ตอนที่แล้วEp.436 - คำสั่งของผู้ครองแคว้น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปEp.438 - เริ่มปฏิบัติการ

Ep.437 - มอนสเตอร์ระดับราชันย์


2/3

Ep.437 - มอนสเตอร์ระดับราชันย์

ฮังอวี่เข้าพบทูตจากเมืองฟ้าเดียวดาย

ออร์คผู้นี้มีทัศนคติที่เย่อหยิ่งมาก มันกวาดสายตามองผู้คน กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ “ข้าคือผู้ส่งสารของเมืองฟ้าเดียวดาย ตามคำสั่งของผู้ครองแคว้นชูร่าแห่งเลือดนาเซอร์ ข้ามาเพื่อถ่ายทอดเจตจำนงของเขาต่อขุนนางแห่งเมืองธารทะเลทราย”

“พวกเราได้ทราบข่าวที่น่าเชื่อถือ ว่าในอีกสิบสองวันจากนี้ กองพลทรายสีชาดจะฟื้นคืนชีพ ในเวลานั้นแคว้นเดียวดายจะตกอยู่ในวิกฤตครั้งใหญ่ และเมืองธารทะเลทรายในฐานะตัวแทนของขุมกำลังแดนเหนือจะต้องเข้าร่วมศึกนี้ ต้านทานภัยพิบัติสีชาดด้วยกัน”

ทุกคนต่างตกใจเมื่อได้ยินคำพูดของออร์ค เดิมพวกเขาคิดว่าที่ผู้ครองแคว้นส่งทูตมา ก็เพื่อตรวจสอบสถานการณ์และสืบสวนความเป็นมาของเผ่ามนุษย์ แต่คาดไม่ถึงเลย ว่าอีกฝ่ายจะมาเพื่อเชื้อเชิญแทน

กองพลทรายสีชาด?

ภัยพิบัติสีชาด?

นั่นมันอะไรกัน!

หรือจะเป็นแค่ข้ออ้าง?

แท้จริงแล้วผู้ครองแคว้นคงไม่พอใจกับการยึดเมืองธารทะเลทรายของเผ่ามนุษย์ หรือบางทีอาจล่วงรู้ถึงศักยภาพอันทรงพลังของเผ่ามนุษย์แล้ว และเกรงว่าเผ่ามนุษย์จะคุกคามบัลลังก์ของผู้ครองแควน้ เลยจงใจล่อเสือออกจากภูเขาใช่หรือไม่?

เรื่องทั้งหมดเป็นไปได้ทั้งนั้น ต้องระมัดระวังเข้าไว้!

ทูตจากเมืองฟ้าเดียวดายกล่าวต่อว่า “เหล่าชนชั้นยอดของเมืองธารทะเลทรายจะต้องมายังช่องเขาจันทร์สีขาดภายในสิบวัน เข้าร่วมกับุขนนางใหญ่อีกสามตน ระหว่างนั้นผู้ครองแคว้นจะนำชนชั้นยอดของเมืองฟ้าเดียวดายมารอล่วงหน้า จงจดจำไว้ให้ดี”

ขุนนางใหญ่อีกสามตนจากทิศตะวันออก ตะวันตก และใต้ก็จะมาเช่นกัน?

นี่มันงานเลี้ยงของพวกชนชั้นยอดหรือไร?

ฮังอวี่แสดงทัศนคติในฐานะขุนนางแห่งเมืองธารทะเลทราย “โปรดบอกท่านผู้ครองแคว้น ว่าพวกเราจะไปอย่างแน่นอน!”

ทูตเผ่าออร์คไม่เต็มใจพูดอะไรซักคำ หลังจากทำตามคำสั่ง มันก็ไม่เสียเวลาอีกต่อไป ขึ้นขี่อินทรียักษ์ ออกจากเมืองธารทะเลทรายทันที ไม่รั้งอยู่แม้วินาทีเดียว

จ้าวหมิงกล่าวว่า “มีบางอย่างค่อนข้างน่าสงสัย พวกเราต้องไปจริงๆหรือ? มองยังไงก็อันตราย!”

“ผู้ครองแคว้นเดียวดายกับสี่ขุนนางใหญ่มารวมตัวกัน นี่แสดงว่าเป็นศึกใหญ่ แต่ฉันกลับไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน”ฉูเทียนหัวขมวดคิ้ว “ยังไงก็ตาม ถ้าเราขัดคำสั่ง บางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลให้ผู้ครองแคว้นกำจัดเรา”

ไม่ใช่ความคิดที่ดีที่จะไป

แต่ถ้าไม่ไป ก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีเช่นกัน ฮ๊าาาาา!

ยังไม่ถึงหนึ่งเดือนเลยนับจากที่มนุษย์เข้ายึดครองเมืองธารทะเลทราย

ระหว่างนี้สมควรทำตัวให้ต่ำติดดินและค่อยๆเสริมความแข็งแกร่ง

เจียงหนานถามว่า “พี่มหาเทพมีแผนรับมือยังไง?”

ฮังอวี่ยักไหล่และพูดว่า “ตอนนี้ฉันยังไม่มีแผน แต่ในเมื่อเป็นคำเชิญจากผู้ครองแคว้น ในเมื่อมันเกี่ยวข้องกับทั่วทั้งแคว้นเดียวดาย แน่นอนว่าพวกเราเมืองธารทะเลทรายต้องมีส่วนร่วมเช่นกัน”

“หือ? ต้องไปจริงๆเหรอ!”

“ไม่กลัวว่านั่นจะเป็นกับดักรึไง?”

ฮังอวี่เอ่ยท่ามกลางความสับสนของทุกคน “ก่อนอื่น ทุกคนไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเมืองธารทะเลทราย ถึงเมืองธารทะเลทรายที่อยู่ภายใต้การครอบครองของพวกเราตอนนี้ พลังรบจะด้อยกว่ายุคคาลิมัวมาก แต่ก็ใช่ว่าจะถูกทำลายล้างได้โดยง่าย”

แม้เมืองธารทะเลทรายจะอ่อนแอกว่าเมื่อก่อน แต่ข้อได้เปรียบของเผ่ามนุษย์ คือมีคนที่มีสติปัญญามากกว่า 4000 คน และถ้าเพิ่มอีก 2000 ที่กระจายอยู่ในเมืองอื่น เท่ากับว่ามีมนุษย์ในแคว้นเดียวดายมากกว่่า 6000 คน!

และมนุษย์ 6000 คนเหล่านี้ไม่ใช่ตัวกินพืช!

ในช่วง 20 วันที่ผ่านมา พวกเราสามารถสร้างสมุนทหารได้ประมาณ 10,000 นาย!

แม้ยังห่างชั้นเมื่อเทียบกับกองกำลังในยุคคาลิมัว แต่เมืองธารทะเลทรายได้นำเข้าอุปกรณ์เหนี่ยวนำมนตรา ค่ายกล ฯลฯ จำนวนมากจากโลกจริง ... เพราะงั้นถ้าคิดว่ามีความสามารถก็ลองโจมตีเมืองดู!

อย่างที่สอง เมืองธารทะเลทรายภายใต้การนำของฮังอวี่ เขาสามารถรวมพลังเหล่าขุนนางเล็กได้ ซึ่งหมายความว่าเมื่อต้องเผชิญกับการรุกรานจากภายนอก เหล่าขุนนางเล็กทั้งหมดจะลุกขึ้นต่อต้าน

พลังรบโดยรวมของเมืองธารทะเลทรายตอนนี้อาจอ่อนแอ แต่พลังรบของแดนเหนือแท้จริงแล้วเพิ่มขึ้น!

ต่อให้เป็นขุนนางใหญ่จากทิศอื่น

ต่อให้เป็นผู้ครองแคว้น

หากทุกคนในแดนเหนือร่วมด้วยช่วยกัน ก็อย่าหวังว่าจะโค่นพวกเขาลงได้ง่ายๆ!

ฮังอวี่กล่าวต่อ “อย่างที่สอง ถ้าภัยพิบัติทรายสีชาดมีจริง สำหรับแคว้นเดียวดายแล้ว ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้อง มันจะทำลายล้างทั่วทั้งแคว้น เวลานี้ผู้ครองแคว้นสั่งให้พวกเราลงมือ อย่างน้อยพวกเราสามารถใช้โอกาสนี้สำรวจความจริงได้!”

จางเสี่ยวเฉียงถามทันทีว่า “แล้วไอ้ภัยพิบัติสีชาดนี่มันอะไร? ทำไมถึงเรียกว่ากองพลทรายสีชาด? ฟังดูเหมือนเป็นภัยธรรมชาติ แต่ฉันว่าเหมือนเป็นพวกกองทัพอะไรเทือกนั้นมากกว่า?”

“มันเป็นทั้งภัยธรรมชาติ และเป็นทั้งกองทัพ”

คำตอบนี้ของฮังอวี่ทำให้ทุกคนสับสน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากอธิบายโดยละเอียด “กองพลทรายสีชาดมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ในอาณาจักรมังกรโลกาครั้งหนึ่งเคยมีขุมกำลังระดับมหากาพย์ปรากฏขึ้น”

ขุมกำลังระดับมหากาพย์!?

ทุกคนตื่นตระหนกตกใจ

สิ่งมีชีวิตที่แก่กล้าที่สุดที่มนุษย์เคยเข้าถึงอยู่แค่ระดับทรราชย์เท่านั้น กระทั่งมังกรคลั่งเฮสการ์ที่ว่าแน่ยังอยู่แค่ระดับราชันย์ ไม่อาจขึ้นเป็นมหากาพย์!

ฮังอวี่กล่าวต่อ “พูดง่ายๆ กองพลทรายสีชาดนี้ จริงๆแล้วมันถือกำเนิดขึ้นจากการตายของขุมพลังระดับมหากาพย์ มันเกิดจากสสารวิญญาณที่สลายไปของเขา”

ทุกคนอยู่ในโลกวิญญาณเป็นเวลากว่าครึ่งปีแล้ว

ดังนั้นพวกเขาเลยพอมีความรู้เกี่ยวกับกฏเกณฑ์ของโลกวิญญาณ ทุกสิ่งในโลกวิญญญาณประกอบขึ้นจากสสารวิญญาณ เมื่อมีผู้ยิ่งใหญ่ล่วงลับ เผ่าพันธุ์ที่มีสติปัญญาก็จะถูกสร้างขึ้น

และเผ่าพันธุ์ที่มีสติปัญญาเหล่านี้ เมื่อเวลาผ่านไป ก็จะเริ่มเกิดผู้ตื่นรู้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  เมื่อพวกเขารวมตัวกัน ก็จะเกิดเป็นกองกำลังหรืออารยธรรมใหม่ๆ และผู้ที่ยืนอยู่บนยอดสุดของพวกเขา เป็นไปได้ว่าจะกลายเป็นชนรุ่นหลังที่ทรงพลังอีกครั้ง

รอจนกระทั่งคนผู้นี้ล่วงลับ ก็จะสร้างลูกหลานจำนวนมากขึ้นอีก

โลกวิญญาณก็เป็นเช่นนี้ ปล้น ฆ่า เติบโต ฆ่าต่อเนื่องเพื่อให้ตัวเองแก่กล้ายิ่งขึ้น สุดท้ายบั้นปลายคือการล่วงลับ

และกระบวนการล่วงลับมาพร้อมการสร้างชีวิตใหม่

“หลังจากการล่วงลับของระดับมหากาพย์ในสมัยนั้น สสารวิญญาณและพลังงานของเขากระจายไปทั่วช่องเขาจันทร์สีชาด สุดท้ายก่อกำเนิดกลุ่มสายพันธุ์รองขนาดใหญ่”

“อย่างไรก็ตาม ในบรรดาสายพันธุ์รองที่ถือกำเนิดใหม่ พลังรบของพวกมันจะมากน้อยสลับกันไป ในบรรดาทั้งหมด ตัวที่อ่อนแอสุดอาจอยู่ในระดับสามัญเลเวล 10 และตัวที่แข็งแกร่งอาจอยู่ในระดับทรราชย์เลเวล 15 16 หรือสูงกว่านั้นก็ได้”

“มีมอนสเตอร์สายพันธุ์รองที่ทรงพลังนับพันเตร็ดเตร่ไปมาในช่องเขาจันทร์สีชาด พวกมันเรียกว่าเผ่าทรายสีชาด ตามปกติแล้วไม่ต่างอะไรกับมอนสเตอร์ทั่วๆไป แต่เมื่อราชาของพวกมันฟื้นคืนชีพ สถานการณ์จะไม่เหมือนเดิม”

“...”

พูดถึงเรื่องนี้ ทุกคนค่อยพอเข้าใจขึ้นมาบ้าง

จ้าวหมิงเอ่ยด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “นายกำลังจะบอกว่าภายในแคว้นเดียวดาย มีมอนสเตอร์ระดับราชันย์ใช่ไหม? สุดยอดบอสที่จะรีเฟรชในทุกๆ 60 ปี!”

“มีโอกาสเป็นไปได้สูง” ฮังอวี่พยักหน้า “ยิ่งพลังรบแก่กล้าเท่าไหร่ ระยะเวลาฟื้นคืนชีพก็จะยิ่งนานเท่านั้น การที่เจ้าหมอนี่ใช้เวลานานถึง 60 ปี ก็มากพอแล้วที่จะอธิบายถึงความน่าสะพรึงของมัน”

ไม่ต้องสงสัยเลย! มอนสเตอร์ประเภทนี้ไม่อาจพบเจอได้ทั่วไป!

อีกทั้งมันยังมีความสามารถมากพอที่จะคุกคามผู้ครองแคว้นเดียวดาย!

นั่คือเหตุผลที่ว่าทำไมผู้ครองแคว้นถึงสั่งระดมขุนนางใหญ่จากทั้งสี่ทิศ มุ่งหน้าสู่ช่องเขาจันทร์สีชาด

อย่างไรก็ตาม

ห้ามลืมนะว่ายิ่งศัตรูทรงพลังแค่ไหน ยิ่งอันตรายมากเท่าไหร่ ของรางวัลจากมันก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น!

สิ่งที่ฮังอวี่ต้องทำต่อจากนี้คือการสืบสวน

ไม่ว่าภัยพิบัติสีชาดจะมีจริงหรือไม่ ถ้าไม่มีก็แล้วไป แต่ถ้ามีก็ไม่ควรพลาดโอกาสนี้

ในเมื่อเขาได้ขึ้นเป็นขุนนางใหญ่แล้ว ต่อไปการติดต่อกับขุนนางใหญ่และผู้ครองแคว้นก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ต่อให้ครั้งนี้เขาหลบลี้หนีหน้า แต่จะเลี่ยงได้สักกี่ครั้ง?

เช่นนั้นจะดีกว่าไหมหากกล้าออกไปยืนหยัด เผชิญหน้ากับพวกเขาอย่างกล้าหาญ!