บทที่ 15 : เจ้ามีหน้าที่เป็นดอกไม้งาม
บทที่ 15 : เจ้ามีหน้าที่เป็นดอกไม้งาม
เซียวหานเจิงสามารถขึ้นสู่ตำแหน่งสูงได้ในชีวิตก่อนเพราะเส้นสายที่เขามี
เพราะเรื่องนี้ เขาจึงพอเข้าใจนิสัยโดยรวมของสือชิงลั่วได้จากการสนทนานี้ของพวกเขา
นางเป็นคนตรงไปตรงมา เป็นคนแข็งเล็กน้อย แต่การกระทำของนางล้วนคล่องแคล่วว่องไวและมีประสิทธิผลเสมอ
เขาค่อนข้างชื่นชอบคนที่มีลักษณะนิสัยเช่นนี้มาก
มันอาจจะมาจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขาก็เป็นได้
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ไม่ชอบสตรีที่อ่อนแอและเชื่อฟัง ไม่มีความคิดเป็นของตนเองหรือปฏิบัติกับสามีของตนเองเสมือนพระเจ้าในสายตาของพวกนาง แต่เขาก็ไม่ได้ชอบพวกนางเช่นเดียวกัน
ดังนั้น ในชีวิตก่อนของเขา ไม่ใช่ว่าไม่มีใครต้องการแต่งงานกับเขา
ความจริงแล้ว หลายตระกูลต่างต้องการให้บุตรสาวของพวกเขาแต่งงานกับเขา แต่เป็นเขาเองที่ปฏิเสธพวกเขาทั้งหมด
เขาต้องการภรรยาที่สามารถยืนเคียงข้างคอยสนับสนุนและเข้าใจเขา แต่เขาไม่เคยพบคนคนนั้นจนกระทั่งเขาตายไป
เขาถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่เคยพบข้า และเจ้าก็เลือกมาอยู่ที่นี่เพราะครอบครัวของข้าอย่างนั้นหรือ?”
“หากข้าไม่ฟื้นขึ้นมา เจ้าจะไม่กลายเป็นหม้ายหรือ?”
“แล้วถ้าข้าเป็นคนหน้าตาอัปลักษณ์ หรือข้าฟื้นขึ้นมาแล้วกลายเป็นคนชั่วช้า หรือแม้กระทั่งทุบตีภรรยา แล้วเจ้าจะทำเช่นไร?”
เขาสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เล็กน้อย เขารู้ว่า สือชิงลั่วดูไม่ใช่คนที่จะทำให้เขาต้องผิดหวังในคำตอบ
สือชิงลั่วหัวเราะ “ข้าไม่ได้โง่ ก่อนที่จะแต่งกับเจ้า แน่นอนว่าข้าต้องได้เห็นหน้าของเจ้าก่อน”
“วันนั้น วันที่ข้าเอายาให้กับมารดาของเจ้า ข้าก็ได้ถือโอกาสดูหน้าของเจ้าด้วย”
“หากเจ้าหน้าตาอัปลักษณ์จนเกินไป ข้าก็คงไม่ตัดสินใจแต่งเข้าบ้านของเจ้า”
เซียวหานเจิง “......” กลายเป็นว่า ใบหน้าของเขามีส่วนสำคัญในการแต่งงานของนางสินะ
สือชิงลั่วพูดต่อ “และอย่างที่ข้าได้พูดไว้ก่อนหน้านี้ ข้ามาที่นี่ก็เพราะครอบครัวของเจ้า ดังนั้น มารดารและน้องของเจ้าจึงมีส่วนสำคัญในเรื่องนี้มากที่สุด”
“พวกเขาดูเข้ากับข้าได้อย่างง่ายดาย ข้าจึงไม่หวาดกลัวเรื่องที่จะต้องกลายเป็นหม้าย ถึงไม่มีเจ้า ข้าก็ยังจะอยู่กับพวกเขาต่อไป”
เซียวหานเจิง “......” ที่แท้นางได้พิจารณาถึงเรื่องที่เขาอาจไม่ฟื้นขึ้นมาและตายเอาไว้แล้ว
เขาอยากจะขอบคุณนางจริงๆ...
สือชิงลั่วชูกำปั้นส่ายไปมาแล้วพูดว่า “แล้วถ้าหากเจ้าฟื้นขึ้นมากลายเป็นคนอารมณ์ร้ายหรือกล้าทำร้ายข้า ข้าก็จะทำให้เจ้าต้องร้องไห้หาพ่อหาแม่และหย่ากับเจ้าซะ”
“แน่นอนว่า ก่อนที่ข้าจะเข้ามาที่หมู่บ้านนี้ ชาวบ้านหลายคนก็เคยพูดถึงเจ้ามาก่อน”
“เลือกมารดายากจนแทนที่จะเลือกบิดาผู้ร่ำรวย คือสิ่งที่ข้านับถือที่สุด”
“เพียงแค่ต้องสู้เพื่อให้ได้ในสิ่งที่เจ้าต้องการก็พอ หากเจ้ายอมละทิ้งมารดาและพี่น้องของตัวเองเพื่ออำนาจแล้วละก็ เช่นนั้นเจ้าจะต่างอะไรกับบิดาสวะของเจ้ากัน?”
“ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมองดูมารดาและน้องๆของเจ้าแล้ว ข้าก็มองออกว่า เจ้าปกป้องพวกเขาเป็นอย่างดี อย่างน้อยๆเมื่อเป็นเรื่องการดูแลคนในครอบครัว เจ้าก็ถือว่าทำได้ดี”
“จากทั้งหมดที่ข้าพูดมา ก็สรุปได้ว่า เจ้าเป็นคนมีความรับผิดชอบและทะเยอทะยาน”
“และนั่นคือเหตุผลที่ทำไมข้าถึงได้เลือกแต่งแก้ชงให้กับเจ้า”
ถึงแม้ว่าสือชิงลั่วจะเกิดมาในครอบครัวที่ร่ำรวย แต่นางก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านเกษตรกรรม
ดังนั้น นางจึงเป็นคนตรงไปตรงมาและไม่ชอบอ้อมค้อมเมื่อต้องสื่อสารกับคนรอบตัว
เซียวหานเจิงไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ที่แท้ภรรยาตัวน้อยของเขาคิดเอาไว้มากมายหลายเรื่องก่อนที่จะแต่งงานกับเขา
ไม่เพียงแต่นางจะตรงไปตรงมา แต่นางยังฉลาดเฉลียวอีกด้วย
ในชีวิตก่อนของเขา เขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับแผนการร้ายจากผู้คนรอบตัว
ตอนนี้ ภรรยาของเขากลับเป็นคนที่ตรงไปตรงมา ทำให้เขาอดที่จะรู้สึกดีไม่ได้
อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องเหนื่อยกับการที่ต้องอยู่กับนาง มันเป็นอะไรที่น่าสนใจจริงๆ
ในเมื่อนางตรงไปตรงมาเช่นนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อมเช่นเดียวกัน “ข้าไม่มีใครในใจ และในอนาคตก็คงไม่มีเช่นกัน ดังนั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องหย่าหรอก”
สือชิงลั่วมองเขา “แล้วถ้าหากนิสัยของเราสองคนไปด้วยกันไม่ได้ หรือเราเข้ากันไม่ได้เล่า? เช่นนั้นข้าก็เลือกหย่าอยู่ดี”
“ข้าคิดว่า หากสามีและภรรยาต้องการอยู่ด้วยกันจริงๆ อย่างน้อยๆพวกเขาก็ต้องอยู่ในพื้นฐานของความสัมพันธ์ แม้ว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายก็ตาม”
เซียวหานเจิง “......”
ภรรยาบ้านไหนบ้างที่พูดเรื่องหย่าตั้งแต่วันแรกที่แต่งเข้ามา?
“เอาเถอะ เรื่องนี้ข้าไม่คิดบังคับเจ้า เจ้าได้ช่วยน้องของข้า ให้ยาลดไข้กับข้า และทำให้ข้าฟื้นขึ้นมา ข้าจะจดจำบุญคุณที่เจ้าได้ช่วยเหลือพวกเราเอาไว้เสมอ”
“ตราบใดที่เจ้าเป็นภรรยาของข้า ข้าก็จะไม่ทำให้เจ้าต้องเสียใจ และดีต่อเจ้า”
นี่คือคำสัญญาของเขา
สือชิงลั่วเลิกคิ้ว “เจ้าหมายถึง ตราบใดที่ข้าไม่หย่ากับเจ้า เจ้าก็จะไม่หย่ากับข้าเช่นนั้นหรือ?”
เซียวหานเจิงพยักหน้า “ใช่ เจ้าจะเป็นภรรยาของข้าไปชั่วชีวิต”
สือชิงลั่วคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ดี เช่นนั้นพวกเราก็มาลองอยู่ร่วมกันเถอะ”
“รอดก็อยู่ ไม่รอดก็หย่า”
ตั้งแต่ที่เซียวหานเจิงฟื้นขึ้นมา ทั้งหน้าตาและนิสัยใจคอของเขาล้วนถูกใจนาง
ที่สำคัญเขาเป็นคนฉลาดทำให้ง่ายต่อการพูดคุยทำความเข้าใจระหว่างกัน
แม่เซียวกับน้องสองคนของเขาต่างก็เข้ากับคนง่าย
แม้แต่ในยุคปัจจุบันก็ยังหาครอบครัวเช่นนี้ได้ยาก
ในเมื่อนางแต่งเข้ามาอยู่ที่นี่แล้ว เมื่อต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่การเป็นโสดถือเป็นเรื่องผิดแปลกในยุคสมัยโบราณ หากเลี่ยงการหย่าได้ก็จะเป็นการดี
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่ออยู่ๆนางก็มาโผล่ที่นี่ กลับต้องมีบ้านเดิมที่ร้ายกาจ
การอยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพัง คงทำให้นางไม่มีพลังใจที่จะสร้างธุรกิจของตนเองขึ้นมา
ในโลกที่ไม่คุ้นเคยนี้ นางก็หวังว่าจะมีใครสักคนมาใช้ชีวิตร่วมกันและฝ่าฟันความยากลำบากไปด้วยกัน
ถึงแม้ว่าเซียวหานเจิงจะไม่เคยได้ยินเรื่องการ “ทดลองแต่งงาน” มาก่อน แต่เขาก็เข้าใจสิ่งที่นางต้องการสื่อ
รอยยิ้มบางปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “ได้ เราจะทำอย่างที่เจ้าว่ามา”
สือชิงลั่วคิดอยู่ครู่หนึ่งและถามว่า “ในอนาคต เจ้าจะยังสอบเคอจวี่ใช่หรือไม่?”
เซียวหานเจิงพยักหน้าอย่างมั่นใจและพูดว่า “ข้าจะสอบเคอจวี่ และข้าจะพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้อันดับต้นๆ”
ในชีวิตก่อนของเขานั้น การแก้แค้นของเขานั้นล้วนเต็มไปด้วยความโหดร้าย
แต่ในชีวิตนี้ เขาอาจจะเปลี่ยนหนทางใหม่
ครอบครัวของเขาล้วนยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้น เขาจึงจำเป็นต้องสอบเคอจวี่เพื่อกลายเป็นขุนนาง
สือชิงลั่วพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี”
นางเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและยิ้มอย่างมั่นใจ “เช่นนั้น ในอนาคต ข้าจะรับผิดชอบเรื่องหาเงินใช้จ่ายในบ้าน ส่วนเจ้าก็ทำตัวให้งดงามเช่นดอกไม้ และสอบเคอจวี่เพื่อกลายเป็นขุนนางและเป็นเสาหลักคอยค้ำจุนพวกเรา”
พวกเขาอยู่ในยุคโบราณ
หากไร้กำลังหรืออำนาจ ก็จะกลายเป็นเป้าให้ผู้อื่นและถูกขโมยทุกสิ่งอย่างที่พวกเขามีไปจนหมด
มีอีกสิ่งหนึ่งในตัวของเซียวหานเจิงที่นางให้ความสำคัญ นั่นก็คือศักยภาพของเขา
ดังนั้น เขาควรมุ่งเน้นไปที่เรื่องการสอบเคอจวี่
เมื่อเขากลายเป็นขุนนางในอนาคต นางก็สามารถพึ่งพาเขาได้
นางหาเงินเพื่อสนับสนุนครอบครัวของเขา ทั้งยังเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตอีกด้วย
ใบหน้าของเซียวหานเจิงดำคล้ำ “งามเช่นดอกไม้? หมายความว่ายังไง?”
สือชิงลั่วกระพริบตา “ก็หมายความว่า จงดูแลใบหน้าของเจ้าให้ดี ข้าชอบมองดูมันและมันดีต่อสายตาอย่างไรล่ะ”
ก็ใครใช้ให้นางชอบคนหน้าตาดีกันเล่า?
เซียวหานเจิงไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ทำไมในหนึ่งวัน ภรรยาตัวน้อยของเขาถึงได้มีความคิดแปลกประหลาดมากมายเช่นนี้?
“เอาเถอะ ข้าตามใจเจ้า” เขาพูดอย่างไร้หนทาง
สือชิงลั่วยื่นกำปั้นไปตรงหน้าเซียวหานเจิง “เช่นนั้นก็ตกลง”
เซียวหานเจิงมองใบหน้าน่ามองของนางและเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
นี่หมายความว่า เขาต้องจับมือหรือเกี่ยวก้อยกับนางกัน
เขาพยายามยกมือขึ้นและชนหมัดกับนาง “เป็นอันตกลง”
หลังจากผ่านไปสักพัก เซียวป๋ายหลี่ก็นำโจ๊กเข้ามา
นางยิ้มและส่งมันให้กับสือชิงลั่ว “พี่สะใภ้ ข้าคงต้องรบกวนให้ท่านป้อนโจ๊กให้กับพี่ชายแล้ว”
นางอายุสิบสองปีแล้วและไม่เหมาะที่จะทำเรื่องเช่นนี้
การให้พี่สะใภ้ของนางเป็นคนป้อนพี่ชายยังเป็นการช่วยให้ทั้งสองได้กระชับความสัมพันธ์กันด้วย
สือชิงลั่วรับถ้วยมาอย่างมีมารยาท “ได้สิ”
นางนั่งลงข้างเตียง จากนั้นจึงใช้ช้อนตักโจ๊กขึ้นมาเป้า ก่อนจะส่งไปที่ปากของเซียวหานเจิง “กินสิ”
นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวหานเจิงถูกป้อนโจ๊กแบบนี้ เขาจึงรู้สึกขัดเขินและทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย
หากเขาพอมีแรงอยู่บ้าง เขาก็คงกินเอง
แต่เมื่อมองดูแววตากระจ่างใสและท่าทางมีมารยาทของสือชิงลั่วแล้ว เขาก็จำต้องเก็บความขัดเขินไปและเปิดปากเพื่อกินโจ๊ก