ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 106 จอมยุทธ์สิบขั้น
ตำนานเทพปีศาจข้ามภพ บทที่ 106 จอมยุทธ์สิบขั้น
แปลโดย iPAT
หลี่ฉิงซานเข้าใจโครงสร้างของการบริหารประเทศ นี่เป็นการแยกอำนาจ ท้ายที่สุดพื้นที่ของโลกใบนี้ก็กว้างใหญ่เกินไป
ผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์มีหน้าที่คล้ายกับองครักษ์ของจักรพรรดิ พวกเขามีอำนาจมากกว่าขุนนางทั่วไปเล็กน้อย หลี่ฉิงซานกล่าว “ดังนั้นผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ก็ค่อนข้างน่าประทับใจ”
เย่ต้าฉวนกล่าว “ถูกต้อง ไม่จำเป็นต้องลังเลอีก อนาคตที่ดีกำลังรอเจ้าอยู่”
หยางซ่งกล่าวเสริม “และอำนาจในการทำตามใจตัวเองก็ยังไม่ใช่ประเด็นหลัก เจ้าไม่เหมือนคนที่จะหลงระเริงในอำนาจและอิทธิพล ฉิงซาน กองกำลังผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์มีสิ่งประดิษฐ์ทางจิตวิญญาณ หินวิญญาณ เม็ดยาจิตวิญญาณ และเคล็ดวิชามากมาย ไม่มีจอมยุทธ์คนใดไม่สนใจสิ่งเหล่านี้”
หลี่ฉิงซานถาม “มันเกี่ยวข้องกันอย่างไร?”
หลี่ฉิงซานถามอย่างเปิดอกขณะที่หยางซ่งค่อยๆผ่อนคลายลง เขาเต็มใจที่จะทำหน้าที่เป็นโคมส่องทางให้เด็กหนุ่ม ท้ายที่สุดเรื่องเหล่านี้ก็เป็นเพียงความรู้พื้นฐานทั่วไปเท่านั้น
มันกลายเป็นว่าการบ่มเพาะพลังปราณเป็นเรื่องยากมาก คนส่วนใหญ่อาจสามารถบ่มเพาะกำลังภายใน แต่การบ่มเพาะพลังปราณที่แท้จริงมีข้อกำหนดสูงมาก
เคล็ดวิชาส่วนใหญ่ที่ผู้คนฝึกฝนถือเป็นทักษะเบื้องต้นของการบ่มเพาะพลังปราณที่แท้จริง มันเป็นการลดข้อกำหนดและทำให้ประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตามกำลังภายในไม่สามารถเปรียบเทียบกับพลังปราณที่แท้จริง เนื่องจากมันไม่สามารถหล่อเลี้ยงอวัยวะภายในและปล่อยออกจากร่างกาย
อย่างไรก็ตามตราบเท่าที่พวกเขาบ่มเพาะกำลังภายในจนถึงขีดสุด พวกเขาสามารถเปลี่ยนมันเป็นพลังปราณและกลายเป็นจอมยุทธ์ที่แท้จริง
เส้นทางการบ่มเพาะพลังปราณแบ่งออกเป็นสิบขั้น
มันไม่ง่ายเหมือนการแบ่งระดับนักสู้ชั้นหนึ่ง ชั้นสอง หรือชั้นสาม เป็นเรื่องยากที่จะแยกแยะว่าคนผู้หนึ่งเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งหรือขึ้นสอง เหตุผลเป็นเพราะเคล็ดวิชาที่พวกเขาฝึกฝนต่างกัน ดังนั้นความสามารถของพวกเขาจึงแตกต่างออกไป
โดยทั่วไปการทะลวงเส้นลมปราณเพิ่มขึ้นหนึ่งเส้นจะทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย แต่ละเส้นคือหนึ่งระดับขั้น หากผู้บ่มเพาะสามารถทะลวงเส้นลมปราณทั้งแปด พวกเขาจะบรรลุขั้นที่เก้า
สำหรับขั้นที่สิบ มันยิ่งยากกว่า พวกเขาต้องทะลวงเส้นลมปราณอีกสิบสองเส้น หากพวกเขาทำสำเร็จ พวกเขาจะบรรลุจุดสูงสุดของการบ่มเพาะพลังปราณ
อย่างไรก็ตามหลี่ฉิงซานไม่มีเส้นลมปราณ เขาเดินอยู่บนเส้นทางสายปีศาจซึ่งไม่เกี่ยวกับจุดชีพจรหรือเส้นลมปราณใดๆ
แต่เมื่อเขาสามารถกู้คืนร่างมนุษย์ เหตุใดเขาจะไม่สามารถบ่มเพาะพลังปราณ? ดูเหมือนเขาต้องหาวิธีบ่มเพาะพลังปราณและลองทำมันเท่านั้น เขาเริ่มเดินบนเส้นทางสายใหม่ที่ไม่มีใครรู้จักโดยไม่รู้ตัวด้วยความคิดนี้
สำหรับหยางซ่ง เมื่อเขากลายเป็นจอมยุทธ์ เขาก็อายุมากแล้ว แม้เขาจะสามารถเปลี่ยนกำลังภายในเป็นพลังปราณที่แท้จริง แต่เขาก็ไม่สามารถทะลวงผ่านขั้นที่สองและก้าวหน้าไปได้ไกลกว่านั้น
หยางซ่งกล่าว “การบ่มเพาะร่างกายทำให้ผู้ฝึกฝนมีพละกำลังและแข็งแกร่งแต่มันยังไม่เพียงพอ ฉิงซาน เจ้ายังเด็กมาก เจ้าสามารถไปถึงขั้นที่สามหรือกระทั่งขั้นที่สี่หรือห้า หากเจ้าบรรลุขั้นที่หก เจ้าจะถูกเลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการหมาป่าทองแดงและไปยังเมืองชิงเหอ นั่นจะคุ้มค่ามากหากมันเกิดขึ้น”
หยางซ่งมีสายตาที่เฉียบแหลม เขาสามารถบอกได้ว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่พลังปราณของหลี่ฉิงซานจะบรรลุขั้นที่สองแล้ว นี่คือเหตุผลที่เด็กหนุ่มสามารถเอาชนะเขา การบ่มเพาะร่างกายไม่มีอนาคต มันเป็นเรื่องยากที่จะทะลวงเข้าสู่ดินแดนที่สูงกว่า
หลี่ฉิงซานกล่าว “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ ผู้อาวุโสหยาง ข้าจะพิจารณามันในอนาคต” แต่ในฐานะปีศาจ มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่เป็นผู้บ่มเพาะร่างกาย
อย่างไรก็ตามด้วยคำอธิบายของหยางซ่ง เขาก็เข้าใจทุกอย่างได้ชัดเจนขึ้น เขาสงสัยว่าจอมยุทธ์ขั้นใดที่เขาสามารถรับมือเมื่อเขาอยู่ในร่างปีศาจ จ้าวจื่อป๋อแห่งเมืองเจียเผิงควรเป็นผู้บัญชาการหมาป่าทองแดง ดังนั้นความแข็งแกร่งของเขาก็น่าจะอยู่ในระดับจอมยุทธ์ขั้นหกที่สามารถพัฒนาทะเลปราณ
เขาไม่รู้ว่าระหว่างทะเลปราณของมนุษย์กับแก่นปีศาจของปีศาจ สิ่งไหนทรงพลังกว่า แต่พวกมันน่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน แม้แก่นปีศาจจะอ่อนแอกว่า เขาก็ยังสามารถวิ่งหนี นี่ทำให้เขาตัดสินใจที่จะไปเยี่ยมชมเมืองเจียเผิง นอกจากนั้นทรัพยากรที่กองกำลังผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์เสนอให้สมาชิกก็น่าสนใจไม่น้อย
หลี่ฉิงซานถามต่อ “ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าผู้อาวุโสหยางฝึกเคล็ดวิชาใด?”
หยางซ่งกล่าวอย่างช้าๆ “วิธีบ่มเพาะพลังปราณมักเป็นเคล็ดวิชาเฉพาะตัวของนิกายหรือสำนักต่างๆ มันไม่สามารถเปิดเผยต่อคนนอก”
หลี่ฉิงซานเข้าใจว่าคำถามของเขาค่อนข้างไร้มารยาทและกะทันหันเกินไป เขาพึ่งคืนดีกับหยางซ่งแต่เขากลับถามวิธีการบ่มเพาะพลังปราณของอีกฝ่าย นี่เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม ดังนั้นเขาจึงเผยรอยยิ้ม “ข้าหยาบคายแล้ว” เขาดื่มสุราและไม่กล่าวสิ่งใดอีก
หยางซ่งรู้สึกลำบากใจ “หากเจ้าต้องการจริงๆ ข้าจะลองดูว่าสามารถทำสิ่งใดได้บ้าง”
หลี่ฉิงซานมีความสุขมาก เขายกถ้วยสุราให้หยางซ่ง เย่ต้าฉวน และหลิวหงด้วยความยินดีกับโชคของตน หลี่หลงแสดงความยินดีกับเขาเช่นกัน เรื่องทั้งหมดทำให้เขาตระหนักอย่างแท้จริงว่าโลกใบนี้ถูกปกครองด้วยความแข็งแกร่ง หลี่ฉิงซานตบหน้าชายชราแต่เรื่องนี้กลับจบลงด้วยการได้รับวิธีบ่มเพาะพลังปราณเป็นการตอบแทน
หลังมื้ออาหาร ในห้องอันเงียบสงบ หยางซ่งมอบวิธีบ่มเพาะพลังปราณให้หลี่ฉิงซาน
เคล็ดวิชานี้มีเก้าขั้น เมื่อบรรลุขั้นที่เก้า ผู้ฝึกฝนจะกลายเป็นจอมยุทธ์ขั้นสาม มันไม่ถือเป็นเคล็ดวิชาที่น่าประทับใจใดๆ
หยางซ่งอธิบายประเด็นนี้อย่างใจเย็น “เคล็ดวิชานี้เป็นเพียงการวางรากฐาน ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า ข้าเชื่อว่าเจ้าสามารถหาเคล็ดวิชาที่ดีกว่านี้สำหรับการบ่มเพาะในอนาคต”
วิธีการบ่มเพาะพลังปราณถือเป็นสมบัติล้ำค่า มันเพียงพอที่จะทำให้คนทั่วไปเสี่ยงชีวิตเพื่อมัน
แน่นอนว่ามันไม่ได้ล้ำค่าสำหรับเหล่าจอมยุทธ์ ท้ายที่สุดนี่ก็เป็นเพียงเคล็ดวิชาพื้นฐานที่ทุกคนรู้จักดี ตราบเท่าที่คนผู้หนึ่งมีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะพลังปราณ พวกเขาจะได้รับการถ่ายทอดวิธีการพื้นฐานนี้ ตราบเท่าที่หลี่ฉิงซานเข้าร่วมกองกำลังผู้พิทักษ์หมาป่าอินทรีย์ เขาจะได้รับวิธีการนี้เช่นกัน หยางซ่งสามารถมองเห็นอนาคตที่ดีรอหลี่ฉิงซานอยู่ข้างหน้า ดังนั้นเขาจึงไม่รังเกียจที่จะมอบสิ่งนี้ให้เด็กหนุ่มโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
“ขอบคุณผู้อาวุโสหยาง” เป้าหมายของหลี่ฉิงซานในตอนนี้คือตรวจสอบว่าเขาสามารถฝึกพลังปราณได้หรือไม่ แม้เคล็ดวิชานี้จะไม่มีสิ่งใดโดดเด่นแต่มันง่ายที่จะทำความเข้าใจ ดังนั้นมันจึงเหมาะสมกับเขามากที่สุด
จากนั้นหยางซ่งก็กล่าวคำลาและกลับไปพร้อมกับศิษย์ที่ได้รับการคัดเลือก
ในห้องที่เงียบสงบ หลี่ฉิงซานนั่งไขว้ขา ปิดเปลือกตา และทำความเข้าใจพลังปราณ
เขามีประสบการณ์ในการบ่มเพาะพลังปราณ แต่ทั้งหมดที่เขาทำคือการเปลี่ยนมันเป็นปราณปีศาจ นั่นไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมในการบ่มเพาะพลังปราณของมนุษย์
ตอนนี้เขาได้เรียนรู้วิธีการบ่มเพาะพลังปราณของมนุษย์เป็นครั้งแรก หลังจากเข้าใจบางสิ่ง เขาก็พบว่ามันง่ายกว่าเคล็ดวิชาที่วัวดำสอนเขามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามขั้นแรก มันไม่ต้องทะลวงเส้นลมปราณแต่เป็นเพียงการรวบรวมพลังปราณเท่านั้น
มันเหมือนนักเรียนมัธยมปลายที่เข้าเรียนและทำแบบฝึกหัดของนักเรียนชั้นประถม มันง่ายมาก ภายในเวลาไม่ถึงสองชั่วโมง หลี่ฉิงซานก็สามารถรวบรวมพลังปราณ พรสวรรค์ของเขาถูกแสดงออกมาอีกครั้ง อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าตนเองสามารถบ่มเพาะพลังปราณของมนุษย์ หากเขาเกิดในเมืองชิงเหอ เขาคงกลายเป็นศิษย์ของจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงบางคนไปแล้ว
อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะสามารถเฉลิมฉลอง แก่นปีศาจก็ดูดกลืนพลังปราณของเขาและเปลี่ยนมันเป็นปราณปีศาจ
หลี่ฉิงซานตกตะลึง เขาทำสิ่งใดผิดไปหรือไม่? เขาเริ่มใช้ทักษะจิตวิญญาณเต่าเพื่อดูดซับปราณจิตวิญญาณจากธรรมชาติ หลังจากหกชั่วโมง แก่นปีศาจของเขาก็เข้าสู่สภาวะอิ่มตัว
หลี่ฉิงซานทดลองควบแน่นพลังปราณอีกครั้งแต่มันยังถูกแก่นปีศาจกลืนกินเข้าไป อย่างไรก็ตามครั้งนี้มีพลังปราณส่วนหนึ่งเหลืออยู่ นี่ทำให้เขารู้สึกมีความสุขมากเพราะมันพิสูจน์ว่าความคิดและทางเลือกของเขาถูกต้อง เขาสามารถฝึกพลังปราณของมนุษย์ได้จริงๆ
ท้องฟ้าค่อยๆมืดลง หลี่ฉิงซานอดทนต่อการฝึกฝนของเขาและค่อยๆรวบรวมพลังปราณได้ทีละเล็กละน้อยผ่านความยากลำบาก เขาเหมือนคนงานที่ทำงานภายใต้ความเอารัดเอาเปรียบของเจ้านาย เขาต้องทำงานหนักขณะที่ผลงานส่วนใหญ่ถูกยึดไป
แน่นอนว่าเจ้านายผู้นี้ก็คือตัวเขาเอง ท้ายที่สุดความพยายมของเขาก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์
ในช่วงเวลานี้หลี่หลงมาเคาะประตูเพื่อเชิญเขาไปทานอาหาร อย่างไรก็ตามหลี่ฉิงซานจมอยู่ในทะเลลึกแห่งการบ่มเพาะ เขาไม่ตระหนักถึงสิ่งใดเลย