ตอนที่ 12 หนูเบญจธาตุค้นสมบัติ
“ปิงเอ๋อ! เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน? หมายความว่าไงที่ว่า”พวกเขากลัวว่าเราจะแข็งแกร่งกว่าพวกเขา?“เราเป็นตระกูลๆหนึ่ง ดังนั้นเราต้องร่วมมือและกลมเกลียวกันไว้” หญิงงามจ้องมองบุตรสาวนาง
อย่างไรก็ตามนางเกรงว่าเย่ว์หยางจะไม่รู้ว่าหุ่นหนูเบญจธาตุสำคัญอย่างไรจนหุนหันทำสัญญากับมัน
นางเข้ามาใกล้ วางมือที่ขาวปานหิมะบนบ่าของเย่ว์หยางเตือนว่า “ซานเอ๋อ! ปล่อยเรื่องหนูเบญจธาตุเอาไว้ก่อน แล้วค่อยค้นคว้าอย่างระมัดระวัง เมื่อเข้าใจความสามารถของพวกมันแล้วค่อยทำสัญญากับพวกมันภายหลังก็ได้ ลุงจง! ช่วยกลับไปเรียนประมุขตระกูลเย่ว์ว่า ได้ส่งรางวัลนี้ให้สะใภ้แห่งตระกูลสาขาที่สี่และซานเอ๋อแล้ว ถ้าซานเอ๋อมีชื่อเสียงในภายภาคหน้า เขาจะตอบแทนความเมตตาครั้งนี้แน่นอน เขาจะไม่ยอมให้ความทุ่มเทที่ท่านประมุขตระกูลมอบให้เขาต้องสูญเปล่าแน่นอน”
พอได้ฟังคำของหญิงงามแล้ว บ่าวชราชื่อลุงจงผงกศีรษะรับคำมั่นว่าจะทำตามที่นางกล่าว จากนั้นโค้งคำนับแสดงความเคารพพลางหยิบตั๋วแลกเงินลงชื่อเป็นลวดลายเงินออกมาฉบับหนึ่ง
เงินนี้เป็นรางวัลของตระกูลเย่ว์ จากเหล่าผู้อาวุโสมอบให้สมาชิกตระกูลทุกคนที่ทำสัญญากับคัมภีร์อัญเชิญได้สำเร็จ
ด้วยตั๋วแลกเงินฉบับนี้ เย่ว์หยางสามารถเอาไปที่ธนาคารในเมืองใหญ่เพื่อถอนเป็นทองมูลค่า 100 เหรียญได้
ทอง 100 เหรียญ นั่นไม่ใช่จำนวนเงินน้อยๆ
เนื่องจากเขาเห็นว่าได้รับเงินสนับสนุน ปกติแล้วเย่ว์หยางคงรับเอาไว้โดยไม่มีความรู้สึกแย่แต่อย่างใด ทว่าเย่ว์ปิงรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม นางรู้ว่ารางวัลอย่างเป็นทางการก็คือ 100 เหรียญทอง แต่ในความเป็นจริง เมื่อสมาชิกจากตระกูลสาขาแรกกับสาขารองทำสัญญากับคัมภีร์ได้สำเร็จ พวกเขาจะได้รับอย่างน้อย 150 เหรียญทอง บางครั้งอาจสูงถึง 200 เหรียญทอง แม้แต่นางเองยังได้รับ 120 เหรียญทอง ตอนนี้ถึงรอบพี่สามแล้ว ทำไมเขาถึงได้รับทองน้อยที่สุด คือ 100 เหรียญทอง?
ทำอย่างนี้ เป็นการแสดงความรังเกียจเขาไม่ใช่หรือ?
“น้องเจ็ด! อย่าไปถือสาเลย ได้รางวัลเป็นทอง 100 เหรียญก็ไม่เลวเลยนะ” เย่ว์หยางคิดว่าเนื่องจากเขาไม่ใช่เจ้าคนผู้น่าสงสารตั้งแต่แรกแล้ว เขาควรจะพอใจยอมรับเอาไว้ด้วยฐานะจอมปลอมของเขา
เกี่ยวกับเรื่องคนของคนในตระกูลปฏิบัติอย่างเย็นชาต่อสะใภ้ผู้มีจิตใจอ่อนโยนและมีคุณธรรมอย่างนาง เย่ว์หยางรู้สึกว่าเขาควรจะไปที่ปราสาทและสั่งสอนเหล่าคนโอหังนั้นสักวันแน่ ทันทีที่เขาได้รับทักษะของเขามาทั้งหมด เขาจะแก้แค้นเรื่องขุ่นข้องใจทั้งหมดที่อาสะใภ้สี่ได้รับมาตลอดหลายปีนี้ และเพื่อทดแทนความรักความเมตตาที่นางแสดงต่อเขามาตลอด
แม้ว่าเขาจะไม่ใช่เจ้าคนผู้น่าสงสารตัวจริง แต่ลึกๆ แล้วเขารู้สึกได้ถึงความรักที่นางมีต่อเจ้าคนผู้น่าสงสาร
แม้ว่าเขาไม่ได้พูดออกมา แต่เย่ว์หยางวางแผนล้างแค้นความทุกข์ใจที่หญิงงามได้รับไว้แล้ว
หลังจากลุงจงบ่าวชรากลับไปแล้ว เย่ว์ปิงเตือนเย่ว์หยางอีกครั้ง นางบอกเขาไม่ให้ทำสัญญากับหุ่นหนูเบญจธาตุภายใต้เงื่อนไขใดๆ ทั้งนั้น สัตว์อสูรเหล่านั้นเป็นแค่ขยะที่มีแต่จะเปลืองพื้นที่หน้าคัมภีร์อัญเชิญชั้นทองแดง
เปลือกนอกเย่ว์หยางแสร้งพยักหน้า แต่กลับแอบขำอยู่ในใจ
หุ่นหนูเบญจธาตุ สิ่งประดิษฐ์ชิ้นหนึ่งของภูตอัจฉริยะ บางทีอาจเป็นอสูรหุ่นที่มหัศจรรย์ที่สุดที่ท่านอัจฉริยะเคยสร้าง แล้วมันจะกลายเป็นขยะไปได้อย่างไร? นอกจากนี้ หุ่นหนูเบญจธาตุ สามารถรวมกันอยู่ในหน้าเดียวกันของคัมภีร์ชั้นทองแดงก็ได้ อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ใดรู้จักความสามารถที่ซ่อนเร้นของหุ่นหนูเบญจธาตุ ดังนั้นพวกเขาคงทำได้แต่เพียงแยกหนูเหล่านี้ออกมาเป็น 5 ร่างที่แตกต่างกัน การจับพวกมันแยกออกเป็น 5 ร่างแตกต่างกัน เป็นเรื่องโง่ที่สุดที่ทำต่อหุ่นอสูรชนิดนี้
อันที่จริงหุ่นหนูเบญจธาตุนี้ มีชื่อที่แท้จริงต่างจากนี้
ชื่อจริงดั้งเดิมของมันก็คือ “หนูเบญจธาตุค้นสมบัติ” มันมีความสามารถในการแสวงหาและค้นเจอแร่ทุกชนิด สินค้า สิ่งประดิษฐ์ และกับดัก แม้กระทั่งสนามพลังชนิดต่างๆ
ตัวอย่างเช่น ถ้ามีเหมืองทองแห่งหนึ่ง พวกมันจะสามารถตรวจสอบได้ภายในพื้นที่ 100 ฟุต
อีกตัวอย่างหนึ่ง ถ้ามีสมบัติหรือเทพศาสตราวุธฝังไว้ใต้ดิน พวกมันจะตรวจสอบจนเจอได้
ที่สำคัญที่สุด หนูเบญจธาตุสามารถใช้ความสามารถของมันในสภาพพื้นที่และสถานการณ์ใดๆ ก็ได้ ตราบใดที่ยังมีองค์ประกอบของไม้ น้ำ ไฟ ดินและโลหะ ไม่สำคัญว่าจะเป็นลาวาหลอมละลายหรือน้ำที่จับตัวเป็นน้ำแข็ง หนูเบญจธาตุค้นสมบัติจะมีเครื่องจักรพิเศษอยู่ในตัวเพื่อรับสถานการณ์อย่างนั้น ขณะเดียวกัน ในฐานะที่มันทั้งหมดเป็นสัตว์อสูรสายหุ่นเชิดระดับ 1 พวกมันจะมีพลังโจมตีและพลังชีวิตเป็น 0 ดังนั้น แม้เจอสัตว์อสูรนักสู้ พวกมันจะไม่ถูกทำร้าย
อาจกล่าวได้ว่า หนู 5 ตัวนี้เป็นสมบัติล้ำค่ามีไว้เพื่อล่าสมบัติโดยเฉพาะ
ในทางกลับกัน แม้ในระหว่างสัตว์อสูรสู้กัน พวกมันยังคงค้นหากับดักลับและสนามพลังป้องกันได้
ถ้าพวกมันไม่สุดยอดจริงๆ ทำไมภูตอัจฉริยะเย่ว์เจียถึงรักพวกมันนักเล่า?
เย่ว์หยางถอนหายใจ อนุชนรุ่นหลังของตระกูลไม่รู้จักคุณค่าสมบัติดังกล่าวและปฏิบัติต่อพวกมันเหมือนขยะมาหลายร้อยปี เป็นเรื่องตลกที่น่าเศร้าเสียจริง
แน่นอนว่า แม้เย่ว์หยางจะได้รู้ความลับของหนูเบญจธาตุค้นสมบัติก็จริง แต่เขาไม่เคยพูดออกมา เขาได้แต่ยิ้มและผงกศีรษะสัญญากับเย่ว์ปิงว่าจะไม่ทำสัญญากับหนูเบญจธาตุค้นสมบัติ
เย่ว์หยางรอจนหญิงงามและเย่ว์ปิงออกไปแล้ว จากนั้นจึงรีบทำสัญญากับหนูเบญจธาตุค้นสมบัติทันที พอแสงสีทองแว่บออกมา หนูตัวเล็ก 5 ตัวมีสีต่างกัน 5 สีปรากฏอยู่ในหน้าที่ 4 ของคัมภีร์สีทองแดง ในกลางหน้าธาตุทั้ง 5 คือโลหะ, ไม้, น้ำ, ไฟ และดินก่อกันเป็นรูปวงกลมพอดิบพอดี ในขอบเขตวงกลมนี้ มีภาพประกอบเป็นรูปหนูตัวเล็ก 5 ตัวสวยงามทั้งหมด หางของมันเกี่ยวเชื่อมกันเป็นรูปวงกลมด้านนอก
“เอาล่ะ, ลองดูซิว่า จะมีสมบัติอะไรฝังอยู่แถวๆ นี้บ้าง…” เมื่อเย่ว์หยางลองเรียกหนูทั้ง 5 ออกมา เขาพบว่าพวกมันต้องถูกเรียกออกมาทั้งหมดด้วยกัน ในวันหนึ่งๆ พวกมันถูกเรียกได้โดยไม่จำกัดครั้ง
แสงสีทองวาบออกและหุ่นหนูตัวเล็ก 5 ตัวปรากฏออกมา ทั้งหมดมีสีไม่เหมือนกัน
จากนั้นทุกตัวก็มารวมกันในที่เฉพาะในห้อง ส่งเสียงร้องจี๊ดๆ
พื้นที่ว่างในคัมภีร์หน้า 4 มีตัวอักษรปรากฏออกมาแถวหนึ่ง “ตรวจพบทอง, จำนวน : เล็กน้อย, ตรวจพบหินประเภทหยก ยอดรวมพลังที่มีอยู่ในวัตถุ – มหาศาล
เย่ว์หยางดีใจเหลือจะกล่าว
เขามักสงสัยเสมอว่าเจ้าคนผู้น่าสงสารที่ฆ่าตัวตายไปซ่อนสมบัติมีค่าไว้ เพราะเขาหาทองในห้องนี้ไม่เจอแม้แต่ชิ้นเดียว คนที่สงสารคงไม่ได้จมไปกับสิ่งที่เขาเก็บไว้ทั้งหมดใช่ไหม? ของที่เขาเก็บไว้ทั้งหมดควรจะอยู่ในที่แห่งใดแห่งหนึ่งในบ้านนี้ แต่เย่ว์หยางไม่รู้ว่าเขาเก็บซ่อนเอาไว้ที่ไหน เขาคงหามันไม่พบอีกแล้วหลังจากหามาได้ครึ่งเดือน ตอนนี้ทุกอย่างคงเป็นไปได้ดี ทันทีที่หนูเบญจธาตุค้นสมบัติถูกส่งออกไป เขาจึงได้เจอของมีค่าของคนน่าสงสารผู้นี้ แต่สิ่งที่ทำให้เย่ว์หยางสบายใจขึ้นก็คือ หนูเหล่านี้มีความสามารถในการระบุปริมาณและอธิบายสภาพทั่วไปของสิ่งที่พวกมันพบ ความสามารถของพวกมันไม่ง่ายที่จะหาสมบัติลึกลับ
ด้วยความสามารถของสัตว์อสูรตัวน้อย 5 ตัวนี้ วันล่าสมบัติของเขาก็จะจบลงอย่างรวดเร็ว
เย่ว์หยางขุดหีบไม้ที่ถูกซ่อนอยู่ภายใต้ที่ๆ หนูปรากฏอยู่ พอเปิดดูหีบ แน่นอนว่าเขาเจอมรดกตกทอดทั้งหมดของเจ้าคนผู้น่าสงสารนี้
ของทั้งหมดก็คือ เหรียญทอง 15, เหรียญเงิน 62 รวมทั้งมีเหรียญทองแดงไม่กี่ร้อยอยู่ในกระเป๋าเล็ก นอกจากนั้น ยังมีของเล่น เสื้อผ้าสมัยเด็กของเจ้าคนที่น่าสงสาร และสมุดบันทึกที่พ่อแม่เขาทิ้งไว้ให้ นอกจากนี้ยังมีสร้อยคอธรรมดาพร้อมจี้หยกดำเส้นหนึ่ง
ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะความสามารถในการประเมินของหนูเบญจธาตุค้นสมบัติ เย่ว์หยางไม่มีทางเชื่อว่าสร้อยคอหยกที่ดูธรรมดานี้จะเป็นของประดิษฐ์ที่มีพลังมหาศาล
แม้แต่ด้วยทักษะตาทิพย์ของเย่ว์หยาง เขาก็ยังไม่พบข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับสร้อยคอนี้
“นี่คงจะเป็นมรดกที่พ่อแม่เจ้าคนที่น่าสงสารหลงเหลือให้เขา เป็นเรื่องน่าเสียดายที่พวกเขาตายตอนอายุไม่มากทั้งยังไม่ได้อธิบายถึงพลังของมันแก่เจ้าเด็กที่น่าสงสาร, เด็กที่สงสารต้องไม่รู้ว่าจี้หยกดำนี้เป็นสิ่งประดิษฐ์อย่างหนึ่ง, กลับทำเหมือนกับมันเป็นขยะโดยเก็บรวมไว้กับของเล่นและเสื้อผ้าเก่า ดีล่ะ ตอนนี้มันเป็นของเราแล้ว!” เย่ว์หยางกังวลมาตลอดว่าเขาไม่มีอะไรเป็นเครื่องพิสูจน์ยืนยันว่าเขาเป็นเจ้าเด็กผู้น่าสงสารนั้น ตอนนี้เขามีจี้หยกดำเป็นเครื่องยืนยันแล้ว จึงสวมมันไว้ที่คอทันที
พอเก็บทองและบันทึกไว้แล้ว เขาเหลือของเล่นและชุดเก่าๆ ไว้ในกล่องจากนั้นฝังไว้ใต้พื้นอีกครั้ง
จากนั้นมาพลิกดูบันทึกของพ่อแม่เจ้าเด็กที่น่าสงสาร มีแต่คำพูดโลกๆ ว่าพวกเขาคิดถึงบุตรชายมากแค่ไหน และชีวิตของพวกเขาที่เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง อย่างไรก็ตาม ด้วยทักษะตาทิพย์ของเย่ว์หยาง เขาพอสรุปได้ว่าบันทึกทั้ง 2 นี้ไม่ง่ายอย่างที่เห็นนั้น
บางทีพวกเขาคงใช้ยาบางอย่าง หรือกรรมวิธีบางอย่างบันทึกข้อมูลที่สำคัญไว้
เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ทักษะตาทิพย์ของเย่ว์หยางยังมีระดับต่ำเกินไปที่จะมองทะลุข้อมูลที่ปกปิดนั้น
“ขอบคุณผู้อาวุโสทั้งสอง ข้าจะหวงแหนผลงานของท่านไว้อย่างดี” เจ้าคนหน้าหนากอดบันทึกทั้ง 2 เล่มแนบอกไว้ ตอนนี้เขาถือตัวเองว่าเป็นเหมือนบุตรชายของทั้งสองไปแล้ว
พอครอบครองสมบัติของเจ้าเด็กที่น่าสงสารแล้ว เย่ว์หยางอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
เขานอนหลับสนิทแล้วก็ฝันหวาน
ในฝันหวาน เทพธิดากระบี่ที่เขาคิดถึงทั้งวันทั้งคืนปรากฏตัวอย่างลึกลับ หลังจากที่หายไป 2 - 3 วัน
********************************