ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 23 เย่ชิวจากสำนักเยียวยาสวรรค์
ยอดอาจารย์มหาเมตตา ตอนที่ 23 เย่ชิวจากสำนักเยียวยาสวรรค์
หลินเฟิงไม่พอใจทันทีเมื่อเห็นว่าเซียวอี้ไม่สนใจเขา เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงอันแปลกใจว่า “เกิดอันใดขึ้น ผู้ใดทำให้ใบหน้าของนายน้อยเซียวของเราซีดเซียวเพียงนี้ นายน้อยเซียวบอกข้ามาได้เลย ข้าจะช่วยเจ้าระบายความโกรธเอง...”
เซียวอี้เหลือบมองอีกฝ่ายอย่างดูถูก “ชิ...” ในขณะที่เขากําลังจะโต้กลับนั้นร่างสีขาวสองร่างก็ค่อย ๆ ร่อนลงมาจากด้านข้างและยืนอยู่ในระดับเดียวกับพวกเขา
เซียวอี้เหลือบมองกลับอย่างสบาย ๆ และทันใดนั้นหัวใจของเขาก็บีบรัดขึ้น “นี่มัน... เขาอีกแล้วหรือ”
ผู้อาวุโสซูซึ่งอยู่ข้างหวังไฮ่ก็อธิบายด้วยน้ําเสียงแผ่วเบาเช่นกัน
หวังไฮ่ได้ยินเรื่องนี้แล้วหันไปมองเย่ชิว เขาสงบลงและต้องการประเมินเย่ชิว ทันใดนั้นปราณกระบี่อันเงียบงันก็ได้โจมตีเขาทันที ทำให้วิญญาณของหวังไฮ่เกือบได้รับบาดเจ็บ
“ฟู่ว... เป็นปราณกระบี่ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก! ความชำนาญการใช้กระบี่ของชายผู้นี้อยู่ในขอบเขตเช่นนี้เลยหรือ”
หวังไฮ่ตกตะลึงอย่างยิ่ง ในขณะนี้เขาได้บรรลุขอบเขตรายร้อยวิญญาณในเต๋ากระบี่และร่างกายทั้งหมดของเขาก็เฉียบคบราวกับกระบี่ แม้จะดูเหมือนคนธรรมดาและไม่มีความผันผวนแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามหากใครกล้าโจมตีเขาโดยประมาทบุคคลนั้นจะถูกตอบโต้ด้วยปราณกระบี่อย่างแน่นอน
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือปราณกระบี่จะปลดปล่อยออกมาด้วยตนเองโดยไม่มีการควบคุมใด ๆ
“ทายาทเผ่าพันธุ์โบราณ วานรยักษ์นรก!” เย่ชิวพึมพํากับตนเองในขณะที่เขามองไปยังสัตว์อสูรตัวเขื่องด้านล่าง
มีบันทึกของทายาทประเภทนี้ในบันทึกโบราณที่แท้จริง มีแผนภาพคัมภีร์โดยละเอียดเกี่ยวกับเคล็ดวิชาการสืบทอดตลอดจนจุดแข็งและจุดอ่อนต่าง ๆ
วานรยักษ์ตัวนี้ได้สูญเสียเหตุผลทั้งหมดไปแล้ว ราวกับว่ามันถูกกรัดกร่อนโดยแหล่งพลังงานแปลกประหลาดจนกลายเป็นปีศาจวานรและเริ่มการสังหารหมู่ในดินแดนรกร้างแห่งนี้
“นายน้อยเซียวเจ้าจะไปไหน”
ในขณะนี้เขาได้ยินเสียงบางคนกล่าว เย่ชิวจึงมองตามด้วยความสงสัย
“เอ๊ะ...”
ชายชราสองคนและชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ห่างหลาบสิบหลาให้เย่ชิว ขณะที่พวกเขาเตรียมที่จะหลบหนีไป เย่ชิวจําตัวตนของอีกฝ่ายได้ทันที ไม่ใช่หรือนายน้อยเซียวหรือ
“บัดซบ!” ในขณะนี้สีหน้าของเซียวอี้ดูราวกับว่าเขากินอึไป สายตาที่มีต่อหลินเฟิงเต็มไปด้วยเจตนาสังหาร ‘เจ้าบัดซบ ข้าสนิทกับเจ้านักหรือ ข้าจําเป็นต้องอธิบายว่าข้าจะไปยังไหนด้วยหรือ บัดซบ...’
เขาไม่สามารถหลบหนีได้อีกต่อไปเพราะเย่ชิวได้ค้นพบเขาแล้ว
“อ่า ศิษย์พี่! ช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่เราได้เจอกันอีกครั้ง” เนื่องจากเขาไม่สามารถหนีไปได้เซียวอี้จึงหันหลังกลับอย่างกล้าหาญและทักทายเย่ชิวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“หืม นี่ไม่ใช่นายน้อยเซียวจอมเจ้าเล่ห์หรอกหรือ! ช่างบังเอิญที่เราพบกันอีกครั้ง” เย่ชิวยิ้มอย่างสนุกสนาน เขาไม่ได้คาดหวังว่าโลกจะกลมเช่นนี้ จากกันไม่กี่วันพวกเขาก็ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง “ไม่ทราบว่านายน้อยเซียวจะไปไหนหรือ เหตุใดเจ้าถึงจากไปทันทีที่เจ้าเห็นข้า ข้าดูน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือ”
“อย่าพูดเช่นนั้นเลย ศิษย์พี่ทั้ง สง่า รูปงาม และมีความสามารถที่ไม่ธรรมดา ข้าต้องหลบหลีกให้ท่านแม้ข้าจะอยู่จุดสูงสุด ทั้งไม่รู้ว่ามีสาวงามหลงใหลท่านกี่คน ท่านจะน่ากลัวได้อย่างไรกัน” เซียวอี้เริ่มเยินยอ เพื่อความอยู่รอดแล้วเขาสามารถละทิ้งใบหน้าและศักดิ์ศรีของเขาได้
เย่ชิวรู้สึกขบขันไม่น้อย แต่เขาก็ยังคงสงบนิ่ง และศักดิ์ศรีในตัวเขาที่ทําให้หัวใจของเซียวอี้เย็นชาขึ้นเช่นกัน
เซียวอี้สงสัยว่าหวังไฮ่จะสามารถเอาชนะเย่ชิวได้หรือไม่ เหตุใดเขาต้องพบเจอชายคนนี้ทุกที่ที่เขาไป เขาช่างโชคร้ายจริง ๆ
“ชิ ชิ...”
ในขณะนี้เซียวอี้ได้ยินเสียงตามมา ไม่คาดคิดว่าจะเป็นหลินเฟิงอีกครั้ง
“น่าขัน! นายน้อยผู้ยิ่งใหญ่ของตระกูลเซียวต้องประจบประแจงคนเช่นนั้นหรือ” หลินเฟิงเดินขึ้นมาอย่างหยิ่งผยองและมองไปยังเย่ชิว เขาไม่ได้หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากมียอดฝีมือขอบเขตชีวาเร้นลับสองคนอยู่ด้านหลังเขา แล้วทําไมเขาต้องหวาดกลัวใคร ส่วนใหญ่เป็นเพราะเขาเห็นว่าเซียวอี้กำลังหวาดกลัวเย่ชิว เขาจึงต้องการโอ้อวดและสกดข่มเซียวอี้
เย่ชิวเหลือบมองเขาและขมวดคิ้ว “อืม เช่นนั้นเจ้ากล้าหาญนักหรือ”
“แน่นอน ข้ากล้าหาญอย่างยิ่ง!” หลินเฟิงกล่าวอย่างหยิ่งผยอง
เมื่อเห็นสิ่งนี้เซียวอี้ก็มีความสุขและแอบหัวเราะอยู่ภายในใจ “ฮ่าฮ่า ใช่แล้ว โกรธเจ้าบัดซบนี่เลย ฮิฮิ... ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะตายอย่างไร”
ในขณะนี้กลิ่นอายอื่นก็ได้ปรากฏเป็นร่างที่สวยงามยืนอยู่เคียงข้างเย่ชิว การปรากฏตัวของนางดึงดูดสายตาที่เลวทรามของหลินเฟิงและเซียวอี้ในทันที
“แม่เจ้า สวยงามเกินไป น่าทึ่งยิ่งนัก! สาวงามมาถึงอีกคนแล้ว น่าเสียดายเหลือเกิน! ข้าไม่มีชะตากรรมกับนาง”
เซียวอี้รู้อย่างชัดเจนว่าเขาไม่สามารถทําให้สาวงามผู้นี้ขุ่นเคืองได้ อย่างไรก็ตามเขาเต็มใจที่จะปล่อยให้หลินเฟิงยั่วยุพวกเขา มันจะเป็นการดีที่สุดหากหลินเฟิงยั่วยุทั้งคู่ จากนั้นตระกูลหลินก็จะล่มสลายทันที
ในขณะนี้ หลินเฟิงได้สูญเสียเหตุผลของเขาไปแล้ว เขารีบอวดทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่หมิงเยว่ลงมาถึง ดังนั้นเขาจึงพูดประชดประชันกับเย่ชิวว่า “ข้าคิดว่าเจ้านั้นไม่มีอะไรดี! เจ้าเป็นแค่เด็กน้อย เจ้าคงยังไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร ข้าเป็นนายน้อยคนโตของตระกูลหลินแห่งลี่หยาง หากเจ้ารู้ว่าอะไรควรไม่ควรก็รีบโค้งคํานับให้กับข้าเสีย หากข้าอารมณ์ดีข้าจะยอมรับเจ้าเป็นลูกน้องของข้า”
หลินเฟิงกล่าวอย่างมั่นใจเพียงเพราะเซียวอี้ไม่สามารถทําให้เย่ชิวขุ่นเคืองก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สามารถทําให้เย่ชิวขุ่นเคืองได้
เย่ชิวไม่ได้ดูเหมือนลูกหลานของตระกูลชนชั้นสูง ส่วนใหญ่ที่หลินเฟิงพบเจอนั้นเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาจากสำนักเซียน แล้วจะมีอะไรให้หวาดกลัว เมื่ออยู่ต่อหน้าสาวงามเขาไม่สามารถสูญเสียท่าทางโอ่อ่าของตนได้
“เจ้าจะเอาข้าเข้าไปเป็นลูกน้องของเจ้าหรือ” เย่ชิวรู้สึกขบขัน เขาได้ยินมานานแล้วว่าเหล่านายน้อยที่ร่ำรวยเหล่านี้ต่างบ้าคลั่งกว่าคนอื่น ๆ
ตอนแรกเขาไม่เชื่อ แต่ตอนนี้ต้องเชื่อ ท้ายที่สุดแล้วการเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมเช่นนี้และคาบช้อนทองช้อนเงินมาเกิด คนเหล่านี้ไม่เคยประสบกับความโหดร้ายของสังคม ต่างมั่นใจว่าตระกูลของตนมีอำนาจมากมายและสามารถเก็บกวาดทุกอย่างให้ตนได้ ไม่มีใครกล้ายั่วยุตระกูล
สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นภายใต้ความมั่นใจที่มืดบอด
“แล้วถ้าข้าปฏิเสธล่ะ” น้ำเสียงของเย่ชิวเปลี่ยนเป็นเย็นชาเมื่อเขาให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของวานรยักษ์ อย่างไรก็ตาม มันก็น่ารําคาญไม่น้อยที่มีแมลงพึมพำอยู่ข้าง ๆ เขา
หมิงเยว่ก้าวถอยหลังไป นางไม่ได้วางแผนที่จะแทรกแซงในเรื่องนี้ นางต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อดูความสามารถของเย่ชิวเช่นกัน หากยังไม่สายเกินไปนางก็จะทำการยื่นมือเข้าช่วยหากเย่ชิวไม่สามารถเอาชนะได้
“ไม่เต็มใจงั้นหรือ” สีหน้าของหลินเฟิงเปลี่ยนเป็นเย็นชาเช่นกัน เขาจะยอมถูกหักหน้าต่อหน้าสาวงามได้อย่างไร
ไม่คาดคิดว่าหมิงเยว่จะทำการเติมเชื้อเพลิงลงในกองไฟ “โอ้ น่ากลัวยิ่งนัก! หรือว่าพ่อหนุ่มหล่อคนนี้กำลังหวาดกลัวงั้นหรือ”
คำพูดนี้ทำให้มุมปากของเย่ชิวกระตุก นังอสรพิษนี่ต้องการให้ทุกอย่างหลุดจากการควบคุมจริง ๆ
อันที่จริงคําพูดของหมิงเยว่เป็นเหมือนเชื้อไฟที่โยนใส่หลินเฟิงอย่างแท้จริง
“เจ้าขี้ขลาด”
ดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะต้องแสดงความสามารถที่แท้จริงออกมา หลินเฟิงกล่าวด้วยใบหน้าที่มืดมนว่า “ข้าต้องการเห็นยิ่งนักว่าใครกันที่สามารถทำให้เซียวอี้เกรงกลัวจนไม่กล้าผายผม เด็กน้อย ข้าหลินเฟิงนั้นไม่รู้ว่าความกลัวคืออะไร หากเจ้ามีความกล้าก็จงบอกชื่อเสียงเรียงนามของเจ้ามา!”
“ข้าหรือ” เย่ชิวคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เย่ชิวจากสำนักเยียวยาสวรรค์!”
“สำนักเยียวยาสวรรค์!” เมื่อหลินเฟิงได้ยินสิ่งนี้เขาก็สูดอากาศเย็นทันที คนอื่น ๆ ก็รู้สึกตกใจเช่นกัน
สำนักเยียวยาสวรรค์นั้นเทียบได้กับผู้ทรงอำนาจในดินแดนรกร้างทางตะวันออก แม้แต่ยักษ์ใหญ่อย่างราชวงศ์ลี่หยางก็ไม่กล้ายั่วยุสำนักนี้อย่างสิ้นคิด
‘ข้าควรทําอย่างไรดี แต่มันสายเกินไปแล้วที่จะเสียใจในตอนนี้’
‘ดูเหมือนว่าข้าไม่สามารถยั่วยุสำนักเยียวยาสวรรค์ได้’
‘ข้าปล่อยให้มันไปแบบนั้นหรือ ไม่ หากข้าขี้ขลาดเซียวอี้จะนำเรื่องนี้มากล่าวหาข้าในอนาคตและทำให้ข้าไม่สามารถเงยหน้าขึ้นได้’
‘นอกจากนี้ยังมีสาวงามสองคนอยู่ไม่ไกล ข้าจะเสียหน้าเช่นนี้หรือ’
หลินเฟิงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย แต่เขาก็ยังมีความหวังอยู่บ้าง หากอีกฝ่ายเป็นแค่ศิษย์ธรรมดาก็สามารถฆ่าได้ สำนักเยียวยาสวรรค์คงไม่ให้ความสำคัญมากนัก
“อืม... เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถทำให้ข้าตกใจด้วยชื่อของสำนักเยียวยาสวรรค์งั้นหรือ เจ้าเป็นแค่ศิษย์ธรรมดา แล้วหากเจ้าตายสำนักเยียวยาสวรรค์ก็ไม่สนใจเจ้าเลยแม้แต่น้อย”
ในขณะนี้เสียงของหมิงเยว่ดังขึ้นในหูของเขา “ผิดแล้วน้องชายผู้หล่อเหลา! เขาไม่ใช่แค่ศิษย์ธรรมดา เขาเป็นหนึ่งในเจ็ดปรมาจารย์ของสำนักเยียวยาสวรรค์ของเรา เป็นปรมาจารย์แห่งขุนเขาเมฆาม่วง”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ หลินเฟิงก็ครุ่นคิดได้ทันทีว่า เป็นเช่นนี้นี่เอง