินตนาการได้ว่าจอมเวทมีความสำคัญต่อราชอาณาจักรขนาดไหน
“ใช่แล้ว ท่านพ่อ ข้าเคยอ่านตำราเล่มหนึ่ง เทียบกับนักรบคนหนึ่งแล้วกำลังทางกายภาพของจอมเวทอ่อนแอมาก แต่ตอนนั้นข้าเห็นจอมเวทคนนั้นโดดลงมาจากหลังของมังกรลมกรด เป็นไปได้ยังไงที่ร่างกายเขาจะอ่อนแอ?”ลินลี่ย์คาดคั้นต่อ
ฮ็อกตอบ “เราค่อยคุยปัญหานี้ทีหลัง ลินลี่ย์! ลูกควรจะรู้ว่าในทวีปยูลานอายุขัยคนทั่วไปประมาณ 120 - 130 ปี จอมเวทและนักรบผู้พลังสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานปกติก็ 200 - 300 ปี ขึ้นไป หรือบางครั้ง 400 ปี ก็มี จำกัดสูงสุดก็มีอายุขัยถึง 500 ปี มีแต่ผู้ที่มีพลังในตำนานระดับเซียน ถึงจะอยู่ได้ชั่วนิรันดร์ไม่มีขีดจำกัดเรื่องเวลา
ลินลี่ย์ผงกศีรษะ
เขาก็ได้อ่านในหนังสือของเขาเช่นกัน
“แต่ว่าลินลี่ย์,ลูกรู้เหตุผลที่นักรบและจอมเวทผู้ทรงพลังจะมีอายุขัยยืนยาวไหม?” ฮ็อกยังคงถามต่อ
ลินลี่ย์สะดุ้ง
ลินลี่ย์มักคิดเสมอว่าความจริงนักรบและจอมเวทที่ทรงพลังอาจมีชีวิตได้ถึง 300 หรือ 400 ปี เขาไม่เคยคิดถึงเหตุผล
พอดูสีหน้าของลินลี่ย์แล้ว ฮ็อกหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ “ลินลี่ย์,ก่อนอื่นพ่อต้องขอบอกลูกไว้ก่อนเลยว่าในโลกนี้ มีพลังธาตุคงอยู่ ธาตุไฟ, ธาตุน้ำ, ธาตุลม, ธาตุดิน, ธาตุสายฟ้า ธาตุแสงและธาตุมืด นักรบและจอมเวททั้งสองนั้นจะดูดซับธาตุเหล่านี้จากธรรมชาติ ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกฝน การร่ายเวทและพลังลมปราณทั้งสองอย่างจะเป็นเชื้อเพลิงและถูกกำหนดโดยธาตุเฉพาะ ถ้าลูกสังเกตดีๆลูกจะสังเกตเห็นได้ว่ากลุ่มนักผจญภัยที่ลูกได้พบเห็นมาในวันนี้ ทั้งสี่คนหัวหน้าที่มีผมสีแดงมีพลังธาตุไฟและมีปราณยุทธ ส่วนอีกสามคนเป็นพลังธาตุลมและปราณยุทธ หรือไม่ก็ธาตุน้ำกับปราณยุทธ แล้วก็เช่นเดียวกับปราณยุทธ พลังเวทของจอมเวทก็ยังแบ่งเป็นตามธาตุ
นี่เป็นครั้งแรกที่ลินลี่ย์ได้ยินได้ฟังเรื่องเช่นนี้ ตอนนี้เขาได้เรียนรู้แล้วว่าทั้งจอมเวทและนักรบทั้งสองอาศัยการดูดซับพลังธรรมชาติจากสายธาตุตนเอง
“สาเหตุที่ทำให้จอมเวทผู้ทรงพลังสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานเพราะเมื่อจอมเวทซึมซับพลังธาตุธรรมชาติเข้าสู่ร่างของตนและสร้างพลังเวทที่บริสุทธิ์ เมื่อพลังงานธาตุโคจรทั่วตัวของพวกเขา มันจะปรับแต่งจุดต่างๆ ในร่างและเลือดเนื้อโดยธรรมชาติทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ พอมีร่างกายที่แข็งแรงขึ้น พวกเขาก็มีชีวิตยาวนานขึ้นเป็นธรรมดา โดยแนวคิดเดียวกันนี้ เมื่อนักรบฝึกฝนปราณยุทธ พวกพวกเขาจะดูดซับพลังธรรมชาติมาโคจรผ่านร่างกายเขาและเสริมพลังให้เข้มแข็ง นักรบที่มีพลังมากร่างกายของเขาก็จะแข็งแกร่งขึ้น โดยปกติเขาจะมีชีวิตยืนยาว” ฮ็อกอธิบายรายละเอียดทุกอย่าง
ลินลี่ย์รู้สึกเหมือนเข้าใจทุกอย่างกระจ่างชัด
จากที่บิดาของเขาพูด ร่างของจอมเวทได้รับการเสริมพลังโดยพลังธาตุและจะแข็งแกร่างมากตามธรรมชาติแน่นอน
“แต่ว่าท่านพ่อ, ทำไมคนถึงชอบบอกว่าจอมเวทอ่อนแอเล่า?” ลินลี่ย์สับสน
ฮ็อกส่ายศีรษะ “ลูกไม่ลองคิดด้วยตัวเองบ้างเล่า? จอมเวทมีร่างกายที่อ่อนแอเมื่อเทียบกับนักรบในระดับเท่ากันและก็เอาแน่นอนไม่ได้ ตัวอย่างเช่นจอมเวทระดับแปดอาจมีความแข็งแรงทางกายภาพเท่ากับนักรบระดับสองหรือสาม แม้ว่าเขาจะไม่เคยฝึกทางกายภาพเลย แต่แน่นอนว่า เทียบกับนักรบระดับแปดแล้ว ร่างกายของเขาอ่อนแอกว่ามากแน่นอน”
ลินลี่ย์ตบศีรษะตนเอง จากนั้นหัวเราะแบบอายๆ
ทำไมเขาไม่ตระหนักแนวคิดง่ายๆ แบบนี้? ความคิดของเขาทื่อจนเกินไป
“ถึงแม้จะมีความจริงที่ว่าจอมเวทเสี่ยงต่อการสู้ในระยะประชิด แต่พวกเขามีวิธีการของตนเองเพื่อทดแทนส่วนที่ขาดแคลน วิธีหนึ่งก็คือใช้คาถาโล่ป้องกันวิเศษ อย่างเช่น คาถาโล่ดินโล่น้ำแข็ง โล่สายลมหรือโล่แสง ก่อนอื่นพวกเขาจะใช้เวทของเขาป้องกัน จากนั้นก็จะใช้เวทโจมตีโต้ตอบ
“แล้วจอมเวทผู้ทรงพลังที่แท้จริงยังจะมีวิธีการอย่างอื่น คือการใช้สัตว์เวท!”
พอได้ยินคำพูดเช่นนี้ ลินลี่ย์นัยน์ตาเป็นประกาย
ลินลี่ย์ต้องการมีสัตว์เวทเป็นของตนเอง เช่นมังกรลมกรดที่ทรงพลัง
“สัตว์เวทที่ทรงพลังสามารถปกป้องร่างของจอมเวทได้ป้องกันศัตรูมิให้เข้ามาใกล้ วิธีอย่างนี้จอมเวทจะสามารถร่ายคาถาโจมตีของเขาเพื่อสังหารศัตรูของเขา” ฮ็อกยิ้มขณะพูด
ลินลี่ย์ถามทันที “ท่านพ่อ, คนๆ หนึ่งจะมีสัตว์เวทมาช่วยงานได้ยังไง?”
พอเห็นสีหน้าของลินลี่ย์ ฮ็อกหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ “มีอยู่เพียงสองวิธีที่จะได้รับสัตว์เวทมาช่วยคือทางแรกทำให้อสูรเวทยอมรับใช้เจ้าด้วยตัวเองอย่างเต็มใจ วิธีที่สองใช้พลังเวททำสัญญากับอสูรเวทให้ยอมรับใช้”
“ความต้องการสำหรับข้อต้นนั้นยากมาก สำหรับอสูรเวทที่ยินดีรับใช้เจ้าด้วยตนเอง บางทีมีวิธีเดียวก็คือเอาชนะอสูรเวทด้วยการต่อสู้โดยตรง จากนั้นมันถึงจะยินยอมติดตามลูก ตัวอย่างเช่นถ้าลูกต้องการควบคุมมังกรลมกรด ลูกจะต้องต่อสู้เอาชนะมังกรลมกรดให้ได้เสียก่อน” คำพูดของบิดาทำให้ลินลี่ย์พูดไม่ออก
เขาต้องการมังกรลมกรดตัวหนึ่งเป็นของตนเอง แต่จะเป็นไปได้ยังไงที่เขาจะมีพลังเอาชนะมันได้?
“สำหรับวิธีที่สอง มันซับซ้อนมากในการเตรียมทำสัญญาผูดมัดกับอสูรเวท มีเพียงจอมเวทระดับเจ็ดเป็นอย่างน้อย ถึงจะทำสัญญาเช่นนั้นได้” ฮ็อกพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ลินลี่ย์ตะลึกง “ท่านพ่อ, ถ้าเป็นอย่างที่พ่อพูดก็มีเพียงจอมเวทระดับเจ็ดหรือสูงกว่านั้นถึงจะทำสัญญากับอสูรเวทได้อย่างนั้นหรือ?”
“ไม่, ไม่จำเป็น ถ้าเจ้ามีเงินมากพอ เจ้าสามารถซื้อม้วนเวททำสัญญาผูกพันได้ เมื่อเวลามาถึง ทั้งหมดที่เจ้าต้องทำก็คือฉีกมันออก และสัญญาเวทรับใช้ก็จะทำงานของมันเอง อย่างไรก็ตาม ม้วนเวทสัญญาแพงอย่างมาก” ฮ็อกพูดพลางหัวเราะอย่างจนใจ
“มันแพงขนาดไหน?” ลินลี่ย์คาดคั้นต่อ
“ล่าสุดที่พ่อได้ยินมา ราคาประมาณหมื่นเหรียญทอง และสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า ต่อให้ลูกมีเงิน แต่ก็แทบไม่มีตลาดจะหาซื้อได้ เนื่องจากมันหายาก”คำพูดของฮ็อกทำให้ลินลี่ย์หัวเราะอย่างจนใจ
ส่วนที่ยากที่สุดเพื่อให้ได้อสูรเวทมาช่วยงานก็คือ เอาชนะมัน
แน่นอน ท่านอาจจะได้รับอสูรเวทที่อ่อนแอมาช่วยงาน แต่มันจะมีประโยชน์อะไร? แต่สำหรับอสูรเวทที่ทรงพลังท่านมีพลังมากพอจะปราบปรามมันลงได้หรือไม่? ถ้าท่านเอาชนะมันได้โดยใช้กับดักหรือกลลวง อสูรเวทจะยินดีรับใช้ท่านได้อย่างไร?
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะโน้มน้าวให้ใครๆ ยอมรับใช้ท่านด้วยตัวเองได้
ขณะที่วิธีที่สองใช้คาถาเวทผูกมัดก็เห็นได้ชัดว่าเงื่อนไขนี้มีเพียงจอมเวทที่ทรงพลังเท่านั้นหรือคนที่มั่งคั่งเท่านั้นถึงจะทำได้ แม้แต่ตระกูลขุนนางก็ยังไม่ยินดีจะใช้เงินถึงหมื่นเหรียญทองเพื่อซื้อม้วนเวททำสัญญาแค่ม้วนเดียว
ลินลี่ย์เม้มปาก ขมวดคิ้วใช้ความคิด
“ถ้าข้าต้องการได้อสูรเวทไว้ช่วยงานจริงๆ ก็ต้องขึ้นอยู่กับสถานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวอย่างนั้นข้าต้องกลายเป็นจอมเวทระดับเจ็ดก่อน นั่นเป็นวิธีเดียว” ลินลี่ย์แอบไตร่ตรองถึงความเป็นไปได้ทั้งหมด แต่เขารู้ดีว่าเรื่องเช่นนี้ยากเพียงไร
และอุปสรรคแรกในแผนนี้เล่า? คำถามก็คือเขามีพรสวรรค์ธรรมชาติในการใช้เวทหรือไม่ที่สำคัญที่สุด เขามีโอกาสเพียงหนึ่งในหมื่น ถ้าเขาไม่มีพรสวรรค์ตามธรรมชาติ อย่างนั้นเขาก็ไม่มีทางได้เป็นจอมเวทแน่นอน