ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 32 เคล็ดวิชาเพลิงกรรมบงกชแดง
ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 32 เคล็ดวิชาเพลิงกรรมบงกชแดง
ไม่กี่วันต่อมา
บนทะเลทรายขนาดใหญ่ ซากศพกองพะเนินราวกับภูเขา ทุกหนทุกแห่งล้วนตกอยู่ในความรกร้างและยังคงเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายอบอวลอยู่ในอากาศ
ภายใต้ทะเลทรายเกอปี่ กิ้งก่าเพลิงแดงค่อย ๆ โผล่หัวออกมา ขณะที่มันกำลังจะพักหายใจ ทันใดนั้นกระบี่ก็ฟาดลงมาจากท้องฟ้าและฟันหัวของมันโดยตรง
กิ้งก่าเพลิงแดงตายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเกินไปและไม่มีโอกาสแม้แต่จะตอบโต้ ในขณะที่กำลังจะตายมันจึงรู้ว่าฆาตกรเป็นสตรีในชุดขาวพร้อมกระบี่ยาว
แซ่ก... แซ่ก... แซ่ก...
เสียงรองเท้าเหยียบผืดทรายดังขึ้น ไม่กี่อึดใจต่อมา คนสามคนค่อย ๆ ปรากฏตัวต่อหน้าศพของ กิ้งก่าเพลิงแดง
“อย่างที่ท่านอาจารย์สงสัย เจ้ากิ้งก่าเพลิงแดงตัวนี้มีต้นกำเนิดที่ลึกลับเช่นกัน” จ้าวว่านเอ๋อก้มลงบนพื้นและสังเกตอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะยืนขึ้นเพื่ออธิบาย
นับตั้งแต่วันนั้น นางก็ดูเหมือนจะกลายเป็นผู้ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง นางไม่มีค้างคาอยู่ภายในใจอีกต่อไป นางมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าเสมอในขณะที่นางเผชิญหน้ากับท่านอาจารย์ที่เอ็นดูนางและศิษย์พี่หญิงของนางที่ปฏิบัติต่อนางเหมือนกับน้องสาวแท้ ๆ
หลินชิงจู้ไม่ได้พูดอะไรในขณะที่นางค่อย ๆ ร่อนลงมาจากท้องฟ้าและมาถึงด้านหน้าของเย่ชิว หลังจากฝึกฝนมากว่าหนึ่งเดือน ระดับการบ่มเพาะของนางก็ได้ทะลุไปยังขอบเขตสวรรค์ขั้นที่ 1 ได้สำเร็จ
เย่ชิวตกตะลึงกับความเร็วในการบ่มเพาะที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาคิดว่าตนเองก็พัฒนาขึ้นราวกับฉ้อโกงนั้นเขาก็รู้สึกโล่งใจ
“อืม ดูเหมือนว่าการอาละวาดนี้จะเกี่ยวข้องกับแหล่งที่มาที่แปลกประหลาดนี้ นี่คือสัญญาณร้าย” เย่ชิวพยักหน้า ในเดือนที่ผ่านมาเขาได้นำหลินชิงจู้ไปตรวจสอบสาเหตุของการอาละวาดของสัตว์อสูร
ตั้งแต่เริ่มแรก เขาสังเกตเห็นว่าสาเหตุที่สัตว์อสูรเหล่านี้สูญเสียการควบคุมนั้นเป็นเพราะกลิ่นอายแห่งความมืดภายในร่างกายของพวกมันทั้งหมด
หลังจากสังหารสัตว์อสูรไปหลายร้อยตัว เขาก็สามารถยืนยันเรื่องนี้ได้
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” เย่ชิวครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน เขายังนึกไม่ออกว่ากลิ่นอายแห่งความมืดนี้มาจากไหน
จากลักษณะเช่นนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะตรวจสอบเรื่องนี้และล้างแค้นให้กับหลินชิงจู้ อย่างน้อยตอนนี้มันก็ดูเหมือนไม่น่าเป็นไปได้
อย่างไรก็ตาม! เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งเดือนก็จะถึงการลองยุทธเจ็ดขุนเขาแล้ว
ตอนนี้หลินชิงจู้กำลังดำเนินชีวิตตามความคาดหวัง ด้วยความช่วยเหลือของเย่ชิวในที่สุดนางก็บรรลุขอบเขตสวรรค์ขั้นที่ 1 และเคล็ดวิชากระบี่เมฆาม่วงของนางได้รับการฝึกฝนจนสมบูรณ์แบบแล้วและมีประสบการณ์การต่อสู้เพียงพอด้วยเช่นกัน
เย่ชิวยังคงไม่ลืมการเดิมพันของเขากับฉีอู๋ฮุ่ย ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของหลินชิงจู้การเอาชนะฉีฮ่าวผู้ไร้น้ำยาก็น่าจะเพียงพอแล้วใช่หรือไม่
หากพวกเขากลับไปยังภูเขา ปรมาจารย์คนอื่นคงจะต้องตกใจเมื่อรับรู้ถึงความก้าวหน้าของหลินชิงจู้ ลำไส้ของพวกเขาคงจะเปลี่ยนเป็นเขียวขจีด้วยความเสียใจเนื่องจากตนเองไม่ได้เลือกนาง
ศิษย์ที่สองของเขาจ้าวว่านเอ๋อ นางเพิ่งเข้ามาสำนักและยังไม่ได้เริ่มฝึกฝนเคล็ดวิชาเซียน ดังนั้นมันจึงยังเป็นเรื่องยากสำหรับนางที่จะได้รับลำดับที่ดี อย่างไรก็ตาม ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา นางได้ดูดซับพลังของกระดูกสมบัติอย่างต่อเนื่อง ระดับการบ่มเพาะของนางก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
นางมาถึงขอบเขตนิ้วทมิฬขั้นที่ 3 แล้ว ตอนนี้ถึงเวลาสอนเคล็ดวิชาเซียนและศาสตร์ลับบางอย่างแก่นางแล้ว
“ท่านอาจารย์ เราจะทำอย่างไรต่อไป” หลินชิงจู้รู้ว่าตนไม่มีความหวังในการแก้แค้น นางค่อนข้างหดหู่ใจ แต่นางก็รู้อยู่แก่ใจว่าท่านอาจารย์ของนางกำลังพยายามตามสืบเรื่องนี้อย่างเต็มกำลัง
เย่ชิวครุ่นคิดเล็กน้อย
“อืม กว่าจะรู้ตัว ราตรีก็มาเยือกเสียแล้ว เจ้าควรไปตั้งค่ายที่พักและพักผ่อน พรุ่งนี้เราจะเริ่มแผนการฝึกซ้อมใหม่”
“ว่านเอ๋อ ข้าจะสอนเคล็ดวิชาเพลิงผลาญสวรรค์ให้เจ้าในวันนี้ เคล็ดวิชาเซียนนี้ตรัสรู้โดยปรมาจารย์รุ่นแรก ๆ ของขุนเขาเมฆาม่วงของเรา เนื่องจากเจ้ามีเพลิงบริสุทธิ์อยู่ในตัวแล้ว เป็นการดีที่สุดที่จะฝึกฝนเคล็ดวิชานี้”
“เจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินว่าในที่สุดนางก็สามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาเซียนได้ จ้าวว่านเอ๋อรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก
นางเฝ้าดูหลินชิงจู้ทำการสังหารสัตว์อสูรในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาและรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก แต่ท่านอาจารย์ของนางไม่ได้สอนเคล็ดวิชาแก่นางเพราะสภาพจิตใจของนางยังไม่มั่นคง เมื่อนางได้ยินว่าในที่สุดท่านอาจารย์กำลังจะสอนเคล็ดวิชาเซียน นางก็มีความสุขเป็นอย่างมาก
“นั่งลง”
หลินชิงจู้และเสี่ยวหลิงก็ไม่ได้รบกวนทั้งคู่ พวกเขาเฝ้าดูอยู่จากระยะไกลในขณะที่เย่ชิวส่งมอบเต๋าของเคล็ดิวิชาให้กับจ้าวว่านเอ๋อ
เย่ชิวมอบเคล็ดวิชาเพลิงผลาญสวรรค์ให้กับจ้าวว่านเอ๋ออย่างรวดเร็ว นางฉลาดเป็นอย่างมาก แม้ว่านางจะไม่มีความทรงจำแบบภาพถ่ายเหมือนหลินชิงจู้ก็ตาม แต่ความสามารถในการทำความเข้าใจของนางนั้นสูงมาก สามารถเข้าใจเคล็ดวิชาเซียนได้อย่างรวดเร็ว
ในเวลาเพียงไม่นาน นางก็สามารถควบคุมเพลิงบริสุทธิ์ในร่างกายของนางได้แล้ว ทำให้นางมีความสุขเป็นอย่างมาก
[ ติ๊ง… ]
[ ท่านมอบเคล็ดวิชาบ่มเพาะระดับลึกล้ำเพลิงผลาญสวรรค์แก่ลูกศิษย์ของท่าน ได้กระตุ้นระบบตอบแทนหมื่นเท่า ]
[ ท่านต้องการเปิดใช้งานระบบตอบแทนหมื่นเท่าหรือไม่ ]
“นี่…” มุมปากของเย่ชิวโค้งขึ้น นานแล้วที่เขาไม่ได้ยินเสียงนี้
“เปิดใช้งาน”
[ ติ๊ง… ]
[ ขอแสดงความยินดี ท่านกระตุ้นการตอบแทน 100 เท่า ท่านได้รับเคล็ดวิชาการบ่มเพาะระดับสวรรค์เพลิงกรรมบงกชแดง
“อืม เพลิงกรรมบงกชแดง”
[ ท่านต้องการที่จะเรียนรู้หรือไม่ ]
“ต้องการ…”
ทันใดนั้นพลังลึกลับก็พุ่งเข้ามาในความคิดของเย่ชิว หลังจากเข้าใจวิธีการควบคุม เคล็ดวิชาเพลิงกรรมบงกชแดงและผลของเคล็ดวิชาลับแล้ว
เย่ชิวรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เขามีเคล็ดวิชาการบ่มเพาะระดับเทพเจ้าอยู่แล้ว นั่นคือเคล็ดวิชากระบี่พงไพร เมื่อเทียบกับสิ่งนี้ เคล็ดวิชาเพลิงกรรมบงกชแดงนี้ค่อนข้างซ้ำซ้อน นอกจากนี้ เขาไม่มีเปลวไฟอยู่ภายในร่างกายของเขา ผลที่ได้จะขาดหายไปหากเขาทำการบ่มเพาะเคล็ดวิชานี้
อย่างไรก็ตาม ความหมายจะแตกต่างออกไปหากเคล็ดวิชาลับนี้ได้รับการฝึกฝนโดยจ้าวว่านเอ๋อ อย่างแรก นางมีเมล็ดพันธุ์แห่งไฟเป็นจุดเริ่มต้นและมันคือเปลวเพลิงนรกที่ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้ หากนางฝึกฝนเคล็ดวิชาเพลิงกรรมบงกชแดงมันอาจเพิ่มพลังอำนาจของนางขึ้นอย่างมาก แม้ว่านางจะต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะสูงกว่านาง นางก็ยังมีพละกำลังที่จะต่อสู้ข้ามระดับได้
“ลืมมันไปเถอะ!” หลังจากคิดอย่างรอบคอบแล้ว เย่ชิวก็มองไปยังจ้าวว่านเอ๋อและกล่าวว่า “ว่านเอ๋อ มานี่สิ อาจารย์ได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และตัดสินใจที่จะสอนเคล็ดวิชาลับอื่นให้กับเจ้า”
“นี่...” จ้าวว่านเอ๋อตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง นางรู้สึกดีใจและเดินไปในทันที
“ท่านอาจารย์ เคล็ดวิชาลับอะไรหรือ” นางอยากรู้อยากเห็นมาก นางรู้สึกว่าเคล็ดวิชาเปลวเพลิงแผดเผาสวรรค์นั้นทรงพลังมากอยู่แล้ว เป็นไปได้ไหมว่าเย่ชิวต้องการจะสอนเคล็ดวิชาลับที่ทรงพลังยิ่งกว่านี้ให้กับนาง
เย่ชิว ยิ้มและพูดว่า “ข้าต้องการสอนเคล็ดวิชาเพลิงกรรมบงกชแดงให้แก่เจ้า…”
“นี่มัน!” เพลิงกรรมบงกชแดง จ้าวว่านเอ๋อเคยได้ยินเคล็ดวิชาลับเช่นนี้มากัน นายพลในพระราชวังเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่ามันเป็นเคล็ดวิชาลับที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง และระดับของมันก็อยู่ในระดับสวรรค์เป็นอย่างน้อย ท่านอาจารย์ของนางเต็มใจที่จะสอนเคล็ดวิชาลับที่ทรงพลังเช่นนี้ให้นางจริงหรือ
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านอาจารย์” หัวใจของนางเต็มไปด้วยความสุข จ้าวว่านเอ๋อรู้สึกอยากกอดจูบเย่ชิวอย่างยิ่ง นางรู้สึกประทับใจเหลือเกิน
เมื่อเห็นการแสดงออกที่มีความสุขของนาง เย่ชิวก็ยิ้มด้วยความพึงพอใจและพูดว่า “เอาล่ะ! นั่งลง เคล็ดวิชาลับนี้ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้ หากเจ้าสามารถฝึกฝนมันจนถึงระดับสูงสุดได้ มันอาจจะเทียบได้กับระดับเทพเจ้า”
“เจ้าค่ะ ข้าจะพยายามตั้งใจฝึกฝนอย่างแน่นอน” จ้าวว่านเอ๋อนั่งตรงข้ามเย่ชิวอย่างเชื่อฟัง
ในเวลาไม่นาน เย่ชิวก็ได้ส่งต่อเคล็ดวิชาเพลิงกรรมบงกชแดงให้กับนาง จ้าวว่านเอ๋อไม่สามารถปกปิดความสุขในใจของนางได้ในขณะนี้ ขณะที่ข้อความในคัมภีร์นั้นผุดขึ้นมาในความคิดของนาง
เคล็ดวิชาลับนี้เป็นเคล็ดวิชาลับระดับสวรรค์อย่างแท้จริง! อย่างไรก็ตาม เคล็ดวิชาลับนี้ลึกซึ้งเป็นอย่างมาก การที่จะเชี่ยวชาญอย่างละเอียดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย มิฉะนั้นทุกคนคงสามารถฝึกฝนวิชาลับระดับสวรรค์ได้แล้ว
โชคดีที่จ้าวว่านเอ๋อมีพื้นฐานจากเคล็ดวิชาเพลิงผลาญสวรรค์ นางได้ขยายวิสัยทัศน์ออกไป เพื่อให้นางเข้าใจเคล็ดวิชาเพลิงกรรมบงกชแดงได้ง่ายขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ความสามารถในการปรับตัวอันทรงพลังของกระดูกศักดิ์สิทธิ์ในร่างกายของนางทำให้นางตระหนักถึงบางสิ่งได้อย่างรวดเร็ว
ในเวลาไม่ถึงนาที ลูกบอลไฟสีแดงก็รายล้อมอยู่รอบตัวนางและความร้อนที่ไม่อาจต้านทานได้ก็จู่โจมนาง
หลินชิงจู้และเสี่ยวหลิงต่างก็ตกตะลึง
“นี่…”
“ไม่คาดคิดเลยว่าเปลวไฟของศิษย์น้องจะมีแรงกดดันที่รุนแรงเช่นนี้!”
หลินชิงจู้ตกใจเล็กน้อย นางไม่เคยคิดเลยว่าจ้าวว่านเอ๋อจะสามารถปลดปล่อยกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้ในครั้งแรกที่เริ่มฝึกฝนเคล็ดวิชาเซียน หากนางต้องต่อสู้กับจ้าวว่านเอ๋อ หลินชิงจู้คงรู้สึกกดดันเล็กน้อย ท้ายที่สุดแล้วเปลวไฟเหล่านั้นยากที่จะต้านทานได้อย่างแท้จริง