บทที่ 70 ซุนม่อตะลึง จิตรกรรมขั้นสูงสุด
บทที่ 70 ซุนม่อตะลึง จิตรกรรมขั้นสูงสุด
เนื่องจากรัศมีปราณจิตรวมตัวกันและความเข้มข้นเพิ่มขึ้นร้านหนังสือจึงสว่างขึ้นในทันใด
พลังปราณแห่งจิตวิญญาณเป็นเหมือนแสงหิ่งห้อยในช่วงกลางฤดูร้อนประกายแสงของมันปกคลุมแสงเทียน
“นี่…อย่างนั้นนี่คือพู่กันบุปผามหัศจรรย์?”
ลู่จื่อรั่วใช้มือน้อยๆปิดปากของนางใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความตกใจ และนางไม่กล้าแม้แต่จะหายใจดังเกินไปราวกับกลัวว่านางจะรบกวนซุนม่อ
“แน่นอนดูสีของภาพวาด”
บ่าวเฒ่ายังพูดด้วยน้ำเสียงที่เบามากเสียงของเขายังเบากว่าเสียงหึ่งของยุง เขายังกลัวที่จะรบกวนซุนม่อ
ต้องรู้ว่าแม้แต่ศิลปินที่มีชื่อเสียงการเข้าสู่สภาวะดังกล่าวก็ไม่สามารถแสวงหาพบเจออย่างตั้งใจ และจะพบเจอได้โดยบังเอิญเท่านั้นถ้าซุนม่อถูกขัดขวางกลางครัน ภาพวาดเรื่องไซอิ๋วนี้จะถูกทำลาย
ในเวลานั้นไม่ต้องพูดถึงผู้ว่าจ้างจะตำหนิตัวเอง แม้แต่ตัวจิตรกรเอง ก็แทบจะฆ่าตัวตาย
เก้าแว่นแคว้นแผ่นดินใหญ่เหมือนกับยุคโบราณของจีนความสามารถในการผลิตสร้างต่ำมาก พวกเขาขาดเม็ดสีดังนั้นงานวรรณกรรมและภาพวาดทั้งหมดจึงทำบนกระดาษซวนสีขาวและใช้หมึกสีดำทั้งหมดนี้ถือเป็นกระแสหลัก
ลักษณะเหล่านี้เป็นภาพวาดจีนโบราณเช่นกัน
เมื่อจิตรกรเข้าสู่สภาวะบุปผามหัศจรรย์และเริ่มรังสรรค์งานทุกสิ่งทุกอย่างจะแตกต่างออกไป
ปราณจิตจะรวมตัวกันที่ปลายพู่กันขณะที่จิตรกรโบกสะบัดพู่กันเพื่อวาดภาพสร้างสรรค์ ลายเส้นที่พวกเขาสร้างขึ้นก็จะเต็มไปด้วยสีสันที่วิจิตรงดงามได้เช่นกัน
จิตรกรที่มีชื่อเสียงจะขยับพู่กันด้วยความคิดและความตั้งใจพวกเขาจะควบคุมพลังปราณจิตและดึงสีที่พวกเขาต้องการวาดออกมาภาพวาดจะไม่ใช่ภาพวาดขาวดำอีกต่อไป
ในช่วงเย็นแสงของพระอาทิตย์ตกจะลดแสงสีแดงลง
ภูเขาสูงตระหง่านและสันเขาสูงชันที่ปกคลุมไปด้วยพืชพันธุ์เขียวขจีดูมืดมนเล็กน้อยภายใต้สนธยาพระถังซัมจั๋งปกคลุมไปด้วยฝุ่น ถือเชือกในขณะที่ท่านจูงม้าของท่านปีนข้ามท่อนไม้ยักษ์ที่ถูกฟ้าผ่า
เนื่องจากพู่กันบุปผามหัศจรรย์รายละเอียดแต่ละอย่าง เช่น ดินบนผ้าคลุมของ พระถังซัมจั๋ง, ขนที่สกปรกของม้ามังกรขาว,ไม้เท้าธรรมเก้าแฉกที่แวววาวแม้จะถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นก็เต็มไปด้วยสีสันที่สมบูรณ์แบบ
เจิ้งชิงฟางและอีกสองคนไม่ได้พูดอีกต่อไปแม้ว่าพวกเขาจะอยากรู้อยากเห็นมากแทบตาย แต่ทุกคนก็เลือกที่จะถอยกลับอย่างระมัดระวังแทนที่จะดูภาพวาดอย่างใกล้ชิด
ในขณะนี้ไม่มีใครกล้ารบกวนซุนม่อ พวกเขากลัว และป้องกันไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในการถือกำเนิดภาพวาดที่มีชื่อเสียง
ถูกแล้ว เมื่อภาพวาดเข้าถึงขอบเขตบุปผามหัศจรรย์และเต็มไปด้วยสีสันแล้วก็ถือเป็นภาพวาดที่เป็นที่ยอมรับของสาธารณชนแล้ว แม้แต่ขุนนางที่เข้มงวดที่สุดก็ไม่สามารถปฏิเสธได้
แม้ว่าจะมีจิตรกรลือชื่ออยู่ในที่เกิดเหตุในตอนนี้พวกเขาสามารถพูดได้ว่าเทคนิคการวาดภาพของซุนม่อนั้นยังไม่มีทักษะเพียงพอและแนวคิดที่สร้างสรรค์เบื้องหลังภาพวาดนี้ยังพร่องอยู่แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่กล้าพูดว่าภาพวาดนี้ไม่ถือว่าเป็นภาพวาดที่มีชื่อเสียง
เพราะขอบเขตบุปผามหัศจรรย์เป็นเกณฑ์ที่แน่นอนสำหรับภาพวาดที่มีชื่อเสียง!
หากภาพวาดนี้ถูกขายออกไปย่อมได้ราคาสูงอย่างแน่นอนแม้ว่าบรรดาขุนนางและพ่อค้าผู้มั่งคั่งผู้ชื่นชอบภาพวาดจีนโบราณจะไม่เข้าใจวิธีชื่นชมภาพวาดพวกเขาก็ยังคงต้องการสะสมผลงานชิ้นนี้พวกเขาไม่ต้องกังวลว่าจะถูกโกงเพราะสีที่สดใสของภาพวาดสามารถพิสูจน์คุณค่าของมันได้แล้ว
หลังจากผ่านไปนาน ซุนม่อก็ถอยห่างออกมาและวางพู่กันลงเขากอดอกขณะที่จ้องมองไปที่ภาพวาดนี้
ในเวลานี้บรรยากาศในร้านหนังสือก็สว่างขึ้นในทันใด
เจิ้งชิงฟางและอีกสองคนมิเพียงกล้าที่จะระบายลมหายใจเสียงดังเท่านั้นยังกล้าปรบมือและแสดงความคิดเห็นของตนเอง
ถึงเวลาแล้วที่จะชื่นชมภาพวาด
เสียงปรบมือดังขึ้น!
เจิ้งชิงฟางปรบมืออย่างตื่นเต้นขณะที่เขาเดินไป เขาก็ร้องสรรเสริญ
“ภาพวาดที่ดี!”
“ภาพวาดที่ดี!”
“มันเป็นภาพวาดที่ดีจริงๆ!”
เจิ้งชิงฟางจ้องไปที่ภาพวาดการเดินทางสู่ตะวันตก(ไซอิ๋ว)ของพระถังซัมจั๋ง ขณะที่เขายกย่องสรรเสริญถึงสามครั้ง
สีของภาพวาดนี้ไม่สดใสนักเนื่องจากต้องใช้สีเทาเพื่อแสดงฝุ่นดังนั้นเมื่อมองดูจะรู้สึกอึดอัดใจ บรรยากาศที่ตึงเครียดในภาพวาดจะถ่วงหนักในใจทำให้รู้สึกไม่สบายแต่ความรู้สึกไม่สบายทั้งหมดจะละลายราวกับน้ำแข็งในฤดูร้อนทันทีที่คนๆหนึ่งหันไปสนใจพระถังซัมจั๋ง
สายตาของพระถังซัมจั๋งแน่วแน่และสดใสจ้องมองไปไกล!
ก้าวย่างของพระถังซัมจั๋งนั้นเบาเต็มไปด้วยพลัง สามารถก้าวผ่านภัยพิบัติทั้งมวลได้!
ท่าทางของพระถังซัมจั๋งแสดงถึงความมุ่งมั่นและความแน่วแน่ที่เขาจะได้รับพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นสำหรับการเดินทางมุ่งสู่ตะวันตกนี้ ไม่ว่าเส้นข้างหน้าจะทรหดหรือไกลแค่ไหนเขาจะไม่มีวันถอยหลัง!
แก่แล้วและตาย?
ไม่ เมื่อดูภาพวาดนี้เจิ้งชิงฟางรู้สึกว่าตราบใดที่เขายังคงก้าวไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่นเขาสามารถต่อสู้ได้อีกยี่สิบปี?
หมัดของลู่จื่อรั่วกำแน่นมองเห็นเหงื่อที่จมูกของนาง ความรู้สึกต่ำต้อยและขี้ขลาดในหัวใจของนางหายไปในขณะนี้ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกเพียรพยายามอย่างหนัก
“ข้าอยากเป็นคนที่จะทำให้ท่านพ่อภูมิใจสักวันข้าต้องได้รับการยอมรับจากเขาอย่างแน่นอน!”
ลู่จื่อรั่วนึกถึงคำปฏิญาณที่นางทำไว้เมื่อนางออกจากบ้าน
“นายผู้เฒ่า!”
บ่าวเฒ่าเรียกออกมาโดยไม่ตั้งใจเมื่อเขาคิดถึงตนเองที่ได้เดินทางไปกับเจิ้งชิงฟางในขณะที่เขาจมลงและลอยอยู่ในทะเลอันกว้างใหญ่ของข้าราชการมาหลายปีน้ำตาของเขาก็หยุดไม่ได้
“ท่านยังทำไม่สำเร็จ!”
“ใช่ ข้าไม่ทำสำเร็จ!”
เจิ้งชิงฟางส่ายหัวเขาตำหนิร่างกายของเขาที่อ่อนแอเกินไปถ้าเขาสามารถทะลุผ่านคอขวดของเขาและก้าวเข้าสู่ขอบเขตอายุวัฒนะถึงแม้ว่าอายุขัยของเขาจะเพิ่มขึ้นเพียงสิบปี ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
“นี่ข้าวาดเหรอ?”
สีหน้าของซุนม่อค่อยๆแสดงอาการไม่แน่ใจ
"ใช่!"
น้ำเสียงของระบบฯ สงบแต่ในเวลานี้ก็ยังตกใจมาก
แม้ว่าเคล็ดการวาดภาพตัวละครระดับปรมาจารย์จะมอบให้กับชายหนุ่มคนนี้และสามารถใช้งานได้อย่างง่ายดายแต่ถ้าใครต้องการไปถึงจุดที่สมบูรณ์แบบเมื่อใช้มันพวกเขาจะต้องใช้เวลาเพื่อทำให้ตัวเองสงบลงอย่างแน่นอน
ความสามารถในการวาดภาพในระดับนี้แม้จะเพิ่งได้รับเคล็ดการวาดภาพตัวละครมาหรือแม้แต่สามารถเข้าสู่ขอบเขตบุปผามหัศจรรย์ ก็เพียงพอแล้วที่จะบอกว่าซุนม่อมีพรสวรรค์ที่โดดเด่นในด้านการวาดภาพ
“เป็นไปได้ไหมที่ซุนม่อเป็นศิลปินในชาติก่อนจนกระทั่งเขาเอาธนูปักเข่าตาย”
ระบบคาดเดา
“นี่คือบุปผามหัศจรรย์!”
เจิ้งชิงฟางอุทานด้วยความชื่นชมหลังจากนั้นเขาหันไปหาซุนม่อขณะที่เขาลังเล
“สหายน้อยซุน ข้ามีคำขอที่อุกอาจ?”
ติง!
คะแนนความประทับใจจากเจิ้งชิงฟาง+30
เชื่อมต่อสัมพันธ์กับเจิ้งชิงฟาง: เป็นกลาง (40/100)
“ลุงเจิ้งเกรงใจเกินไปแล้วเชิญบอก!”
ซุนม่อไม่กล้าอวดอ้างเขาเสริมคำอธิบายอีกประโยคหนึ่งว่า
“ภาพวาดนี้สามารถบรรลุความสูงได้ในแง่ของความเชี่ยวชาญเนื่องจากโอกาสถ้าท่านต้องการให้ข้าวาดภาพอื่นในระดับเดียวกัน ข้าเกรงว่าข้าจะไม่สามารถทำได้”
ดวงตาของเจิ้งชิงฟางทอประกายขึ้นในขณะที่เขาหัวเราะ
“ฮ่าฮ่า เพราะโอกาส?เจ้าถ่อมตัวเกินไป!”
“อาจารย์สุดยอดมาก!”
ในที่สุดลู่จื่อรั่วก็มีโอกาสสรรเสริญอาจารย์ของนาง
ติง!
คะแนนความประทับใจจากลู่จื่อรั่ว +30
ความสัมพันธ์เชื่อมต่อกับลู่จื่อรั่ว: มิตรภาพ (213/1,000)
ติง!
คะแนนความประทับใจจากบ่าวเฒ่า+30
การเชื่อมสัมพันธ์กับบ่าวเฒ่าเริ่มต้น สถานะปัจจุบัน : เป็นกลาง (30/100)
บ่าวเฒ่าไม่ได้พูดแต่คะแนนความประทับใจที่เขามอบให้ได้แสดงความชื่นชมต่อซุนม่อแล้ว
“สหายน้อยซุน ข้าสงสัยว่าเจ้าเต็มใจที่จะมีส่วนร่วมกับภาพวาดนี้และมอบให้ข้าได้ไหม?”
หลังจากเจิ้งชิงฟางพูดจบเขาก็รีบเสริมว่า
“ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าเสียเปรียบเจ้าต้องการเงินเท่าไหร่ สหายน้อยซุน สามารถระบุได้ตามสบาย!”
“ลืมเรื่องเงินไปเลยถ้าลุงเจิ้งชอบก็รับไปเถอะ!”
ซุนม่อหัวเราะเบาๆ
พูดตามตรงภาพวาดนี้วิเศษมาก และเป็นภาพวาดแรกที่เขาวาด ซึ่งทำให้เต็มไปด้วยคุณค่าแห่งการระลึกถึงเขาลังเลจริงๆ ที่จะปล่อยมันออกไป แต่เมื่อเผชิญหน้ากับแฟนพันธุ์แท้แบบนี้ ซุนม่อก็เต็มใจที่จะแยกทางกับมัน
เจิ้งชิงฟางคือใคร
ในฐานะข้าราชการเกษียณระดับสูงเขาไม่รู้ว่าเขาได้พบกับเด็กที่มีพรสวรรค์มากี่คนแล้ว แต่คะแนนความชื่นชอบที่ให้ไว้คือ30 ซึ่งเป็นค่าเต็ม แสดงให้เห็นว่าคนผู้นี้ชื่นชมเขามาก
นอกจากนี้ สำหรับเงิน1,000 แท่งก่อนหน้านี้ เขาไม่ได้พูดอะไรอีกและเพียงแค่มอบมันให้ซุนม่อเพื่อปลดปล่อยเขาจากความกังวลและสนับสนุนให้เขาเขียนไซอิ๋วให้เสร็จ
นี่เป็นคนแบบไหนกันนะ?นี่เป็นการกระทำของสหายสนิท!
ซุนม่อไม่ใช่คนตระหนี่เมื่อเจอสถานการณ์เช่นนี้ เขาก็ไม่ต้องการเงินของอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
“เราจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร?นี่คือภาพวาดที่มีชื่อเสียงมูลค่าของมันมีมูลค่าหลายหมื่นเหรียญทอง!”
เจิ้งชิงฟางส่ายหัวเมื่อพิจารณาจากสถานะของเขาแล้วเขาก็มีภาพวาดสองสามชิ้นเป็นของสะสมในบ้านของเขาด้วยแต่สำหรับภาพวาดที่ถึงระดับของบุปผามหัศจรรย์ เขามีเพียงสามภาพเท่านั้น
ไม่มีวิธีแก้ปัญหาสำหรับภาพวาดระดับนี้ ทุกคนจะฉวยมันอย่างบ้าคลั่งเมื่อมีภาพหนึ่งปรากฏในตลาดมันสามารถส่งผลต่อสภาวะจิตใจของผู้ชื่นชมได้อย่างแท้จริง
เช่นเดียวกับการเดินทางไปทางตะวันตกของพระถังซัมจั๋งนี้เมื่อคนๆ หนึ่งมีชีวิตที่ยากลำบาก มีปัญหาในการทำงาน และขาดสติเขาจะเต็มไปด้วยจิตวิญญาณการต่อสู้และความหลงใหลในทันทีเมื่อได้ดูภาพนี้
นี่คือเสน่ห์ของภาพวาดที่มีชื่อเสียง!
“ลุงเจิ้ง ถ้าท่านนับถือข้ามากอย่าพูดแบบนี้อีกต่อไป”
ซุนม่อกลับไปนั่งที่โต๊ะ
“มาดื่มกันเถอะ!”
เจิ้งชิงฟางลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหันไปสั่งบ่าวเฒ่า
“ไปเอากริชไล่เมฆของข้ามา!”
“ท่านผู้เฒ่า!”
เห็นได้ชัดว่าข้ารับใช้เก่าสามารถเดาความคิดของเจิ้งชิงฟางได้เขารีบบอก
“ไปเอามันมา”
เจิ้งชิงฟางขึ้นเสียงหลังจากนั้นเขากลับไปที่โต๊ะจัดเลี้ยงและดื่มเหล้าหนึ่งถ้วยเขาควบคุมตัวเองไม่ได้และลุกขึ้นยืนอีกครั้งเพื่อชื่นชมภาพวาดของพระถังซัมจั๋ง
ท่าทางของพระถังซัมจั๋งในภาพวาดนี้ซึ่งกำลังมุ่งหน้าสู่ตะวันตกเพื่อรับคัมภีร์พระไตรปิฎกที่แท้จริงเต็มไปด้วยจิตวิญญาณที่โอ่อ่าผ่าเผยและความมุ่งมั่นอันยิ่งใหญ่ย่อมส่งผลต่อจิตใจของผู้ที่มองดูอย่างง่ายดาย
ในไม่ช้า บ่าวเฒ่าก็นำกล่องคร่ำคร่ามา
“สหายน้อยซุนนี่เป็นเพียงของขวัญเล็กน้อยสำหรับเจ้า”
เจิ้งชิงฟางหยิบกล่องขึ้นมาเขาเปิดออกให้เห็นมีดอยู่ภายใน
“มีดเล่มนี้ฮ่องเต้แห่งถังพระราชทานให้ข้าในช่วงปีแรกๆ ของข้า”
จักรพรรดิถังคือประมุขแห่งอาณาจักรถัง
กริชนี้ดูงดงามมากแทนที่จะเป็นอาวุธที่ใช้ฆ่า มันดูเหมือนงานศิลปะมากกว่าแทน ที่ด้ามมีอัญมณีล้ำค่ามากมายฝังอยู่ภายในตัวของมันถูกแกะสลักด้วยลวดลายที่สวยงามและมีสายไข่มุกติดอยู่ที่ปลายด้าม
หลังจากได้ยินการแนะนำของเจิ้งชิงฟางซุนม่อก็เหลือบไปที่กริชขณะที่เขาเปิดใช้งานเนตรทิพย์
“กริชไล่เมฆ ความยาว:17 ซม. มันคืออาวุธวิญญาณระดับสูง กริชนี้ใช้งานได้ผล ถ้าท่านร่ายเวทท่านจะสามารถอัญเชิญอสูรวิญญาณได้”
เจิ้งชิงฟางสัมผัสกริชเขาก็เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกมากมาย
“กริชนี้เคยช่วยชีวิตข้าไว้!”
เจิ้งชิงฟาง เปิดเผยความรู้สึกชอบใจในขณะที่เขาระลึกถึงความทรงจำของเขา
“ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่ข้าถูกล้อมด้วยกองทัพของแคว้นอู๋ข้าทำได้เพียงหลบหนีเนื่องจากกริชนี้เรียกเทพอาชาออกมาได้”
“ใช้กริชนี้กรีดผิวหนังบนนิ้วของเจ้าและร่ายคาถาจากนั้นเจ้าจะสามารถเรียกลูกม้าศักดิ์สิทธิ์ชื่อ 'จุยหวิน'มันสามารถเดินทางได้ 1,000 ไมล์ต่อวันโดยไม่รู้สึกเหนื่อย”
บ่าวเฒ่าอธิบายเขารู้สึกลังเลใจจริงๆ เมื่อเห็นเจ้านายเก่าของเขาต้องการจะมอบกริชนี้ซึ่งติดตามเขามาเป็นเวลากว่าสามสิบปีแล้ว
สัตว์อสูรวิญญาณที่เรียกเช่นนั้นหมายความว่ามันมีสติปัญญาของตัวเองอยู่แล้ว หลังจากที่สัตว์ป่าผู้ที่มีพลังปราณแห่งสวรรค์และปฐพีในร่างกายตายลงจิตสำนึกในวิญญาณยังคงไม่เต็มใจที่จะจากโลกนี้ไปควบคู่ไปกับความบังเอิญที่เหมาะสม มันจึงถูกแปลงเป็นสัตว์อสูรวิญญาณ
อัตราการเกิดของสัตว์อสูรวิญญาณต่ำเกินไปดังนั้นราคาแต่ละตัวจึงประเมินค่ามิได้ คุณค่าของภาพวาดของซุนม่อไม่สามารถเทียบกับมันได้
ลูกม้าศักดิ์สิทธิ์ไล่เมฆคือม้าเหงื่อโลหิต มันเป็นม้าของฮ่องเต้ถังรุ่นก่อนและเป็นที่รักอย่างมากหลังจากที่มันตายไป เนื่องจากความรู้สึกผูกพันลึกๆ ที่มีต่อฮ่องเต้ถังมันจึงกลายเป็นสัตว์อสูรวิญญาณและเต็มใจที่จะติดตามเขาไปตราบเท่าที่เขายังมีชีวิตอยู่
เพราะตอนนี้ม้าไล่เมฆเป็นสัตว์อสูรวิญญาณ มันจึงไม่รู้จักความเหนื่อยล้า ไม่จำเป็นต้องกินหรือดื่มร่างกายของมันเบาราวกับนกนางแอ่น และเมื่อมันควบ ก็สามารถไล่ตามเมฆที่ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าได้จึงมีชื่อเรียกว่า 'ไล่เมฆ'
“กริชนี้เป็นอาวุธวิญญาณระดับสูงมันยังไม่ถึงระดับของอาวุธเซียนเพราะพลังโจมตีต่ำเกินไป แต่ถ้าเจ้ากำลังพูดถึงการหลบหนีสมบัติชิ้นนี้เป็นสมบัติที่มีคุณภาพสูงสุดอย่างแน่นอน”
เจิ้งชิงฟางส่งกริชให้ซุนม่อ
“ตราบใดที่เจ้าขี่มันเมฆขาวบนท้องฟ้าและสายลม พวกบนพื้นดินจะไม่สามารถไล่ตามเจ้าได้!”