ปัจฉิมบทที่2: ผู้หญิงอันตราย
[เซเรเทย์. หน่วยที่4]
ภายใต้แสงจันทร์นั้น หญิงงามผมสีดำคนหนึ่งที่สวมผ้าคลุมสีขาวพร้อมเลข4ปักที่หลังกำลังนั่งจิบชาขณะมองบึงน้ำประดิษย์ที่สะท้อนเงาจันทร์อยู่.
ข้างๆเธอนั้นก็มีผู้หญิงผมสีเงินยืนอยู่เงียบๆ. เธอเป็นคนตัวสูงถึง187ซม. แต่ความงามของเธอนั้นก็ไม่ได้ดูด้อยเลย.
‘ไม่ผิดแน่ๆ.’
โคเท็ตสึ อิซาเนะรองหัวหน้าหน่วยที่4 คิดในใจ.
“มีอะไรงั้นเหรอคะ?”
อิซาเนะส่ายหน้าแล้วตอบ “หัวหน้าคะ, ชั้นได้รับข่าวมาว่านักเรียนที่ชื่อโกโจ ซาโตรุสมัครเข้าหน่วยที่4ของเราค่ะ”
อุโนะฮานะ เร็ตสึเอียงหัวเธอเล็กน้อย.
“โกโจ ซาโตรุ. ยังอยู่ปีหนึ่งไม่ใช่เหรอคะ? เขาจบการศึกษาแล้วงั้นหรอ?”
“ใช่ค่ะ”
“อ๋ออ. อัจฉริยะสินะคะ?”
อุโนะฮานะและอิซาเนะนั้นไม่ค่อยสนใจเรื่องอัจฉริยะมากนัก.
อิซาเนะอยู่มากว่า1700ปี ส่วนอุโนะฮานะนั้นก็เกิน2พันปีแล้ว.
ช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น จำนวนของพวกอัจฉริยะที่พวกเธอได้เจอมานั้นมีจำนวนเยอะมาก.
แต่ถึงอย่างนั้น,
“ทำไมอัจฉริยะแบบนั้นถึงอยากมาเข้าหน่วยของเราล่ะคะ?”
อิซาเนะเองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน.
แม้ว่าหัวหน้าอุโนะฮานะจะเป็นหนึ่งใน5หัวหน้าที่แกร่งที่สุด แต่หน่วยที่4นั้นก็อาจะเรียกได้ว่าเป็นหน่วยที่อ่อนแอที่สุดเช่นกัน. มีเพียงแค่ยมทูตที่ไม่มีความสามารถด้านการต่อสู้เท่านั้นที่จะมาเข้าหน่วยนี้.
อุโนะฮานะคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงส่ายหัว
“ช่างมันเถอะค่ะ. พอเขาเข้ามาแล้ว คุณอิซาเนะช่วยดูแลและสอนวิถีมารให้เขาด้วยนะคะ. ในเมื่ออัจฉริยะแบบนั้นเลือกพวกเราแล้ว ไม่ว่ายังไงพวกเราก็จะต้อนรับเขาอย่างดีค่ะ”
เธอรู้สึกได้ว่าเขาเข้าหน่วยนี้มาเพื่ออะไรบางอย่างแต่เธอก็ไม่สนใจ.
เธอเคยเป็นอาชญากรที่เหี้ยมที่สุดในโซลโซไซตี้มาก่อนและเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง13หน่วยพิทักษ์ด้วย. ถ้ามีเจ้าหมาน้อยมาก่อกวนในบ้านเธอล่ะก็ เธอก็แค่สั่งสอนมันให้เข้าทางพอ.
‘เด็กคนนี้จะทำให้ชั้นตื่นเต้นได้อีกไหมนะ.’
อิซาเนะยิ้มบางๆให้แล้วพยักหน้า.
“รับทราบค่ะ.”
--
[หน่วยที่สองแห่งเซเรเทย์]
ในขณะเดียวกันทางด้านหน่วยที่สอง, ซุยฟงที่อยู่ในชุดคลุมสีขาวของเธอขมวดคิ้วขึ้นมาหลังได้ยินรายงานจากรองหัวหน้าของเธอ.
“หมอนั่นเลือกหน่วยที่4งั้นเหรอ?”
มันทำให้เธอประหลาดใจมาก.
หน่วยที่4นั้นเป็นที่รู้ๆกันว่าเป็นแหล่งรวมตัวของพวกขี้คลาดไม่ก็คนที่อยากช่วยคนอื่น.
แม้ว่าแต่ละหน่วยจะมีระดับพลังไม่ต่างกันนัก แต่หน่วยที่4ก็ได้ชื่อว่าเป็นหน่วยที่อ่อนแอที่สุด.
แน่นอนว่าซุยฟงเองก็นับถือหน่วยที่4มากๆ. แต่นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าพวกเขาอ่อนแอ.
โกโจ ซาโตรุที่เธอรู้จักไม่ใช่คนอ่อนแอและจากที่รายงานเรื่องฮอลโล่วเร็วๆนี้แล้ว เขาแกร่งขึ้นกว่าที่เธอจำได้มาก. อีกอย่างเขาก็ไม่ใช่คนที่ขี้คลาดด้วย.
‘รู้สึกแหม่งๆ’
เธอลังเลอยู่พักหนึ่งแต่สุดท้ายก็เลิกความคิดที่จะส่งคนไปแอบดูเขา เพราะโกโจได้ทำให้เห็นแล้วว่าไม่มีทางที่เขาจะจับไม่ได้.
อีกอย่าง, เธอจะสั่งการให้หน่วยลับไปสอดแนมคนคนเดียวก็คงจะไม่เหมาะนัก.
‘สงสัยจะไม่มีทางเลือก. ต้องไปหาหมอนั่นด้วยตัวเองแล้ว.’
ถ้าหมอนั่นไม่มีแผนอะไร ทุกอย่างก็คงดี.
แต่ถ้ามีล่ะก็....เธอจะให้เขาได้ชิมซึสุเมะบาจิเอง.
[*ฮิฮิ* ในที่สุดเธอก็เจอผู้ชายที่ทำให้สนใจได้แล้วเหรอ?]
เสียงหัวเราะเล็กๆดังขึ้นในหัวของเธอทำให้ซุยฟงคิ้วผูกโบว์ด้วยความไม่พอใจ.
“โอไมดะ. นายไปได้แล้ว.”
“ครับผม”
ทันทีที่โอไมดะออกไป ซุยฟงก็ถอนหายใจออกมาแล้วเงยหน้าขึ้น.
ข้างบนหัวเธอนั้นมีเด็กผู้หญิงขนาดเท่าแฟรี่ใส่ชุดสีดำและทองบินอยู่. แขนขวาของเธอนั้นเป็นเหล็กในสีดำเหลืองทั้งแขน.
“อย่ามากวนชั้นน่า ซึสุเมะบาจิ.”
เธอคือวิญญาณดาบฟันวิญญาณของซุยฟงนั่นเอง.
ซึสุเมะบาจิทำหน้าไม่พอใจเล็กน้อยขณะที่ลอยไปมา
[ชั้นบอกเธอแล้วไงว่าชีวิตเธอจะมีความสุขกว่านี้ถ้าเลิกคิดถึงแต่โยรุอิจิของเธอแล้วหาผู้ชายดีๆซักคน. หมอนั่นก็ไม่เลวนะ.]
ซุยฟงขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจอีกครั้ง.
ดาบฟันวิญญาณนั้นเปรียบเสมือนเพื่อนคู่ใจ. เป็นบางอย่างที่อยู่ระหว่างลูกและพี่น้อง. พวกมันมีความคิดและความต้องการเป็นของตัวเอง. บางครั้งความต้องการของพวกมันก็ไม่ตรงกับเจ้าของนัก.
“ฟังนะ, ชั้นไม่ได้สนใจหมอนั่นหรอก. ชั้นไม่ได้ชอบคนแค่หน้าตา. อีกอย่างชั้นก็ไม่ได้เอาแต่คิดถึงท่านโยรุอิจิด้วย”
[ฮี่ฮี่ฮี่~! ดูเธอพูดเข้าสิ. ทำไมถึงยังใช้คำว่าท่านอยู่อีกล่ะ? ช่างเถอะ ไปนอนดีกว่า.]
พอกล่าวเสร็จซึสุเมะบาจิก็หายไป ทิ้งซุยฟงไว้คิดอยู่คนเดียว.