ตอนที่แล้วตอนที่ 1-1 เช้าตรู่ที่เมืองเล็กแห่งหนึ่ง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 1-3 ตระกูลนักรบเลือดมังกร (2)

ตอนที่ 1-2 ตระกูลนักรบเลือดมังกร (1)


พริบตาเดียวผ่านไปครึ่งปีการฝึกหนักและการสร้างร่างกายให้แข็งแกร่งลินลีย์สามารถทำได้อย่างสบายๆ สายลมอบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิแสงแดดในฤดูร้อนและความหนาวเหน็บในฤดูใบไม้ร่วงต้นพ็อพขาวใกล้ลานฝึกซ้อมของเมืองอู่ซันมักจะมีไม้ใบแห้งร่วงตกอยู่ที่พื้นเมื่อลมพัดผ่านใบไม้ค่อยๆ หมุนควงลงมาปกคลุมพื้นที่ฝึนฝน

ท้องฟ้าค่อยๆ มืดครึ้ม

วันนี้มีคนจำนวนมากในสนามฝึกร่วมๆ สามร้อยคน

“การฝึกในช่วงเย็นวันนี้ จบลงเพียงเท่านี้” ฮิลแมนยิ้ม “แต่ก่อนจะแยกกันไปขอให้เด็กทุกคนร่วมแสดงความยินดีกับรุ่นพี่ที่จะไปจากเมืองอู่ซันเข้าร่วมกับกองทัพก่อน”

พอจบฤดูใบไม้ร่วงก็ถึงเวลาเกณฑ์ทหารทั่วทั้งทวีปอยู่ในช่วงทำสงคราม เด็กทุกคนมองเห็นว่าการได้เป็นนักรบที่เก่งกล้าถือเป็นการได้เหรียญตราเกียรติยศตามปกติแล้วเด็กพวกนั้นยังมีบางพวกที่ปรารถนาจะเป็นจอมเวทแต่การได้เป็นจอมเวทเป็นเรื่องที่ยากมากบางทีอาจมีเพียงหนึ่งในหมื่นที่มีโอกาสได้เป็นจอมเวทด้วยความเป็นไปได้อันน้อยนิดเช่นนี้จึงทำให้คนทั่วไปไม่สนใจเรื่องนี้

การได้เป็นนักรบคนหนึ่งง่ายกว่ามากครั้นถึงวัยสิบหกปี ตราบใดที่พวกเขาสามารถเป็นนักรบระดับหนึ่งได้เป็นอย่างน้อยพวกเขาก็ยังจะเข้าร่วมกับกองทัพได้ง่าย

“ลุงฮิลแมน! ขอบคุณขอรับ!”

กลุ่มเด็กร้อยยี่สิบหกคนที่มีอายุสิบหกปีโค้งคำนับฮิลแมนด้วยความเคารพเด็กวัยรุ่นเหล่านี้ถ้าไม่ได้เข้าฝึกฝนตามปกติพวกเขาทุกคนก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่และทำงานของตนแต่เนื่องจากทุกคนได้รับการฝึกฝนจากฮิลแมนทุกคนนับถือฮิลแมนประหนึ่งว่าเป็นอาจารย์ผู้มีพระคุณ

ก่อนจะเข้าร่วมกับกองทัพพวกเขาทุกคนมาที่นี่เพื่อกล่าวอำลาฮิลแมน

พอได้เห็นเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดกลุ่มใหญ่ที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นนี้ฮิลแมนรู้สึกถึงอารมณ์ที่หลากหลายปนเปกันไปเป็นเพราะฮิลแมนรู้ว่าเด็กหนุ่มทุกคนนี้อยากเข้าร่วมกับกองทัพแต่หลังผ่านไปสิบกับการเข้าร่วมกองทัพจะมีสักกี่คนที่รอดชีวิตกลับมา?

“ข้าหวังว่าเด็กหนุ่มร้อยยี่สิบหกคนจะต้องรอดกลับมาอย่างน้อยที่สุดก็ครึ่งหนึ่ง”ฮิลแมนอธิษฐานในใจเงียบๆ

ฮิลแมนจ้องมองดูเด็กหนุ่มเหล่านั้นและพูดชัดถ้อยชัดคำว่า “เด็กๆ ฟังให้ดี!พวกเจ้าทุกคนเป็นลูกผู้ชายจากเมืองอู่ซันลูกผู้ชายชาวอู่ซันจะต้องยืดอกเชิดหน้าเผชิญกับความท้าทายทุกอย่างและรับมันอย่างไม่กลัวเกรงข้าเข้าใจถูกไหม?”

เด็กสิบเจ็ดทุกคนยืดอกร่างกายตั้งตรงสายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นเร่าร้อนสำหรับชีวิตทหารทุกคนเปล่งเสียงพร้อมกันว่า “เข้าใจขอรับ!”

“ดี!” ฮิลแมนยืดตัวตรงด้วยเช่นกัน สายตาเยือกเย็นของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายทหาร

“พรุ่งนี้ พวกเจ้าทุกคนก็จะแยกจากไปแล้วคืนนี้เตรียมตัวให้ดี ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทุกคนแข็งแกร่งขนาดไหนพวกเจ้าทุกคนสามารถเข้าเป็นทหารได้ง่ายๆ แน่! ข้า.. ฮิลแมนจะรอพวกเจ้านำความสำเร็จกลับมาสู่เมืองอู่ซัน! ฮิลแมนพูดด้วยน้ำเสียงแจ่มชัด

นัยน์ตาของเด็กพวกนั้นฉายแววลุกโชน

กลับบ้านด้วยความภูมิใจนี่คือความฝันของเด็กทุกคน

“เอาล่ะข้าขอสั่งให้พวกเจ้าทุกคนกลับบ้านทันทีและเริ่มเตรียมตัวได้แล้วแยกย้าย!” ฮิลแมนพูดเสียงดุ

“ขอรับ!”

วัยรุ่นร้องยี่สิบหกคนทำความเคารพพร้อมกันจากนั้นจึงแยกย้ายกันไปพวกเขาถูกเด็กเกือบสองร้อยคนจ้องมองด้วยแววตาเทิดทูน พรุ่งนี้จะเริ่มต้นชีวิตใหม่

“ข้ายังมีเวลามากกว่าอีกสองปีเมื่อข้าถึงกำหนดอายุ ข้าก็จะเข้าร่วมกองทัพด้วยเช่นกัน”

“ข้าต้องการใช้ชีวิตที่ตื่นเต้นด้วยเช่นชีวิตทหารที่หัวใจเต้นระรัว ถ้าข้าต้องใช้ชีวิตที่ไปตลอดในเมืองอู่ซันแม้จะอยู่ไปตลอดชีวิต ก็คงไร้ความหมาย”

.........

กลุ่มเด็กสิบสามปีสนทนากันพวกเขาทุกคนต้องการใช้ชีวิตที่ตื่นเต้น ชีวิตที่เต็มไปด้วยพลังทุกคนต้องการสร้างคุณงามความดีและสร้างชื่อเสียงต้องการให้ผู้หญิงสนใจและเป็นที่นับถือของญาติๆ ทุกคน

นี่คือความฝันของพวกเขา

“ลินลี่ย์, บิดาของเจ้า ท่านฮ็อกมีเรื่องสำคัญมากที่จะคุยกับเจ้าอย่าเพิ่งไปเล่นกับพวกเด็กอื่น กลับบ้านพร้อมข้า” ฮิลแมนเดินมาทันลินลี่ย์พอจ้องดูเขา ฮิลแมนรู้สึกภูมิใจมาก

ลินลี่ย์เป็นเด็กฉลาดมากภายใต้การอบรมสั่งสอนของฮ็อกบิดาของเขาตั้งแต่อายุยังน้อย เขาเรียนรู้หนังสือได้มากและยังอ่านหนังสือได้เกือบทั้งหมด

การอ่านหนังสือเป็นสิ่งที่ฟุ่มเฟือยมากตามปกติมีเพียงบ้านชนชั้นสูงที่สามารถอ่านได้ตระกูลบาลุคเป็นตระกูลเก่าแก่มากตระกูลหนึ่งและครอบครองหนังสือเป็นจำนวนมาก

“ลุงฮิลแมน! ข้าทราบแล้วท่านพ่อเตือนข้าถึงสามครั้งแล้ว ท่านพ่อไม่เคยย้ำหนักแน่นเรื่องอื่นๆขนาดนี้มาก่อน ข้าจะไม่ไปเล่นแน่” ลินลี่ย์ยิ้มจนเห็นฟันขาวสะอาดสมบูรณ์แต่ความจริงมันขาดหายไปหนึ่งซี่

ลินลี่ย์เริ่มมีฟันแท้งอกขึ้นแล้ว

“พอแค่นั้นแหละฟันหน้าเจ้าหายไปหนึ่งซี่ พอเจ้ายิ้มเดี๋ยวลมจะเข้าปากได้” ฮิลแมนหัวเราะ“กลับบ้านกันเถอะ..”

…..

ที่ลานบ้านด้านหน้าของคฤหาสน์บาลุค,หลังจากกินอาหารมื้อค่ำเสร็จแล้วลินลี่ย์ออกมาเล่นกับน้องชายของเขา

“พี่! อุ้ม, อุ้มหน่อย!”

หนูน้อยวอร์ตันจ้องมองลินลี่ย์อย่างไร้เดียงสาด้วยความรักที่เรียบง่ายกำลังเดินเตาะแตะยื่นมือน้อยๆ เข้าไปหาลินลี่ย์พยายามจะกอดเขาลินลี่ย์ยืนอยู่ไม่ไกลนักรอคอยหนูน้อยวอร์ตัวเข้ามาหาเขา

“วอร์ตัน! น้องทำได้!” ลินลี่ย์ให้กำลังใจหนูน้อย

ก้าวย่างเตาะแตะของวอร์ตันทำให้ผู้ที่เห็นเกรงว่าเขาอาจล้มได้ในแต่ละย่างก้าวแต่ในที่สุดหนูน้อยวอร์ตันก็ถลาเข้าอ้อมกอดพี่ชายเขาได้ ผิวของเขาเรียบลื่นนุ่มเหมือนน้ำสีอมชมพู ตากลมตาต้องมองพี่ชายและเขาพูดตามประสาเด็กทารกว่า “พี่.. พี่..”

พอมองดูน้องชายตัวน้อยหัวใจของลินลี่ย์เต็มไปด้วยความอบอุ่นและความรักไม่มีประมาณ

ไม่มีแม่ไม่มีปู่ย่าตายายแม้จะมีบิดาของเขาคอยดูแลครอบครัว แต่ลินลี่ย์ก็เติบโตเป็นผู้เร็วกว่าวัยของเขาเขามีความรักและอยากปกป้องน้องชายเป็นอย่างมาก ในสายตาของลินลี่ย์ในฐานะที่ตนเองเป็นพี่ มันเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องดูแลน้องชาย

“วอร์ตัน! วันนี้เจ้าเรียนรู้อะไรมาบ้าง?” ลินลี่ย์ถามยิ้มพลาง

วอร์ตันขมวดคิ้วสีหน้าดูน่ารักหลังจากครุ่นคิดแล้วจึงพูดอย่างตื่นเต้นว่า “วันนี้ข้าเรียนวิธีใช้ผ้าขี้ริ้ว!”

“ผ้าขี้ริ้วเหรอ?” ลินลี่ย์ยิ้มเต็มหน้าอย่างไม่อาจยับยั้งได้ “เจ้าเอามาเช็ดอะไร?”

พอนับนิ้วมือดูหนูน้อยวอร์ตันพูดว่า“อันแรก ข้าใช้ผ้าขี้ริ้วเช็ดพื้น จากนั้นก็โถฉี่ในห้องน้ำ แล้วก็.. แล้วก็..ข้าเช็ดจานด้วย!” เขามองดูลินลี่ย์อย่างตื่นเต้นรอให้ลินลี่ย์ชมเชย

“เจ้าเช็ดโถฉี่แล้วจากนั้นก็เอามาเช็ดจานเหรอ?” ลินลี่ย์ทำตาโต

“อะไรอ่ะ.. ข้าทำผิดเหรอ? ข้าเช็ดมันจนสะอาดจริงๆ นะ” ในหัวน้อยๆ ของวอร์ตันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะคาดเดาขณะที่เขาจ้องดูพี่ชายของเขา

“คุณชายลินลี่ย์!บิดาของท่านกำลังตามหาคุณชายอยู่ข้าจะอุ้มคุณชายวอร์ตันเอง” ชายชราจมูกโตเหมือนแก้วบรั่นดีเดินเข้ามา เขาคือ“แอชลี่ย์” พ่อบ้านประจำตระกูลบาลุคทั้งหมดนอกจากพ่อบ้านแล้วไม่มีหญิงรับใช้เลยสักคนเดียว

ลินลี่ย์ไม่มีเวลาคุยกับวอร์ตันต่อไปเขาส่งวอร์ตันให้ผู้เฒ่าแอชลี่ย์ทันทีและไปยังห้องโถงรับแขก

“ข้าสงสัยจริงๆทำไมท่านพ่อถึงเรียกข้า?” แม้ว่าเขายังเด็กแต่ลินลี่ย์ก็รู้สึกได้ในตอนนี้ว่าบิดาของเขาเรียกเขาเพราะมีเรื่องสำคัญ

พอเข้าไปในห้องรับแขกที่มุมห้องด้านหนึ่งมีนาฬิกาตั้งโต๊ะสูงกว่าตัวลินลี่ย์เสียอีก

นาฬิกาเรือนนี้อาจบอกได้ว่าเป็นของคุณภาพดีเยี่ยมโดยทั่วไปแล้วเฉพาะครอบครัวคนชั้นสูงที่มั่งคั่งถึงจะมีนาฬิกาแบบนี้ได้ เวลานั้นบิดาของลินลี่ย์นั่งอยู่ใกล้เตาผิงเปลวไฟในเตาผิงกำลังลุกไหม้เกิดเสียงไฟแตกดังเป๊าะแป๊ะตลอดเวลา

“หืม? ทำไมท่านพ่อถึงเปลี่ยนชุดเล่า?” พอเห็นบิดาของเขา ลินลี่ย์รู้สึกเต็มไปด้วยความประหลาดใจขณะอยู่ที่บ้านโดยปกติบิดาของเขาแต่งตัวเรียบง่าย ก็ตอนที่กินอาหารค่ำบิดาของเขายังแต่งชุดธรรมดาอยู่เลยแต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนเป็นชุดของชนชั้นสูงที่ดูสวยงาม

ทั่วทั้งร่างของฮ็อกเปล่งกระกายของพวกผู้ดีเก่าประกายที่เงินก็ไม่สามารถหาซื้อได้มันคือสิ่งที่ชนชั้นสูงแต่โบราณปลูกฝังสืบต่อกันมา ตระกูลที่ยืนยาวมาถึงห้าพันปีพวกคนชั้นสูงโดยทั่วไปจะเทียบได้อย่างไร?

ฮ็อคยืนขึ้นและหันกลับมาเมื่อเขาเห็นลินลี่ย์ นัยน์ตาเขาเป็นประกาย

“ลินลี่ย์! มากับข้า ไปหอบรรพบุรุษกันลุงแอชลี่ย์ท่านก็รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในตระกูลข้า ฉะนั้นลุงก็มาด้วย” ฮ็อกยิ้ม

“หอบรรพบุรุษหรือ?” ลินลี่ย์ประหลาดใจ

สมาชิกตระกูลบาลุคอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ส่วนหน้าส่วนพื้นที่ข้างหลังลึกเข้าไปแทบไม่มีใครไปทำความสะอาดที่นั่น มีแต่เพียงหอบรรพบุรุษในส่วนหลังที่ยังมีการเข้าไปดูและทำความสะอาดเดือนละครั้ง

“แต่นี่ไม่ใช่เวลาบวงสรวงบรรพบุรุษของเรานี่ทำไมเราถึงเข้าไปยังหอบรรพบุรุษเล่า?” ลินลี่ย์มีคำถามเต็มหัวไปหมด

พอออกจากห้องรับแขกฮ็อกลินลี่ย์และลุงแอชลี่ย์ที่ยังคงอุ้มวอร์ตันเดินตามไปตามเส้นทางสีน้ำเงินลึกเข้าไปหลังคฤหาสน์

ฤดูใบไม้ผลิยามราตรีหนาวเย็นดุจน้ำ

ลมหนาวพัดโชยลินลี่ย์สั่นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้ แต่ลินลี่ย์ไม่กล้าส่งเสียงเพราะเขารู้สึกว่าวันนี้มีบางอย่างที่ผิดแผกไป พอเดินตามบิดาของเขาลินลี่ย์ก็เข้าไปในหอบรรพบุรุษเช่นกัน

“แครก”ประตูหอบรรพบุรุษปิดลง

เทียนในตึกถูกจุดสว่างขึ้นทั่วทั้งบริเวณสว่างขึ้นทันทีทันใดนั้นลินลี่ย์มองเห็นป้ายเซ่นวิญญาณตั้งไว้ด้านส่วนหน้าอาคารป้ายนั้นบ่งบอกถึงอายุที่ยาวนานของตระกูลบาลุค

ฮ็อกยืนอยู่ต่อหน้าป้ายเซ่นวิญญาณโดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ

ลินลี่ย์รู้สึกกังวลมากทั่วทั้งอาคารนากเสียงเทียนดังแผ่วเบาแล้ว ไม่มีเสียงอื่นให้ได้ยินความเงียบเป็นสิ่งที่น่ากลัวทำให้เกิดความรู้สึกลบในใจ

ทันใดนั้นฮ็อกหันมาจ้องมองลินลี่ย์พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ลินลี่ย์!วันนี้มีอะไรหลายอย่างที่ต้องทำ แต่ก่อนอื่นข้าจะเล่าประวัติตระกูลบาลุคให้เจ้าฟัง

ลินลี่ยรู้สึกได้ว่าหัวใจของเขาเต้นรัว

“ประวัติตระกูลของเรา? เป็นไปได้อย่างไร?” ในใจเขาก็อยากรู้แต่เขาไม่กล้าส่งเสียง

แววความภูมิใจปรากฏอยู่บนใบหน้าฮ็อกพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจนว่า “ลินลี่ย์ตระกูลบาลุคของเราคงอยู่มาถึงห้าพันปีแล้วแม้ว่าจะมองหาทั่วทั้งอาณาจักรฟินเลย์ข้าไม่เชื่อว่าเราจะพบตระกูลที่สองที่มีความเก่าแก่เท่ากับเรา” เสียงของฮ็อกแสดงออกถึงความภาคภูมใจ

เก่าแก่นี่คือคำที่ตระกูลคนชั้นสูงให้ความสำคัญอย่างมาก

“ลินลี่ย์! เจ้าเคยได้ยินสี่สุดยอดนักรบในตำนานแห่งทวีปยูลานบ้างไหม?” ฮ็อกหันหน้ามามองลินลี่ย์

ลินลี่ย์มีนัยน์ตาเป็นประกายพยักหน้ารับ “ข้าทราบแล้วสี่สุดยอดนักรบในตำนานที่ลุงฮิลแมนเล่าให้ฟังก็มี นักรบเลือดมังกร,นักรบเพลิงม่วง, นักรบพยัคฆ์และนักรบอมตะ”

ฮ็อกพยักหน้าพอใจเขายิ้มแล้วกล่าวว่า “ใช่แล้ว! ตอนนี้ ข้าจะบอกเรื่องบางอย่างกับเจ้า สี่สุดยอดนักรบความจริงแล้วก็คือตัวแทนของตระกูลเก่าแก่สี่ตระกูลและตระกูลบาลุคเราก็คือตระกูลโบราณที่มีสายเลือดสูงส่งของนักรบเลือดมังกร!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด