873 - ราชาแมลงกู่
873 - ราชาแมลงกู่
ควันและฝุ่นละอองในพื้นดินหายไป โลงศพสีแดงขนาดใหญ่วางอยู่บนพื้น เด็กน้อยสามคนกำลังร้องไห้ เหล่าเป็ดที่ลอยอยู่ในทะเลสาบต่างแตกตื่นและบินกระจัดกระจายไปทุกที่
เมื่อเจ้าหุบเขาเห็นเด็กสามคนร้องไห้อยู่ด้านล่าง เขาก็ตะโกนด้วยความโกรธทันที
“พวกเจ้าเอาแต่ลักขโมยไข่เป็ดอยู่ทั้งวันเคยทำตัวให้มีสาระบ้างหรือไม่ หลังจากนี้หากพวกเจ้ายังกล้าไม่เชื่อฟังอีกข้าจะจับขังให้หมด”
“เราขโมยไข่มาฟองเดียวเท่านั้นเราจะไม่ทำอีกแล้ว” เด็กทั้งสามร้องห่มร้องไห้ต่อไป
เจ้าหุบเขาได้ยินเช่นนั้นก็สะบัดแขนเสื้อด้วยความโกรธ จากนั้นฝ่ามือของเขาได้ดึงดูดโลงศพสีแดงเข้ามาอย่างรวดเร็ว
โลงศพนี้ถูกฝังอยู่ใต้ดินมากว่าหมื่นปี แต่ไม่มีร่องรอยของความเสื่อมโทรมตามกาลเวลาแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสมบัติล้ำค่าอย่างยิ่ง
“ปัง”
ทันทีที่เปิดฝาโลงศพ แสงสีเขียวก็พุ่งออกมา จริงๆ แล้วมันคือตะขาบที่มีลำตัวยาวถึงสองวา
เจ้าหุบเขาอยู่ในขอบเขตสวรรค์ชั้นหนึ่งของเส้นทางเซียนเทียม ในฐานะยอดฝีมือระดับผู้สูงสุดความแข็งแกร่งของเขานั้นทรงพลังอย่างเป็นธรรมชาติ
“ปีศาจตะขาบ!”
หลายคนตะโกน นี่คือตะขาบที่เห็นได้ชัดว่ากลายเป็นปีศาจแล้ว แม้ว่ามันจะไม่ใหญ่จนน่ากลัว แต่ก็ทรงพลังยิ่งกว่ายอดฝีมืออาณาจักรแปลงมังกรทั่วไปอย่างแน่นอน
“ปัง!”
เจ้าหุบเขาลงมือและตบไปข้างหน้าอย่างรุนแรง เขาใช้พลังปราณที่น่าสะพรึงกลัวกระแทกเข้าหาตะขาบทีละจุด อย่างไรก็ตามตะขาบสีเขียวตัวนี้กลับเคลื่อนไหวได้อย่างว่องไวและทะลวงความว่างเปล่าหายสาบสูญไปในทันที
ทุกคนประหลาดใจ นี่คือปีศาจแมลงที่ฝึกฝนมามากว่าแปดร้อยปี แม้ว่าจะไม่ได้แปลงร่างเป็นมนุษย์แต่ย่อมเป็นราชาของแมลงตัวหนึ่ง
ตามปกติแล้วอสูรระดับนี้แทบจะเปลี่ยนร่างของตัวเองเป็นมนุษย์เพื่อฝึกฝนทักษะที่แข็งแกร่งกว่า อย่างไรก็ตามปีศาจตะขาบกลับเลือกที่จะเป็นปีศาจต่อไป
“แย่แล้ว”
ในขณะนั้นไฟสีเขียวได้พุ่งออกมาจากความว่างเปล่าและเผาผลาญยอดเขาขนาดมหึมาให้ตกอยู่ในทะเลเพลิงทันที
เจ้าหุบเขาส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธและพ่นน้ำเต้าสีเขียวออกจากปาก ทันใดนั้นไอน้ำสีทองอนันต์ถูกปลดปล่อยออกจากน้ำเต้าสีเขียวและระงับพิษที่เกิดจากไฟของตะขาบในทันที
“วารีสุริยัน!”
หลายคนร้องออกมา และแม้แต่เย่ฟานก็ยังประหลาดใจ วารีสุริยันเป็นหนึ่งในสมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่หายาก แม้ว่าจะเป็นน้ำจำนวนไม่มาก แต่ก็มีธาตุหยางที่ร้อนแรงซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อบดขยี้พลังแห่งปีศาจโดยเฉพาะ
“ปึ๊ง!”
ตะขาบสีเขียวอ้าปากแล้วคายมีดสั้นสีเขียวออกมา มีดสั้นเล่มนี้เต็มไปด้วยไอปีศาจและมันเฉือนเข้าหาวารีสุริยันพร้อมกับน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็ว
“ตะขาบตัวนี้แข็งแกร่งมาก ทุกคนถอยออกไป!” เจ้าหุบเขาตะโกน
ทุกคนรีบวิ่งหนีอย่างอลหม่าน ในขณะเดียวกันศิษย์หลายคนก็รีบไปยังภูเขาอื่นเพื่อแจ้งเหตุการณ์ร้ายในครั้งนี้
ในเวลานี้ผู้คนต่างประหม่าและหวาดกลัว มีศพที่ยังคงนอนอยู่ในโลงศพสีแดงสด เลือดเนื้อของเขาไม่เน่าเปื่อย แต่กลับกลายเป็นสีดำเหมือนหมึก
“นี่คือไม้มังกรไหมแดงซึ่งสามารถรักษาซากศพไม่ให้เน่าเปื่อยเป็นเวลานานกว่าสองหมื่นปี มันเป็นสมบัติที่หายาก บุคคลนี้จะต้องอยู่เป็นสิ่งมีชีวิตระดับจักรพรรดิโบราณอย่างแน่นอน”
“น่ากลัวจริงๆ ตะขาบตัวนี้กินต้นกำเนิดของซากศพเป็นอาหาร ไม่น่าแปลกใจเลยที่มันจะมีพลังมากมายเช่นนี้”
เมื่อทุกคนเห็นทุกอย่างในโลงศพพวกเขาก็เต็มไปด้วยความไม่สบายใจ หลังจากที่จักรพรรดิโบราณสิ้นชีพ เขากลับกลายเป็นอาหารของแมลงมีพิษ ช่างเป็นการตายที่ไม่สงบจริงๆ
เด็กน้อยขี้มูกโป่งสองสามคนหน้าซีดขาว และสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว พวกเขาเพิ่งผ่านคมดาบของเทพแห่งความตายมาได้อย่างเฉียดฉิว โชคดีที่ตะขาบตัวนั้นไม่ได้ลงมือดูดเลือดของพวกเขาก่อน
“บูม”
บนท้องฟ้า ร่างของตะขาบสั่นอย่างรุนแรงก่อนที่แสงสีเขียวจะเบ่งบานกลางอากาศ ในขณะนั้นร่างกายของมันขยายใหญ่โตราวกับมังกรยักษ์ก่อนจะเพิ่งเข้าหาปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นเจ้ายอดเขาทันที!
“ตะขาบสวรรค์ชั้นหนึ่งของเส้นทางเซียนเทียม มันแข็งแกร่งถึงขนาดนี้เชียวหรือ”
“พิษของมันรุนแรงเกินไปปล่อยให้ข้าเป็นคนจัดการมันเอง”
เสียงหวีดยาวดังมาจากท้องฟ้าอันไกลโพ้น ในขณะนั้นฝ่ามืออันใหญ่โตกว่าร้อยจั้งได้ปกคลุมทั้งสวรรค์พิภพและคว้าไปที่ตัวตะขาบสีเขียวอย่างรวดเร็ว
“ครึ่งเซียน!”
เย่ฟ่านประหลาดใจเป็นอย่างมาก นี่ไม่ใช่ครึ่งเซียนคนเดียวกับที่เขาเคยเห็น ไม่รู้ว่านิกายตระกูลฉินยังซุกซ่อนยอดฝีมือที่ทรงพลังไว้มากมายเพียงใด
“ป๊า”
ตะขาบฟาดหาง พิษในปากก็ทะลักออกมา ภูเขาเตี้ยๆ ห้าลูกกลายเป็นฝุ่นไปในลมหายใจเดียว อย่างไรก็ตามครึ่งเซียนคนนั้นยังคงบีบมือเข้าหากันอย่างต่อเนื่องและปิดผนึกตะขาบยักษ์อย่างเด็ดขาด
“นี่คือการลงมือของปรมาจารย์ใหญ่เจิ้นเฉิง เขาบดขยี้ราชาตะขาบสวรรค์ที่ทรงพลังอย่างง่ายดาย” มีศิษย์บางคนของสำนักกล่าวด้วยสีหน้าปราบปลื้ม
เย่ฟ่านตกตะลึง ตะขาบสีเขียวมีพิษร้ายแรง พ่นพิษสีเขียวออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่สามารถทะลุม่านแสงได้ สุดท้ายด้วยพลังที่มากมายมหาศาลของชายชรา ตะขาบตัวนั้นก็ย่อขนาดลงจนเหลือเพียงไม่กี่นิ้วเท่านั้น!
“ในฐานะแมลงพิษของธาตุทั้งห้ามันสามารถนำมาใช้เพื่อบ่มเพาะเป็นราชากู่ได้”
ปรมาจารย์เจิ้นเฉิงกล่าวอย่างเย็นชาพร้อมกับใส่ตะขาบตัวนั้นลงไปในหม้อและจากไปในทันที
นี่คือครึ่งเซียนผู้ที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งยิ่งกว่าปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์ทั่วไป ในยุคที่ไม่มีปราชญ์โบราณและจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ เขาเป็นตัวแทนของอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกอย่างแน่นอน
“แมลงตัวนั้นไม่ธรรมดาจริงๆ มันกินแก่นแท้ของซากศพไปเกือบจะหมดแล้ว”
“มันเกือบจะไม่ใช่ตะขาบแล้ว นี่เป็นราชาแมลงที่ทรงพลังมาก หากปล่อยให้มันกินแก่นแท้ของซากศพไปอีกหลายปีเกรงว่ามันอาจจะกลายเป็นผู้อมตะที่แท้จริงก็ได้”
เมื่อได้ยินคำว่าราชากู่เย่ฟานก็ตัวสั่นสะท้าน การเลี้ยงแมลงชนิดนี้คือการให้ราชาแมลงแต่ละตัวออกมาต่อสู้กันจนกระทั่งเหลือตัวสุดท้ายซึ่งได้กินราชาแมลงทั้งหมดเป็นอาหาร ทักษะนี้มีต้นกำเนิดเดียวกันจากวิชาอสูรกลืนสวรรค์ไม่ใช่หรือ?
บุคคลที่ฝึกฝนศิลปะสวรรค์ชนิดนี้จะกินเลือดเนื้อของผู้มีพรสวรรค์เผ่าพันธุ์เดียวกันเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวเอง นี่เป็นเส้นทางที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่!
“เมื่อจักรพรรดิอสูรกลืนสวรรค์สร้างทักษะนี้เขาน่าจะได้รับแรงบันดาลใจจากการเลี้ยงกู่” เย่ฟ่านคิดอย่างรอบคอบ
ฉินหลิงเป็นดินแดนโบราณลึกลับที่มีสุสานมากมาย ในสมัยโบราณ แม้แต่คนจากราชวงศ์ศักดิ์สิทธิ์ก็มาที่นี่เพื่อสร้างหลุมฝังศพให้กับตัวเอง ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าซากศพที่ฝังอยู่ภายในมีมากมายแค่ไหน
หากฮั่วอวิ๋นเฟยมาที่นี่มันจะแตกต่างอะไรจากการปล่อยปลาลงน้ำ เมื่อเขาค้นพบซากศพของเซียนอมตะที่ถูกฝังอยู่ในภูเขา ดินแดนแห่งนี้ก็เปรียบเสมือน "งานเลี้ยง" ครั้งใหญ่ของเขานั่นเอง!
แม้แต่ศพของผู้สูงสุดธรรมดาก็ยังมีแก่นแท้ต้นกำเนิดอยู่ภายใน หากเป็นซากศพของเซียนอมตะมันจะทรงพลังมากแค่ไหนเป็นที่คาดคำนวณได้?
“หากเขามีเวลาฝึกฝนอยู่ที่นี่สิบปีเกรงว่าเขาจะมีพลังในขอบเขตครึ่งเซียนเป็นอย่างน้อย!”
นี่เป็นครั้งแรกที่เย่ฟ่านรู้สึกว่าอนาคตของฮั่วอวิ๋นเฟยน่ากลัวมากกว่าที่เขาคิดไว้
วันต่อมาเจ้ายอดเขาตะวันออกประกาศข่าวว่าภายในสองเดือน จะมีการประลองครั้งใหญ่ของศิษย์จากยอดเขาทั้งสี่โดยจะคัดเลือกศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดให้กลายเป็นศิษย์ของยอดเขาหลัก
“สี่ยอดเขาจะต้องต่อสู้ และจะมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นได้กลายเป็นศิษย์ที่แท้จริงของที่นี่” เจ้าหุบเขากล่าว
ทุกคนตกอยู่ในความงุนงงอยู่พักหนึ่ง มีเพียงคนที่แข็งแกร่งที่สุดของสี่ยอดเขาเท่านั้นที่สามารถเข้าสู่ยอดเขาหลักได้ เงื่อนไขนี้รุนแรงเกินไป หลังจากการต่อสู้ทุกคนที่พ่ายแพ้จะถูกขับออกจากสำนักทันที
เย่ฟ่านตกตะลึง เท่าที่เขารู้ในหมู่ศิษย์ของแต่ละสายมีสามหรือสี่คนที่ไปถึงแดนลับของอาณาจักรแปลงมังกรแล้ว แน่นอนว่าคนเหล่านี้ย่อมมีประสบการณ์การต่อสู้ที่เหนือกว่าคนอื่น
อย่างไรก็ตามเมื่อคาดคำนวณดูแล้วยอดฝีมือของทั้งสี่ยอดเขาก็มีไม่ต่ำกว่าสามสิบคน หากเป็นการต่อสู้เพื่อแย่งชิงที่ว่างเพียงตำแหน่งเดียวมันจะกลายเป็นสงครามระหว่างมังกรพยัคฆ์อย่างแน่นอน