ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 27 หัวใจเต๋าสั่นคลอน
ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 27 หัวใจเต๋าสั่นคลอน
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะเป็นศิษย์ลำดับที่สองของข้า ข้างหน้าเจ้าคือศิษย์พี่ของเจ้า ข้าจะแนะนำนางให้เจ้ารู้สึกในภายหลัง เอาล่ะ ลุกขึ้นก่อน! เราจะพูดถึงพิธีหลังจากที่เรากลับไปยังสำนัก”
“ขอบเจ้าเจ้าค่ะท่านอาจารย์” จ้าวว่านเอ๋อค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน นางมีท่าทางที่สง่างามและปลดปล่อยกลิ่นอายอันสูงส่งอยู่ตลอดเวลา
“ฮี่ฮี่ องค์หญิง ขอแสดงความยินดีด้วย ในที่สุดท่านก็พบอาจารย์ที่พึงพอใจแล้ว” เสี่ยวหลิงแสดงความยินดีกับนางจากก้นบึ้งของหัวใจ
เย่ชิวตัวแข็งทื่อ องค์หญิง ศิษย์ผู้ที่สองนี้ดูเหมือนจะไม่ง่ายอยากที่ตาเห็น
แม้ว่าเขาจะงงงวย แต่เย่ชิวก็ไม่ได้ทักถาม มันก็เป็นไปตามที่เขาพูด หากเขาต้องการรับศิษย์เข้ามาและเขาไม่เคยสนใจภูมิหลังของพวกเขา
การต่อสู้ของหลินชิงจู้ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว แม้ว่าอสรพิษแดงจะเร็วมาก แต่ก็ยังไม่สามารถหลบหนีจากเงื้อมมือของหลินชิงจู้ได้ หลังจากนั้นไม่นาน หลินชิงจู้ก็ได้สังหารอสรพิแดงและนำกระดูกสมบัติของมันกลับไปอย่างใจเย็น
“ท่านอาจารย์ ฝีมือของข้าเมื่อครู่นี้เป็นอย่างไรบ้าง” หลินชิงจู้ก้าวไปข้างหน้าและโค้งคำนับ นางมองไปยังเย่ชิวอย่างคาดหวัง นางทำได้ดีเช่นนี้ ท่านอาจารย์จะต้องพอใจมากใช่หรือไม่
“อืม ฝีมือกระบี่ของเจ้าก็ไม่เลว อย่างไรก็ตาม เจ้ายังขาดประสบการณ์การต่อสู้และพลาดโอกาสโจมตีไปหลายครั้ง แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ข้าจะหาสัตว์อสูรอีกสองสามตัวให้เจ้าฝึกฝนในภายหลัง เจ้าจะคุ้นชินไปเอง”
เย่ชิวให้ความคิดเห็นอย่างจริงจัง สิ่งนี้ทำให้หลินชิงจู้ค่อนข้างผิดหวัง แต่หลังจากที่เย่ชิวพูดเช่นนี้ นางก็ตระหนักดีถึงข้อบกพร่องของตนเอง
“เอาล่ะ ให้ข้าแนะนำเจ้า นี่คือศิษย์ที่ข้าเพิ่งรับมาและนางจะเป็นศิษย์น้องของเจ้าต่อจากนี้ไป…” เมื่อมาถึงจุดนี้ เย่ชิวก็หยุดชั่วคราว เขาหันกลับมาและมองไปยังจ้าวว่านเอ๋อ “นี่ เจ้าชื่ออะไรนะ”
ดูเหมือนนางจะเคยพูดมาก่อน แต่เย่ชิวไม่ได้สนใจนักและหลงลืมไปเรียบร้อยแล้ว
“อุ๊ปส์…” จ้าวว่านเอ๋อปิดปากของนางและอยากจะหัวเราะออกมา แต่นางก็ยับยั้งตนเองและอธิบายว่า “สวัสดีศิษย์พี่ ข้ามีนามว่าจ้าวว่านเอ๋อ นี่เป็นการพบกันครั้งแรกของเรา ข้าหวังว่าท่านจะดูแลข้าในอนาคต”
หลินชิงจู้ มองไปยัง จ้าวว่านเอ๋อ ด้วยความประหลาดใจ และอดไม่ได้ที่จะชื่นชมนางในใจ สตรีผู้นี้ไม่สวยเกินไปหรอกหรือ
นางรู้สึกถึงความกดดันอย่างมากในทันที อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดอีกครั้ง เรื่องนี้ก็ไม่ได้แย่นัก
ขุนเขาเมฆาม่วงเงียบเกินไป ไม่มีใครอื่นอาศัยในภูเขาทั้งหมด เย่ชิวก็ยุ่งอยู่กับการฝึกฝนและไม่มีเวลาพูดคุยกับนาง
หลินชิงจู้มีความสุขมากที่ตนเองมีศิษย์น้อง เพราะในที่สุดนางก็มีคนคุยด้วยแล้ว
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลินชิงจู้ก็กล่าวอย่างมีความสุขว่า “ฮิฮิ ในที่สุดข้าก็มีศิษย์น้องแล้ว! สวัสดีศิษย์น้องเล็ก ข้ามีนามว่าหลินชิงจู้ หากเจ้ามีคำถามใด ๆ ในอนาคต เจ้าสามารถถามข้าได้เสมอ”
ทันทีที่ทั้งสองสาวเห็นหน้ากัน พวกเขาก็รู้สึกราวกับเคยพบเคยเจอกันมาก่อน พวกเขาคุยกันอย่างมีความสุข
ปากของเย่ชิวกระตุก เขาถูกละเลยโดยทันที
หลังจากพูดคุยกันสักพัก ในที่สุดทั้งสองคนก็จำได้ว่าตนเองได้ละเลยเย่ชิวไป ทั้งคู่รู้สึกเขินอายเล็กน้อย จ้าวว่านเอ๋อไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเย่ชิวมากนักและกลัวว่าอาจารย์ของนางอาจจะโกรธ
ขณะที่นางกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง หลินชิงจู้ก็ปลอบโยนนางว่า “อย่ากังวลเลยศิษย์น้องเล็ก ท่านอาจารย์ปฏิบัติต่อลูกศิษย์เป็นอย่างดีและไม่เคยโกรธเคือง เจ้าจะรับรู้ได้เองเมื่อเจ้ารู้จักเขามากขึ้น”
“ท่านอาจารย์เป็นผู้ที่ปฏิบัติต่อข้าดีที่สุดในบรรดาผู้ที่ข้าเคยพบพานมา”
“ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาเมื่อข้าอยู่บนภูเขา ท่านอาจารย์ดูแลข้าอย่างพิถีพิถัน เขาไม่เพียงให้เม็ดยาเซียนและเม็ดยาอายุวัฒนะแก่ข้าเท่านั้น แต่เขายังมอบฐานการบ่มเพาะของเขาให้ข้าด้วย เขายังมอบสมบัติที่สืบทอดมาของขุนเขาเมฆาม่วงให้ข้าด้วยเช่นกัน ซึ่งก็คือกระบี่เมฆาม่วง”
จ้าวว่านเอ๋อตกใจมากหลังจากได้ยินสิ่งนี้ นางก็ยิ่งมั่นใจว่าตนไม่ได้เลือกอาจารย์ผิด มีอาจารย์ที่ใจดีเช่นนี้อยู่ในโลกนี้จริงหรือ
“เอาล่ะ พวกเจ้าไว้คุยกันระหว่างทาง” เย่ชิวมองไปยังท้องฟ้า ราตรีกำลังจะมาเยือน ดูเหมือนว่าคืนนี้เขาจะต้องตั้งค่ายพักแรมอีกครั้ง
“ท่านอาจารย์ขึ้นรถม้าเถอะ ข้างนอกลมแรง” จ้าวว่านเอ๋อชี้ไปยังรถม้าสีแดงที่อยู่ข้างหลังนาง บ่งบอกให้เย่ชิวเข้าไปนั่งอยู่ในนั้น เย่ชิวก็ไม่ได้ติดอะไรเช่นกัน
ต้องบอกว่ารถม้าขององค์หญิงนั้นหรูหราจริง ๆ มันสะดวกสบายยิ่งกว่าบ้านไม้ของ เย่ชิวบนขุนเขาเมฆาม่วงเสียอีก
แม้ว่าพวกเขาสามคนนั่งอยู่ข้างในมันก็ไม่ได้ดูแออัดเลยแม้แต่น้อย ส่วนเสี่ยวหลิงนั้นคอยขับรถม้าอยู่ด้านนอก
เมื่อตกกลางคืน กลุ่มของเย่ชิวก็หยุดพักที่ทะเลสาบ
หลังจากตั้งค่ายและปักหลักเรียบร้อยแล้วเย่ชิวก็เรียกจ้าวว่านเอ๋อมาที่ด้านข้างของเขา “ศิษย์พี่หญิงของเจ้าออกไปล่าสัตว์! ข้าจะใช้เวลานี้สอนการบ่มเพาะแก่เจ้า”
“เจ้าค่ะ” จ้าวว่านเอ๋อนั่งอยู่ข้างหน้าเย่ชิวด้วยท่าทางที่สง่างาม ขณะที่นางมองไปยังใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ตรงข้ามนาง ใบหน้าสวยของนางก็แดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย ทำให้เริ่มประหม่าเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดได้ว่าในที่สุดตนก็จะได้เริ่มฝึกฝนเร็วในไม่ช้า นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปลาบปลื้มใจ
เย่ชิวกล่าวว่า “พรสวรรค์ของเจ้าอยู่ในระดับปานกลาง ดังนั้นข้าจะช่วยเจ้าปรับปรุง ข้าได้รับกระดูกสมบัตินี้เมื่อไม่นานมานี้ กระดูกสมบัติของวานรยักษ์นรก มันแอบแฝงไปด้วยธาตุไฟ วันนี้ข้าจะมอบกระดูกสมบัตินี้แก่เจ้าเพื่อดูดซับ”
“นี่!” จ้าวว่านเอ๋อตกใจ นางมองไปยังกระดูกสมบัติในมือของเย่ชิวและรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นี่ไม่ใช่กระดูกสมบัติของทายาทเผ่าพันธุ์โบราณในขอบเขตชีวาเร้นลับหรือ
เย่ชิวได้ใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อให้ได้มันมา เขาจะมอบให้นางดูดซับได้อย่างไรกัน
ก่อนหน้านี้ เมื่อนางได้ยินสิ่งที่หลินชิงจู้กล่าวว่าท่านอาจารย์ของนางปฏิบัติต่อลูกศิษย์ของเขาเป็นอย่างดี นางก็ยังสงสัยอยู่ ในที่สุดนางก็เชื่อ
แต่นี่ไม่ใจกว้างเกินไปหรอกหรือ
แต่นางไม่รู้ว่าแรกเริ่มแล้วเย่ชิวต้องการมอบกระดูกให้หลินชิงจู้เพื่อดูดซับ อย่างไรก็ตาม นางมีกระดูกเหมันต์เร้นลับอยู่แล้ว ซึ่งเป็นธาตุตรงข้ามกับกระดูกสมบัตินี้ ดังนั้นนางจึงไม่สามารถดูดซับมันได้ หากนางดูดซับไป มันอาจจะส่งผลกระทบต่อผลของกระดูกศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเขาจึงเก็บกระดูกสมบัตินี้ไว้และไม่รู้ว่าจะต้องจัดการกับมันอย่างไรเช่นกัน
หากเขาดูดซับมันก็คงจะเป็นการเสียเปล่า เขาไม่สามารถดูดซับมันได้ แต่เขาก็ทิ้งมันไว้ไม่ได้เช่นกัน
ในที่สุดเย่ชิวก็พบหนทางว่าต้องทำอย่างไรเมื่อเขาได้ยอมรับจ้าวว่านเอ๋อเป็นศิษย์แล้ว
“ท่านอาจารย์กำลังล้อเล่นกับข้าหรือ นี่คือกระดูกสมบัติในขอบเขตชีวาเร้นลับ ท่านมอบให้ข้าจริง ๆ หรือ” จ้าวว่านเอ๋อกล่าวด้วยความไม่อยากเชื่อ นางรู้สึกว่าเย่ชิว กำลังทดสอบนาง
เย่ชิวพูดอย่างใจเย็น “สิ่งที่เรียกว่าสมบัตินั้นขึ้นอยู่กับมูลค่าที่มันสามารถสร้างได้ หากมันไม่มีค่า มันก็เป็นแค่เศษกระดูกที่ไร้ประโยชน์ เพียงดูดซับให้ได้มากที่สุดเท่าที่เจ้าต้องการ ไม่จำเป็นต้องรู้สึกเสียดายสำหรับข้า ในเมื่อเจ้าเลือกที่จะเป็นศิษย์ของข้า อาจารย์ของเจ้าก็จะไม่ปิดบังสิ่งใดจากเจ้าอย่างแน่นอน”
จ้าวว่านเอ๋อรู้สึกประทับใจอย่างมาก
“ขอบเจ้าเจ้าค่ะท่านอาจารย์” นางไม่ได้ปฏิเสธและรับกระดูกสมบัติไป นางทำตามวิธีการดูดซับที่เย่ชิวสอนนางและเริ่มดูดซับกระดูกสมบัติทันที
ภายในเวลาไม่ถึงนาที ราวกับว่าลูกบอลไฟถูกจุดอยู่ภายในร่างกายของนาง ทำให้ร่างกายของนางร้อนขึ้น นางอดไม่ได้ที่จะถอดเสื้อคลุมสีแดงบนร่างกายออก
เมื่อเย่ชิวเห็นรูปร่างอันไร้ที่ติ ร่างกายของเขาก็เริ่มสั่นสะท้าน
เหงื่อที่ไหลอาบผิวขาวนวลของนางได้ส่งกลิ่นหอมจาง ๆ ออกมา สิ่งนี้ทำให้เลือดของเย่ชิวพลุ่งพล่านทันที
“บัดซบ! การสั่งสอนศิษย์เกือบทำให้หัวใจเต๋าของข้าไม่มั่นคง” เย่ชิวสาปแช่งตนเองอยู่ภายในใจ เขารีบหลบหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงการมองไปยังนาง แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเช่นกัน
ในขณะนี้ ร่างกายของ จ้าวว่านเอ๋อ กำลังลุกไหม้ด้วยเปลวไฟ นางถอดเสื้อผ้าออกทีละชิ้นแต่นางก็คงยังรู้สึกร้อนเช่นเคย ขณะที่นางกำลังจะถอดชิ้นสุดท้าย นางก็นึกได้ว่าท่านอาจารย์ของนางยังอยู่ข้าง ๆ นางจึงอดกลั้นทันที
สิ่งนี้ทำให้ เย่ชิวผิดหวังไม่น้อย เฮ้อ… เกือบแล้ว ขาดอีกเพียงเล็กน้อยข้าก็จะพบสวรรค์แล้ว
จ้าวว่านเอ๋อเริ่มดูดซับกระดูกสมบัติ ในเวลาไม่ถึงอึดใจ กระดูกศักดิ์สิทธิ์ที่ลุกเป็นไฟก็ได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างช้า ๆ ในส่วนลึกของทะเลแห่งจิจใต้สำนึกของนาง
นี่เป็นกระดูกศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างขึ้นหลังจากดูดซับกระดูกทายาทเผ่าพันธุ์โบราณและรวมเข้ากับสายเลือดดั้งเดิมของนาง เดิมทีนางมีสายเลือดราชวงศ์ ดังนั้นสายเลือดของนางจึงสูงส่งโดยธรรมชาติ นี่ก็เหมือนกับการหลอมรวมกระดูกสมบัติเข้ากับร่างกายของนาง
การผสมผสานของทั้งสองสิ่งนี้ทำให้เกิดกระดูกศักดิ์สิทธิ์ใหม่ ในแง่ของระดับ มันไม่ได้อ่อนแอไปกว่ากระดูกเหมันต์เร้นลับของหลินชิงจู้เลยแม้แต่น้อย
ทันทีที่กระดูกศักดิ์สิทธิ์ปรากฏ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเย่ชิวในทันที เขาพอใจเป็นอย่างมาก
“อืม…” ด้วยเสียงครวญครางเบา ๆ สีหน้าของจ้าวว่านเอ๋อดูเจ็บปวดอย่างมาก นางรู้สึกคันอย่างหาที่เปรียบไม่ได้เมื่อกระดูกศักดิ์สิทธิ์ของนางปรากฏออกมาจากร่างกายของนาง
ในช่วงเวลาแห่งความเลินเล่อนี้เอง ภาพที่เร้าอารมณ์ก็ได้ปรากฏขึ้น
“โอ้… ข้าคิดว่าข้าเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็นเข้าแล้ว หัวใจเต๋าของข้าไม่มั่นคงแล้ว”