ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 26 เจ้ายินดีรับข้าเป็นอาจารย์ของเจ้าหรือไม่
ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 26 เจ้ายินดีรับข้าเป็นอาจารย์ของเจ้าหรือไม่
ที่นางหนีออกมาครั้งนี้และพาเสี่ยวหลิงมาด้วยเพราะนางไม่มีองค์รักษ์อยู่กับนางด้วยซ้ำ ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น นางจึงสวมผ้าคลุมปืเหน้าเพื่อปกปิดใบหน้าของตนไว้ ไม่เช่นนั้นนางอาจจะไม่สามารถก้าวออกจากร้านอาหารไม่ได้ด้วยซ้ำหากความงามอันน่าหลงใหลของนางถูกเปิดเผย
ครึ่งชั่วยามต่อมา (1 ชั่วโมง)
บนที่ราบ รถม้าของจ้าวว่านเอ๋อหยุดอยู่ข้างถนน เสี่ยวหลิงมองไปยังดินแดนรกร้างด้วยความหวาดกลัว “ข้าคิดว่าเรามีปัญหาแล้วองค์หญิง”
จ้าวว่านเอ๋อโผล่หัวออกมาจากข้างในและมองไปยังส่วนลึกของดินแดนรกร้าง นางพบเห็นดวงตาสีแดงเลือดคู่หนึ่งจ้องมองกลับมา
“เหตุใดจึงมีสัตว์อสูรอยู่ที่นี่” จ้าวว่านเอ๋อสับสนเป็นอย่างมาก สำนักเซียนต่าง ๆ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์และยอดฝีมือจากทั้งสามราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่ต่างก็ออกมากวาดล้างดินแดนรกร้างตะวันออกแล้ว
พูดตามเหตุผลแล้ว มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีสัตว์อสูรหลงเหลืออยู่ ในเมื่อมียอดฝีมือมากมายคอยกวาดล้างพวกมันออกไป
พวกนางไม่เคยพบเหตุการณ์เช่นนี้ระหว่างทางมาที่นี่มาก่อนและรู้สึกลนลานทันที นางไม่ได้นำองค์รักษ์มาด้วยในครั้งนี้ นางมีเพียงเสี่ยวหลิงที่อยู่เคียงข้างนาง อย่างไรก็ตาม เสี่ยวหลิงอยู่เพียงขอบเขตฝึกปราณขั้นที่ 9 เท่านั้น
สำหรับนาง นางยังไม่ได้เริ่มการฝึกฝน เพราะนางถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแต่งงานตั้งแต่แรกเริ่ม นางจึงไม่มีโอกาสฝึกฝนเลยแม้แต่น้อย มีเพียงพี่น้องของนางเท่านั้นที่มีโอกาสนั้น
นี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดนางจึงต้องการหาสำนักเซียนหรือดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อเพิ่มกำลังของตน
“อสรพิษแดง!”
อสรพิษแดงแลบลิ้นท่ามกลางความทุรกันดารขณะที่มันจ้องมองอย่างเย็นชา
หัวใจของจ้าวว่านเอ๋อสั่นสะท้าน นางรู้ว่าสิ่งต่าง ๆ เริ่มไม่ได้การ
“องค์หญิง วิ่งไป! ข้าจะหยุดมันเอง” เสี่ยวหลิงกล่าวอย่างหนักแน่น แม้ว่านางจะรู้ว่าตนไม่สามารถเอาชนะอสรพิษแดงได้ แต่นางก็ยังต้องปกป้ององค์หญิง นับตั้งแต่ครอบครัวของนางส่งนางไปยังพระราชวัง นางก็ได้ติดตามจ้าวว่านเอ๋อ จ้าวว่านเอ๋อก็ปฏิบัติต่อนางราวกับน้องสาวคอยปกป้องนางตลอดมา
นางรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก และนี่ก็ถึงเวลาแล้วที่นางจะต้องตอบแทนองค์หญิง แล้วนางจะถอยกลับได้อย่างไรกัน
“องค์หญิง รีบไปเสียเถิด!” เสี่ยวหลิงหันกลับมาและพูดกับจ้าวว่านเอ๋อ ขณะที่นางดึงกระบี่ออกจากเอวของนางและออกจากรถม้า
อย่างไรก็ตาม จ้าวว่านเอ๋อไม่ได้ขยับตัวและเพียงแค่ยิ้มจาง ๆ ราวกับว่านางกำลังจะยอมรับความจริงอันขมขื่น นางพูดด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายว่า “เราหนีไปไม่ได้! อสรพิษแดงมีพิษร้ายแรงและรวดเร็วมาก เหยื่อที่เป็นเป้าหมายจะหลบหนีไปได้อย่างไรกัน”
นางไม่เสียใจเลยแม้แต่น้อย แทนที่จะกลับไปยังพระราชวังอันเหน็บหนาวและยอมจำนนต่อชะตากรรมของนางที่จะต้องแต่งงาน บางทีความตายอาจเป็นการปลดปล่อยที่ดีกว่า
“เสี่ยวหลิง เจ้าไปเถอะ ไม่ต้องห่วงข้า”
เสี่ยวหลิงอยู่ในขอบเขตความฝึกปราณขั้นที่ 9 หากนางวิ่งหนีด้วยความเร็วเต็มที่ นางจะมีโอกาสรอด อย่างไรก็ตาม มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับจ้าวว่านเอ๋อ นางตัดสินใจแล้วว่านางจะหยุดยั้งมันและพยายามช่วยชีวิตเสี่ยวหลิง การทำเช่นนี้ไม่ได้ไร้ประโยชน์ต่อคนที่ติดตามนางเลยแม้แต่น้อย
“ไม่ได้ องค์หญิง! ถึงข้าจะตายข้าก็จะไม่ทิ้งท่าน” เสี่ยวหลิงสูญเสียการควบคุมอารมณ์ของนาง กระบี่ในมือของนางสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว แต่นางกลับยืนอยู่ข้างหน้ามัน
ฟุ่บ! พงหญ้าส่งเสียงซ่อกแซ่ก และอสรพิษแดงก็เคลื่อนตัวพุ่งเข้าหาอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของเสี่ยวหลิงเคร่งขรึม นางกำลังจะวาดกระบี่ ฉับพลันก็มีแสงสีขาวส่องมาจากระยะไกลและพุ่งเข้าใส่อสรพิษแดงอย่างแม่นยำ
“นี่...” จ้าวว่านเอ๋อกำลังจะหลับตาและรอความตาย ทันใดนั้นนางก็สังเกตเห็นร่างสีขาวปรากฏกายขึ้นในระยะไกลและพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
เมื่อนางมองเข้าไปใกล้ นางก็รู้ว่าแท้จริงแล้วนั่นคือสาวงาม ความงามของคนผู้นั้นไม่ได้ด้อยไปกว่านางเลย
ดวงตาของจ้าวว่านเอ๋อสว่างขึ้นทันที สาวงามผู้นี้มีกลิ่นอายที่บริสุทธิ์และเย็นชา ซึ่งแตกต่างจากกลิ่นอายของนางอย่างสิ้นเชิง
สตรีผู้นั้นมาพร้อมกระบี่ในมืออีกข้างพร้อมกับอีกมือที่ไพล่หลัง นางยืนอย่างองอาจราวกับเซียนกระบี่หญิง
จ้าวว่านเอ๋ออ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ
“ดูเหมือนว่าเราจะไม่ต้องตายแล้ว…” จ้าวว่านเอ๋อยิ้ม คงมีศิษย์จากสำนักเซียนอยู่ใกล้ ๆ บางทีพวกเขาอาจรู้สึกถึงกลิ่นอายของสัตว์อสูรและรีบมายังที่แห่งนี้
หลังจากถูกโจมตีด้วยปราณกระบี่ อสรพิษแดงก็ส่งเสียงขู่ฟ่อ แสดงความโกรธเกรี้ยวของมัน ขณะที่มันจ้องมองไปยังหลินชิงจู้ ลูกบอลไฟก็พุ่งออกมาจากปากของมัน
หลินชิงจู้ยังคงไม่ตื่นตระหนก นางบิดกระบี่เมฆาม่วงในมือของนางจนเกิดภาพดอกบัวขึ้นมาทำการปิดกั้นเปลวไฟไว้ได้อย่างง่ายดาย
อสรพิษแดงหันหลังกลับและคลานเข้าไปในพงหญ้าอย่างว่องไว ต้องการที่จะหลบหนีไปทันทีหลังจากที่เห็นว่าการลอบโจมตีล้มเหลว อย่างไรก็ตาม หลินชิงจู้จะปล่อยให้มันจากไปอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร เพราะนี่เป็นคู่ต่อสู้คนแรกของนางตั้งแต่นางเริ่มฝึกฝน มันเป็นการทดสอบที่อาจารย์ของนางตั้งไว้สำหรับนาง
“เจ้ากำลังจะไปไหนกัน” ด้วยเสียงตะโกนอย่างเย็นชา หลินชิงจู้พุ่งไปข้างหน้า ปราณกระบี่ได้สะท้อนออกมาเมื่อคมกระบี่ปะทะกับอสรพิษแดง
ในเวลาเดียวกัน มีอีกร่างหนึ่งปรากฏขึ้นและได้มาถึงข้างรถม้าทันที เฝ้าดูการต่อสู้ด้วยความสนใจ
จ้าวว่านเอ๋อมจ้างองเขาด้วยความประหลาดใจและทันใดนั้นนางก็นึกถึงบางสิ่ง สวมชุดสีขาวพร้อมกับสาวงามที่ไม่มีใครเทียบได้ มีจี้หยกและหยกวิญญาณอยู่ที่เอวของเขา อาจจะเป็น... เป็นเขาจริง ๆ หรือ โลกนี้ไม่กลมเกินไปหรือ พวกนางเพิ่งคุยกันเรื่องเย่ชิวเมื่อครู่นี้ แต่ตอนนี้พวกเขาได้พบกันแล้วหรือ
“ชายผู้นี้ ท่านอาจเป็น เย่ชิว ปรมาจารย์แห่งขุนเขาเมฆาม่วงจากสำนักเยียวยาสวรรค์ใช่หรือไม่” จ้าวว่านเอ๋อถอดผ้าคลุมหน้าออกอย่างสง่างามพร้อมส่งยิ้มและถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
เย่ชิวหันศีรษะไปมองนางแล้วถามว่า “เจ้าเคยได้ยินเรื่องราวของข้าหรือ”
‘เป็นเขาจริง ๆ’ จ้าวว่านเอ๋อแอบดีใจ นางแค่คาดเดา นางไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะเป็นเย่ชิวจริงๆ
จ้าวว่านเอ๋อมองไปยังเย่ชิวอย่างใกล้ชิดและตกใจมากยิ่งขึ้น เขาเป็นเหมือนอย่างที่ข่าวลือกล่าว เขาหล่อเหลาและมีกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดา ราวกับเซียนจากสวรรค์ ไร้เทียมทานและเป็นอิสระจากทุกสิ่ง
จ้าวว่านเอ๋อยิ้มอย่างรู้เท่าทัน นางจับผมของนางและกล่าวว่า “มีข่าวลือว่า ปรมาจารย์แห่งขุนเขาเมฆาม่วงจากสำนักเยียวยาสวรรค์เป็นชายที่อายุน้อยมาก เขาหล่อเหลาและมีกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดา”
“ครั้งหนึ่งเขาทำโจมตียอดฝีมือในขอบเขตชีวาเร้นลับสองคนจนบาดเจ็บสาหัสด้วยการลงกระบี่เพียงครั้งเดียว จากนั้นก็สังหารวานรยักษ์และเอากระดูกสมบัติของมันไป
“อาจกล่าวได้ว่าเขาได้ทำให้ทุกคนตกตะลึง ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักไปทั่วดินแดนรกร้าง”
“ข้าชื่นชมท่านมานานแล้วและข้าก็คิดอยู่เสมอว่าเมื่อไหร่กันที่ข้าจะได้เห็นท่านด้วยตาเปล่าและเป็นสักขีพยานในเกียรติของท่าน”
เย่ชิวจ้องอย่างว่างเปล่า ข่าวสมัยนี้มันเร็วขนาดนี้เลยหรือ ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน เรื่องนี้ก็ลามมาถึงที่นี่แล้ว
“อืม แล้วเจ้ารู้สึกยังไงบ้างเมื่อเจอข้าแล้ว” เย่ชิวกล่าวอย่างใจเย็น เขาไม่ได้เปิดเผยร่องรอยแห่งความสุขใด ๆ ออกมา
จ้าวว่านเอ๋ออดไม่ได้ที่จะมองเขาในมุมที่ต่างออกไป คนปกติจะต้องแอบดีใจที่ได้รับคำชมเช่นนี้ แต่เย่ชิวกลับไม่เป็นเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่าเขามีจิตใจที่สงบมั่นคงยิ่ง
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ หัวใจของจ้าวว่านเอ๋อก็สั่นสะท้าน นี่ไม่ใช่อาจารย์ในอุดมคติที่นางตามหาหรอกหรือ
นางได้เห็นยอดฝีมือมามากมายในพระราชวัง อย่างไรก็ตาม นางให้ความสำคัญกับธรรมชาติของมนุษย์มากกว่า ดังนั้นนางจึงไม่เคยรับคนอื่นเป็นอาจารย์ ตอนที่นางเห็น เย่ชิวนางก็มีความคิดที่จะฝากตัวเป็นศิษย์ของเย่ชิวแล้ว
จ้าวว่านเอ๋อกระพริบตาของนางและพูดช้า ๆ “ในความคิดของข้า มันเป็นดั่งคำกล่าว ช่างน่าทึ่งยิ่งนัก…
“ผู้อาวุโส ท่านมีความตั้งใจที่จะรับศิษย์หรือไม่”
เย่ชิวตกตะลึง เขาหันกลับมาและมองเข้าไปในดวงตาของจ้าวว่านเอ๋ออย่างจริงจัง
“เจ้ายินดีรับข้าเป็นอาจารย์ของเจ้าหรือไม่”
“ศิษย์ยินดี” จ้าวว่านเอ๋อยิ้มอย่างอ่อนโยน นางเคยไปเกือบทุกสำนักเซียนและดินแดนศักดิ์สิทธิ์มากมาย
อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดก็ไม่มีใครที่นางพอใจ ในตอนแรกนางยังคงวางแผนที่จะตรวจสอบสำนักเยียวยาสวรรค์ สุดท้าย หากพวกนางยังไม่สามารถหาอาจารย์ที่นางพอใจได้ นางก็คงต้องสุ่มเลือกสักคน
ทว่านางกลับบังเอิญเจอบุคคลที่พึงพอใจเสียก่อน
เย่ชิวจ้องมองนางอย่างจริงจัง สตรีคนนี้สวยโดยธรรมชาติและมีบุคลิกที่อ่อนโยน สง่างาม ในบางแง่มุม นางนั้นเหนือกว่าหลินชิงจู้เสียด้วยซ้ำ พรสวรรค์ของนางก็ไม่ได้เลวเลย ปรับแก้เพียงเล็กน้อยก็ใช้ได้แล้ว
เย่ชิวกล่าวเบา ๆ “เอาล่ะ! แม้ว่าพรสวรรค์ของเจ้าจะอยู่ในระดับปานกลาง แต่ก็ใช่ว่าจะสอนไม่ได้”
จ้าวว่านเอ๋อรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง นางนึกถึงบางอย่างและถามด้วยความสงสัย “ท่านจะไม่ถามเกี่ยวกับภูมิหลังของข้าหรือ” นางรู้สึกสับสนมาก เย่ชิวรับศิษย์คนหนึ่งเข้ามา ดังนั้นเหตุใดเขาจึงไม่ถามเกี่ยวกับภูมิหลังของศิษย์ ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่สนใจเกี่ยวกับพรสวรรค์หรือ
เย่ชิวกล่าวว่า “เมื่อข้ารับศิษย์ ข้าไม่เคยดูภูมิหลัง ข้ามองแต่โชคชะตา แม้ว่าอีกฝ่ายจะมาจากภูมิหลังที่ต่ำต้อย แต่ข้าก็ยังจะสอนพวกเขาหากพวกเขามีใจที่จะเรียนรู้”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ จ้าวว่านเอ๋อก็รู้สึกชื่นชมเย่ชิวมากยิ่งขึ้น
ระหว่างทาง นางได้เห็นนิสัยของยอดฝีมือหลายคน คนเหล่านั้นให้ความสำคัญกับภูมิหลังหรือพรสวรรค์ของศิษย์เป็นอย่างมาก มีเพียงเย่ชิวเท่านั้นที่ไม่สนใจสองสิ่งนี้
จ้าวว่านเอ๋อตัดสินใจทันทีว่านางจะต้องรับชายคนนี้เป็นอาจารย์ของนาง
“ศิษย์จ้าวว่านเอ๋อคำนับท่านอาจารย์” จ้าวว่านเอ๋อรีบทำความเคารพทันทีกลัวว่า เย่ชิวจะเปลี่ยนใจ
แม้แต่เสี่ยวหลิงก็ยังประหลาดใจ นางรู้จักองค์หญิงของนางเป็นอย่างดี ทุกสิ่งที่นางทำนั้นล้วนผ่านการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นองค์หญิงรีบเร่บคำนับเช่นนี้
“เอาล่ะ ลุกขึ้น!” เย่ชิวแอบดีใจและพูดอย่างใจเย็น
เขาต้องการที่จะรับศิษย์คนอื่นมานานแล้วเช่นกัน ท้ายที่สุดการพึ่งพาหลินชิงจู้เพียงคนเดียวเพื่อใช้ระบบจะเป็นการสิ้นเปลืองเกินไป
ข้าไม่ได้คาดหวังเลยว่าข้าจะได้ศิษย์โดยไม่ต้องทำอะไร ไม่เลว ไม่เลว โชคของข้าช่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ