วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0105
บทที่ 33 บ้านที่จากไปค่อนข้างนาน (3)
* * *
“อุก… เวียนหัว กลิ่นแรงชะมัด”
เหล้าทะเลทรายสามขวดที่ได้รับมาจากฮามูดีถูกวางไว้บนโต๊ะ
กล่าวกันว่าเป็นเหล้าที่กลั่นจากนมสัตว์ที่คล้ายวาฬทะเลทราย และเนื่องจากเดาได้ว่าชาโซฮีคงอยากลองชิม ฉันจึงหยิบติดมือมาสามขวด
เธอชอบเหล้าถึงเพียงนั้น
“คิดว่ายังไง? พอจะดื่มได้ไหม”
“หวาน… หวานมาก เฮะเฮะ!”
“รสเหมือนโยเกิร์ต แต่เป็นสีใส”
ซอจีอายกแก้วพลางจ้องเข้าไป เหล้าด้านในใสเหมือนแก้ว
เป็นข้อเท็จจริงที่ฉันก็เพิ่งทราบ เพราะตอนนั้นเคยดื่มในแก้วสีทึบ และบรรยากาศในงานเลี้ยงทะเลทรายก็มืดมาก
“ในฐานะเอลฟ์ เธอไม่เคยเห็นเหล้าแบบนี้มาก่อน?”
“ข้าไม่เคยไปทะเลทราย”
ซอจีอาพูดพลางวางแก้วลง
จินซอยอนที่ฟังเงียบๆ มาสักพัก จ้องหน้าฉันด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ผิวคุณดำขึ้นมาก แต่ผิวเดิมก็ขาวเกินกว่าจะเป็นคนทำงานกลางแดด”
ฉันก้มมองมือตัวเอง มีร่องรอยของผิวเกรียมแดด คล้ายกับเพิ่งไปพักร้อนที่หาดทราย
ลิลี่ที่นั่งเรียบร้อยอยู่บนโซฟายังคงมีใบหน้าขาวเนียน
ขาวจนผิดธรรมชาติ ถึงจะไม่ได้ขาวเหมือนกระดาษก็เถอะ
มอบความรู้สึกแปลกประหลาด เป็นบรรยากาศที่แตกต่างจากมนุษย์ชัดเจน
ผิวขาวซีดนั่น ช่างเหมาะสมกับตำนานแวมไพร์ที่ห้ามโดนแดดเสียจริง
ระหว่างพวกเรากำลังสนทนา จินซอยอนเอาแต่จ้องหน้าฉันด้วยสายตาเหม่อลอย ในมือถืออัญมณีสีแดงที่ฉันส่งให้
“นี่คือหัวใจยักษ์?”
หญิงสาวถอนหายใจยาว ไม่ใช่ถอดหายใจแบบสมเพช แต่เป็นความอ่อนเพลียหลังจากฟังเรื่องราวที่ยากจะทำใจยอมรับ
“คิดไม่ถึงว่าที่รักจะจัดการกับยักษ์ได้จริงๆ”
ตอนแรกซอจีอาไม่เชื่อ คิดว่าฉันเข้าใจผิดและทึกทักเอาเองว่าสัตว์ประหลาดตัวใหญ่คือ ‘ยักษ์’ ของต่างโลก
ตามตำนานที่ซอจีอาเคยได้ยิน ยักษ์คือนิรันดร์ชน
ฉันต้องนำสิ่งนี้ออกมาแสดงจึงจะเชื่อ
“ได้ฆ่ายักษ์… ปลุกยักษ์ที่หลับใหลใต้ก้นทะเล และใช้เมล็ดพันธุ์ป่าเพื่อยกเมืองขึ้นมาบนโลก… ฟังยังไงก็น่าเหลือเชื่อ”
จินซอยอนเอาแต่ก้มมองอัญมณีในมือโดยไม่พูดอะไร คล้ายกับกำลังลุ่มหลงในมนตรา
— ตึกตัก
“เฮือก!”
ชาโซฮีที่ก้มมองหัวใจยักษ์ตามจินซอยอนสะดุ้งกะทันหัน
เศษเสี้ยวหัวใจยักษ์ยังคงเต้นอยู่
จินซอยอนมองดูสักพักก่อนจะค่อยๆ หันหน้ามาทางฉัน
“…ฉันอยากรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น คุณซอนฮูเห็นอะไรมาบ้าง ไปพบใครมาบ้าง… ฉันอยากรู้จริงๆ … ไม่ยุติธรรมเลยที่ฉันตามไปด้วยไม่ได้ ฉันไม่รู้ว่าจะบรรยายความรู้สึกอิจฉานี้อย่างไร เหมือนกับพวกเราอยู่คนละโลก”
ฉันแค่ยิ้ม
ถึงจะเห็นใจอีกฝ่าย แต่ความอิจฉาของเธอทำให้ฉันภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก
ฉันลุกขึ้นยืน
ลิลี่ที่กำลังนั่งเหม่อในสภาพหน้าแดง เมื่อเห็นฉันยืนจึงรีบมองมา
“ลิลี่ ถ้าเธอยังไหวจะอยู่ต่อก็ได้”
“แล้วเจ้า?”
“จะไปนอน”
“เห?”
ชาโซฮีบ่นอุบอิบ
“จะนอนแล้ว? ม่าย~ นายคือพระเอกของงานนะ… อึก”
“พระอาทิตย์ใกล้ขึ้นแล้ว ฉันต้องนอนกลางดินกินกลางทรายมาหลายวัน บางวันก็หนาวจนเกือบแข็งตาย*… เธอเองก็ดื่มเบาๆ แล้วรีบเข้านอน”
“ปลาค็อด*? ปลาค็อดเนี่ยนะ? นายรู้ไหมว่าฟันปลาค็อดแหลมแค่หนาย~ อึก…”
(‘ปลาค็อด’ กับ ‘แช่แข็ง’ เขียนและอ่านเหมือนกัน)
เมื่อเห็นชาโซฮีเมาแทบไม่ได้สติ ฉันทำได้เพียงถอนหายใจ
ขณะเดินขึ้นบันไดบ้าน ฉันหยุดฝีเท้าและหันกลับไปพูด
“จริงสิ คุณซอยอน”
“คะ?”
จินซอยอนที่กำลังจ้องหัวใจยักษ์ด้วยใบหน้าเหม่อลอย เงยหน้าขึ้น
“ฉันวางของขวัญไว้บนโต๊ะทำงาน”
“ของขวัญ?”
“ไปดูสิ”
ขณะเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง ฉันได้ยินเสียงฝีเท้าของจินซอยอน
“กล้อง! พระเจ้า! ใช่แล้ว! ฉันฝากเขาไว้นี่นา!”
ฉันอดไม่ได้ที่จะยิ้ม
เตียงประจำของฉันถูกนำไปวางไว้ในห้องนอน
หลังจากดำรงชีวิตในทะเลทรายนานกว่าสองเดือน ฉันไม่รู้ว่าจะอธิบายความพึงพอใจที่มีต่อเตียงสีขาวที่ถูกซักด้วยน้ำอุ่นอย่างไรดี
* * *
วันถัดมา สมองของฉันแจ่มใสเพราะเมื่อคืนไม่ได้แตะเหล้า และจงใจไม่ตั้งนาฬิกาปลุก
“ฮ้าว~”
แขนขาเบาสบายมาก
แสงแดดแยงเข้ามาจากหน้าต่าง
บนอีกเตียงหนึ่ง ผมของลิลี่ยังคงแผ่เป็นพัดเหมือนกับทุกครั้ง เธอมีนิสัยชอบคลุมผ้าห่มจนถึงศีรษะ
“ยังมีห้องนอนอีกห้องไม่ใช่รึไง”
ขณะคิดแบบนั้น ฉันเดินออกไปข้างนอกและหยุดยืนหน้าอีกหนึ่งห้องนอน จากนั้นก็ส่ายหัวเมื่อได้ยินเสียงกรนดังสนั่นจากภายใน
คงเป็นเหตุผลที่ลิลี่มานอนในห้องฉัน
เมื่อเดินไปถึงชั้นล่าง ฉันเห็นซอจีอากำลังนั่งบนโซฟาพลางจ้องกาน้ำร้อนไฟฟ้า
“อรุณสวัสดิ์”
ซอจีอาชำเลืองฉันพร้อมกับยกมือเป็นนัยว่าทักทาย
ยังกับอยู่ในแชร์เฮาส์ (Share House)
“ชาโซฮีนอนข้างบนสินะ แล้วคุณซอยอนล่ะ?”
“กลับไปตั้งแต่เช้ามืด ได้ยินว่าต้องไปล้างฟิล์ม เธอเอาฟิล์มม้วนใหม่ใส่ไว้แทนแล้ว”
“โค้ดไวโอเล็ตถูกยกเลิกหรือยัง”
ค่อนข้างผิดคาด ซอจีอาส่ายหน้า
“แล้วเธอกลับไปยังไง? ได้ยินว่าประตูมิติปิดอยู่”
“เป็นถึงพนักงานบริษัท คงมีสิทธิพิเศษอยู่แหละมั้ง”
ฉันพยักหน้าด้วยความกระจ่าง
หลังจากตักกาแฟผสมลงไปสามช้อน ซอจีอาพูดขณะเทน้ำร้อน
“…นี่ก็เช้าแล้ว แต่กลับยังไม่มีประกาศแจ้งอะไรเลย”
“พวก OWIC จมูกไวเหมือนกันนะเนี่ย”
ซอจีอาก้มมองแก้วกาแฟด้วยสายตาเหม่อลอยสักพัก จากนั้นก็พบความผิดปกติในคำพูดของฉันและเงยหน้า
“อะไรคือจมูกไว? ที่รักช่วยอธิบายหน่อย”
ตุ้บ!
ฉันนั่งบนโซฟา ไข่มุกจากผีตัวเมื่อวานยังอยู่ในกระเป๋าเสื้อ
สัมผัสได้ถึงความเย็นจากมัน แต่ไม่ใช่แค่ความรู้สึก เพราะไข่มุกเย็นจนมีไอน้ำเกาะผิว
ขณะเตรียมอธิบายให้ซอจีอาฟัง เสียงประกาศดังมาจากในหมู่บ้าน
「จากสำนักงานใหญ่ OWIC ทางเราจะยกเลิกการปิดประตูมิติชั่วคราว หากผู้ใดยังอยู่ในเบสแคมป์กรุณารีบลี้ภัย」
「ทางเราไม่ได้บังคับ แต่ขอเตือนว่า OWIC จะไม่รับผิดชอบปัญหาส่วนบุคคลที่เกิดขึ้น ขอย้ำอีกครั้ง ผู้ใดที่ยังอยู่ในเบสแคมป์…」
ดูเหมือน OWIC จะส่งทีมรับมือสถานการณ์ออกมา
คงได้ยินข่าวลือที่ฉันจัดการผีในหมู่บ้านไปแล้ว จึงพยายามอพยพคนออกจากบ้านเรือน
ฉันส่ายหน้าเงียบๆ สักพัก
ไม่มีเสียงดังมาจากชั้นสอง ดูเหมือนว่าพวกเธอจะหลับเป็นตาย เมื่อคืนคงเมากันมาก
ฉันลุกขึ้นยืน
“ไปดูกันไหม?”
ซอจีอาที่ทำตัวนิ่งๆ มาสักพัก ยืนขึ้นพร้อมกับสวมเฮดโฟน
พวกเราตรงไปยังเบสแคมป์ทันที
ที่นี่ยังคงมีสภาพเดิมแม้ว่าฉันจะไม่อยู่สองสามเดือน
ข้อแตกต่างเดียวก็คือ บรรยากาศไม่ได้สงบสุขเหมือนเคย
หลังจากได้ยินประกาศครั้งแรก ผู้คนก็แทบจะหนีออกจากหมู่บ้านกันหมด ต่างคนต่างวุ่นวายอยู่กับการเก็บกระเป๋าต่อแถวเข้าประตูมิติ
“เอาอีกแล้ว…”
“พักนี้มีประกาศบ่อยนะ”
“จะชดเชยความเสียหายไหมเนี่ย? เฮ้อ”
“ไม่รู้หรือไงว่าการหยุดร้านหนึ่งวันทำให้ขาดรายได้ไปเท่าไร?”
แม้ผู้คนจะตัดพ้อ แต่ก็ตระหนักถึงคุณค่าชีวิตตัวเองดี
ยุนมินจีเดินเข้าไปหาทีมจัดการของ OWIC ที่กำลังนำทางขบวน
“…ทุกคนคงเหนื่อยสินะ รับกาแฟไหม?”
“ขอบคุณ แต่ไม่เป็นไร”
ยุนมินจีพยักหน้าพลางดึงแก้วกระดาษกลับมา จากนั้นก็กลับเข้าไปในโรงแรม
ดูท่าคงจะไม่ลี้ภัย
เป็นคนที่จิตใจเข้มแข็งมาก ใบหน้าสวมรอยยิ้มธุรกิจไว้ตลอดเวลา เหมือนกับในตอนที่ถูกฮาวนด์ตามตื๊อ
หลังจากกลายเป็นเจ้าของโรงแรม ฉันสัมผัสได้ว่าเธอกระตือรือร้นมากขึ้น
ฉันเดินเข้าไปหาคนที่น่าจะเป็นหัวหน้าทีมจัดการ
สตรีผมสั้นสีน้ำตาลวัยสามสิบตอนต้น กำลังยืนออกคำสั่งเสียงเครียด ก่อนจะรีบทำความเคารพหลังจากหันมาเห็นฉัน
“เอ่อ…”
ฉันชะงักเล็กน้อยจนลืมเรื่องที่จะพูดชั่วขณะ
“ทางเราได้ฟังเรื่องราวมาแล้วค่ะ… ดิฉันจูฮยอนซอ หัวหน้าหน่วยเอ็กซอร์ซิสต์ (Exorcist) ที่สอง พวกเราคือทีมรับมือตัวตนเหนือธรรมชาติ คุณคือผู้ที่จัดการกับตัวตนเหนือธรรมชาติที่บุกรุกหมู่บ้านสินะคะ เป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งอีกครั้ง”
ได้ยินคำชมซึ่งหน้าแบบนี้ ทำเอาฉันพูดไม่ออก
ซอจีอาจึงเป็นฝ่ายพูดแทน
“ทำไมถึงยังลี้ภัยชาวบ้าน? ผีตายไปแล้วนี่”
“เครื่องตรวจจับของบริษัทยังคงตรวจพบสัญญาณตัวตนเหนือธรรมชาติ แม้ว่าผีจะถูกกำจัดไปแล้วค่ะ”
“ยิ่งเวลาผ่านไป สัญญาณก็ยิ่งรุนแรงใช่ไหม?”
ได้ยินคำพูดของฉัน หัวหน้าทีมจูฮยอนซอเบิกตากว้าง เธอหยุดหายไปใจสักพักก่อนจะพูดต่อ
“…ใช่ค่ะ สัญญาณรุนแรงขึ้นจากตอนแรกสิบสองเปอร์เซ็นต์ ถึงจะได้รับรายงานว่าคุณซอนฮูกำจัดผีไปแล้ว แต่ทางเรายังคงตรวจจับพลังงานที่แข็งแกร่งได้ เบื้องบนจึงสั่งให้อพยพค่ะ”
ฉันล้วงไข่มุกออกจากกระเป๋า
ผีที่ตายไปเมื่อคืนทิ้งเจ้านี่ไว้
ฉันรู้จักสิ่งนี้ดี
เป็นไข่มุกเม็ดเล็กที่หากไม่ตั้งใจก็ยากจะสังเกตเห็น
แต่มีเหตุผลที่ฉันต้องก้มเก็บมันขึ้นมา
“คุณรู้จักมันไหม”
จูฮยอนซอจ้องสักพักก่อนจะส่ายหน้า
“มันคือแก่นของผี”
“แก่น…?”
“ปกติแล้วผีจะไม่มีแก่น ไม่มีทางที่ร่างกายพวกมันจะสร้างจากวัสดุแข็ง”
“…”
จูฮยอนซอปิดปากเงียบเพราะไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
“มีผีแค่ชนิดเดียวที่มีแก่น… นั่นคือผีมี ‘บ้าน’”
“…บ้าน?”
“เธอคิดว่าบ้านของผีหมายถึงอะไร?”
ฉันเลื่อนไข่มุกขึ้นมาในระดับสายตา จากนั้นก็มองไปรอบๆ
“หลุมศพ”
ซอจีอาที่ยืนฟังมาสักพักเป็นฝ่ายตอบ
“โดยทั่วไปแล้ว ในหนึ่งชุมชนจะมีบ้านอยู่หลายหลังใช่ไหม? เป็นเหตุผลที่วัฒนธรรมส่วนใหญ่ไม่ได้สร้างแค่หลุมศพเดียว”
“…สุสาน?”
ฉันพยักหน้าให้กับคำตอบของซอจีอา
“ทำเลที่ตั้งเบสแคมป์ค่อนข้างแย่ ที่นี่อาจเป็นสุสาน หรือถ้าไม่ใช่ตรงนี้ก็เป็นบริเวณใกล้เคียง”
จูฮยอนซอที่ยืนฟังเงียบๆ โดยไม่แทรกข้อโต้แย้งใด มิอาจเก็บซ่อนความสับสน
“ทำไมถึงได้ข้อสรุปแบบนั้นคะ? ฉันพอจะเข้าใจว่าอาจมีหลุมศพอยู่แถวนี้ แต่กับสุสาน… ฉันนำมาเชื่อมโยงไม่ได้เลย”
“อ่ะ”
ฉันยื่นไข่มุกไปทางจูฮยอนซอ
จูฮยอนซอมองมันสักพักก่อนจะยื่นมือเข้ามาใกล้ อากัปกิริยาเผยความกลัวเล็กน้อย
เธอค่อยๆ ใช้ปลายนิ้วสัมผัสจนกระทั่งตกใจกับความเย็น
จูฮยอนซอรับไข่มุกไปถือ
“ลองใช้ตามองผ่าน”
วินาทีที่ไข่มุกซ้อนทับกับการมองเห็น
วินาทีที่เธอมองโลกผ่านไข่มุก
“อ๊าาา!”
จูฮยอนซอตกใจจนเกือบเสียหลักล้ม
กิ้ง!
ไข่มุกตกลงพื้นและกลิ้งเล็กน้อย
จูฮยอนซอรีบควักไม้กางเขนออกจากเสื้อและกอดไว้ในอ้อมแขนแน่น
“พระบิดาผู้สถิตบนสรวงสวรรค์ ข้าแต่นามของพระบิดาอันบริสุทธิ์…”
* * *
ซอจีอาค่อนข้างกระอักกระอ่วนกับการตอบสนอง
ปกติแล้วเธอเป็นคนเก็บสีหน้าเก่ง แต่ครั้งนี้อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วชนกัน
คังซอนฮูดูชอบใจ อาจเพราะเป็นความตั้งใจของเขาตั้งแต่ต้น
มีเพียงคนเดียวที่กล้าแกล้งคนอื่นในสถานการณ์แบบนี้
คนทั่วไปอาจจะขยาดกับความน่ากลัว แต่สำหรับเขาแล้วตรงกันข้าม
ทุกสิ่งใน ‘ต่างโลก’ ล้วนน่าสะพรึง — ในสายตาของคนทั่วไป
แต่กับคังซอนฮู ความน่ากลัวคือเชื้อเพลิงสำหรับความบันเทิง
ซอจีอาชื่นชอบที่จะเฝ้าดูอีกฝ่ายจากมุมมองบุคคลที่สาม
ครั้งนี้ก็เช่นกัน เธอกำลังคาดหวัง
ถ้าคังซอนฮูทำตัวผ่อนคลายล่ะก็ แปลว่าเขาไม่กลัวปรากฏการณ์ที่ตัวเองไม่เข้าใจ
เธอเชื่อใจคังซอนฮูมานานแล้ว
จึงถามออกไป
“มันคืออะไร?”
คังซอนฮูก้มหยิบไข่มุกและนำมาวางไว้บนตาซอจีอา
ซอจีอาเกือบจะแหกปากกรีดร้อง แต่สุดท้ายก็ทำแค่ยกมือขึ้นมาปิดปาก
โลกที่มองเห็นผ่านไข่มุก
คือสุสาน
แทนที่จะเป็นตึกและรั้วของเบสแคมป์ ที่นี่เต็มไปด้วยวัชพืชและต้นไม้
สุสานเก่าเสื่อมโทรม
และผู้คนที่เตร็ดเตร่ไปมา
ไม่ใช่กลุ่มคนเป็น
ซอจีอาผงะถอยหลัง ไข่มุกตกจากดวงตา
การมองเห็นกลับสู่ปกติอีกครั้ง
แม้จะแค่ครู่เดียว แต่ซอจีอาบอกได้ทันทีว่าเธอเห็นอะไร
เพราะมันคือโลกที่ถูกพรรณนาไว้ในตำนานบ่อยครั้ง
ซอจีอาได้เห็นโลกแห่งความตาย
คังซอนฮูกล่าวขณะสอดไข่มุกกลับเข้าไปในเสื้อ
“ในอดีต ที่นี่เคยเป็นสุสาน”
“…”
“คงจะอยู่ใต้ดินน่ะ”
คังซอนฮูล้วงหยิบเข็มชี้ออกจากเสื้อ จากนั้นก็นำอัญมณีสีฟ้าออกมาถือ
ถึงจะยังเป็นแค่อัญมณี แต่ซอจีอาทราบดี หากคังซอนฮูปรารถนา มันจะกลายเป็นดาบตัดนิรันดร์
เธอจึงผุดหนึ่งคำถาม
“…ที่รักรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง”
ไม่ว่าจะมองมุมใด ก็ไม่ใช่ความรู้ที่คนเป็นจะมีได้
สำหรับคนเป็น ผีคือศัตรูที่โจมตีใส่พวกตนด้วยความอาฆาตแค้น
ยากที่จะสืบหาข้อมูลใด เพราะโลกแห่งความตายไม่มีทางเข้า
กาลครึ่งหนึ่งนานมาแล้วในสมัยโบราณ กล่าวกันว่ามีจอมเวทในตำนานผู้หนึ่งพัฒนาศาสตร์หมอผีจนสำเร็จ แต่นั่นถูกมองว่าเป็นตำนานผีที่เหลวไหลที่สุด
ซอจีอาจ้องหน้าคังซอนฮู
สายตาคังซอนฮูกำลังนึกทบทวนอดีต คลำหาชั้นหนังสือในความทรงจำเพื่อเรียกดูประสบการณ์อันเลือนราง
จนกระทั่งเปิดปากพูด
“ฉันอาจจะเคยมีประสบการณ์มาก่อน”
“…โลกแห่งความตายเนี่ยนะ? กำลังจะบอกว่าเคยเข้าไปมาแล้ว?”
คังซอนฮูไม่ตอบ
______________________
ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (2/4)
ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:
https://www.facebook.com/bjknovel/
หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel