ตอนที่22: ฮิซากิ ชูเฮย์
“เป็นหัวหน้างั้นเหรอ”
หากจะพูดกันตรงๆล่ะก็ ตำแหน่งหัวหน้านั้นไม่ได้ทำให้เขาสนใจเลยแม้แต่น้อย.
ภาระหน้าที่มันเยอะเกินไป.
ตอนที่ยังอยู่โลกนั้น เหตุผลที่เขายอมเข้ากับพวกเบื้องบนด้วยก็เพื่อจะหยุดพวกตาแก่บ้าอำนาจพวกนั้นและคอยบ่มเพาะนักเรียนให้เติบโตขึ้นอย่างสวยงาม.
นักเรียนอย่างยูตะและยูจิคือคนที่มีความสามารถพอจะเติบโตขึ้นมาในระดับใกล้เคียงกับเขา เขากล้าพูดได้เลยว่าพวกเขาคือความสำเร็จในชีวิตของเขาเลย.
ส่วนตอนนี้น่ะเหรอ,
“หึ, คิดมากไปก็ไม่มีอะไรดี. ทำอะไรได้ก็ทำไปก่อน”
โกโจปิดหนังสือในมือแล้วลุกขึ้น เขาพบว่าอาทิตย์กำลังตกดิน. เขาสวมแว่นตากลับแล้วเอาหนังสือกลับไปคืนที่เดิมแล้วจากไป.
นานาโอะกับโทชิโร่ก็ออกห้องสมุดไปนานแล้วด้วย.
ด้วยตำแหน่งรองหัวหน้า นานาโอะมีงานรัดตัวมากๆเธอพยายามหาเวลาว่างมาพบและช่วยเหลือเขา. เขารู้สึกซาบซึ้งในสิ่งที่เธอทำให้มากๆ.
ส่วนโทชิโร่นั้นต้องรีบกลับไปเรียนวิชาซันจัตสึ.
เป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ โทชิโร่เป็นอัจฉริยะและดาบของเขาก็เริ่มแสดงความสามารถของมันออกมาแล้ว.
อีกไม่กี่เดือนเขาก็คงจะได้ชื่อดาบฟันวิญญาณและไปถึงขั้นชิไคได้. เป็นระดับที่ยมทูต90% ไม่สามารถไปถึงได้เลย.
ส่วนโกโจนั้นถึงจะเก่งกาจเพียงใดเขาก็ยังไม่สามารถสื่อถึงวิญญาณของดาบได้เลย.
วิธีที่ยมทูตจะสื่อถึงดาบของพวกเขาได้นั้นคือต้องผ่านวิธีพิเศษที่เรียกว่าจินเซ็น.
ไม่ว่าเขาจะพยายามแค่ไหนและถึงแม้จะรู้สึกถึงวิญญาณดาบได้เพียงใด เขาก็ไม่สามารถสื่อสารกับมันได้เลย.
โกโจเข้าใจปัญหาของเขาดีแต่ก็ทำอะไรกับมันไม่ได้.
มันไม่ใช่เรื่องของพรสวรรค์แล้ว มันคือเรื่องของตัวเขาเอง.
เขารู้ว่าลึกๆแล้ว เขาปฏิเสธดาบของตัวเอง.
ดาบฟันวิญญาณนั้นคือเพื่อนสนิท. มันคือสิ่งที่ยมทูตจะมีคู่กายไปตลอดชีวิต.
แต่โกโจ ซาโตรุไม่ได้ต้องการเพื่อน.
ชั่วชีวิตของเขานั้นมีเพียงคนเดียวที่สามารถเรียกแบบนั้นได้.
เกะโท ซุงุรุ.
เพื่อนสนิทและชายคนเดียวที่เขาได้กำราบตอนที่เขาเข้าสู่ด้านมืดไป.
ตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่มีใครตามรอยเขาได้อีกเลย.
เขาคือผู้ใช้ไสยเวทย์ที่แข็งแกร่งที่สุด. คนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุด.
มันคือความภาคภูมิใจของเขาและสิ่งเดียวที่เขาทะนงไว้. ต่อให้ตายแล้วกลับมาเกิดใหม่ในโลกนี้ก็ยังเหลืออยู่.
นั่นคือเหตุผลที่หัวใจของเขาปิดกั้นดาบฟันวิญญาณ.
“เห้อ, มาเครียดเรื่องเชี่ยๆแบบอารมณ์นี่มันน่าปวดหัวจริงๆ”
เขาเกาหัวแล้วเดินอยู่คนเดียวในตรอกร้างก่อนจะหยุดดูชายสี่คนในชุดเครื่องแบบนักเรียนตรงหน้าเขา.
“โย่! อะไรกันเนี่ย? บอกไว้ก่อนนะผมไม่ชอบผู้ชายนะเออ”
ชายทั้งสี่คนดูไม่พอใจกับท่าทีของเขา “โกโจ ซาโตรุ, นี่คือวิธีพูดกับรุ่นพี่ของนายงั้นเหรอ?!”
“เห? นี่ผมกำลังถูกบุลลี่งั้นเหรอ? โออออ นับว่าเป็นประสบการณ์ใหม่เลยนะเนี่ย. เอาล่ะคุณรุ่นพี่ที่น่ารัก ผมไปทำอะไรถึงต้องให้พวกพี่มาหาครับ?”
“แก...!”
“พอ. ไม่ต้องไปตามเกมมัน”
คนที่อารมณ์ฉุนเฉียวที่สุดถูกชายผมสีดำตัวผอมและรอยสัก69บนแก้มหยุดเอาไว้.
จากนั้นเขาก็หันมาหาโกโจ “ชั้นชื่อว่าฮิซากิ ชูเฮย์. นักเรียนปี6ห้อง1. ก่อนอื่นขอยอมรับก่อนว่าวิธีที่พวกเราโผล่มานั้นอาจจะทำให้เข้าใจผิดบ้าง ผมต้องขออภัย, และผมก็คิดว่าคำพูดที่ไม่เคารพของคุณก็เกินไปด้วย. คุณจะขอโทษเหมือนกันไหม?”
โกโจเห็นได้ว่าชายคนนี้พูดจากใจจริง.
‘อา, เกลียดคนแบบนี้ชะมัด’
แม้เขาจะดูเป็นพวกนักเลงแต่ชายคนนี้ก็เป็นคนสูงส่ง. ไม่ใช่สูงส่งในสายเลือดแต่เป็นสูงส่งในท่าทางและความคิด.
พวกเขาเป็นคนประเภทที่ว่าไม่เชื่อว่าคนเราจะเลวบริสุทธิจริงหรือเชี่ยไรแบบนั้น.
โกโจชอบเรียกคนแบบนี้ว่า พวกย้อนแย้งหน้าซื่อ.
เขาก็ไม่ได้เกลียดเข้าไส้นัก แต่ปัญหาคือพวกย้อนแย้งหน้าซื่อนี้ถ้าสิ่งที่พวกเขาเชื่อพังทลายแล้วล่ะก็ พวกเขาก็อาจจะ.....ประมาณว่าโอเว่อร์หน่อยๆ.
เขาเข้าใจดีกเลยล่ะ เพราะเกะโทเองก็เป็นคนแบบนั้นเหมือนกัน. คนแบบที่ว่าพูดว่าจะช่วยคนอ่อนแอ, ทำตามหน้าที่และความถูกต้องบ้าบออะไรนั่น.
แล้วสุดท้ายเหรอ? เขาก็คือคนเดียวกับที่บอกว่าโลกนี้จะอยู่รอดต่อไปได้ด้วยการกำจัดผู้ไม่ใช้ไสยเวทย์ทุกคนไปให้หมด.
ขนาดวินาทีสุดท้ายก่อนซาโตรุจะฆ่าเขา เกะโทก็ยังเพ้อว่าเขาช่วยโลกไว้ไม่ได้.
‘โลกนี้น่ะมันไม่ยุติธรรมกับคนที่ยุติธรรมหรอกนะ’
พอนึกถึงเพื่อนที่ตายไปแล้วอีกครั้ง อารมณ์สุนทรีย์ของเขาก็หายไป “โทดทีๆ. พวกนายนี่อ่อนไหวจังนะ รับมุกหน่อยก็ไม่ได้, เห้อ!”
“งั้นเหรอ. งั้นพวกเราจะขอรับไว้เป็นคำขอโทษก็แล้วกัน”
ขณะที่โกโจคิดอยู่ แม้หน้าตาเขาจะเป็นแบบนั้นก็ตาม, ชูเฮย์เป็นคนที่รักสงบและเกลียดการต่อสู้จริงๆ.
“โกโจซาโตรุ. หากพวกเรามายืนต่อหน้าแบบนี้ มันหมายความว่าการกระทำของนายได้ก่อกวนความสงบสุขของโรงเรียนนี้. มีนักเรียนหลายคนได้ร้องมาว่านาย...เอ่อทำตัวเป็นเป็นปัญหานิดหน่อยก็แล้วกัน. และนักเรียนชายบางคนก็ร้องเรื่องที่นาย, *อะแฮ่ม* ทำตัวบ้ากาม”
พอพูดถึงท่อนนี้ ชูเฮย์ก็พยายามกระแอมซ่อนความอายไว้.
พอเห็นดังนั้นโกโจก็อดขำออกมาไม่ได้. นอกจากโดดเรียนแล้ว โกโจก็ไม่อยู่เฉยๆเวลาเห็นสาวๆเหมือนกัน.
จะให้เขาเรียนตลอดมันก็ไม่ถูกจริงมั้ย? เอาจริงๆเขาทำตัวดีกว่าพวกนักเรียนมหาลัยในโลกด้วยซ้ำ.
“แล้ว?.
ชูเฮย์กลั้นใจไว้ได้แล้วกล่าวต่อ “ชั้นเข้าใจว่า นายมีอิสระที่จะทำตามใจตัวเอง. ส่วนเรื่องที่สองนั้นทุกคนที่อยู่ในนี้ก็ไม่ใช่เด็กๆกันแล้ว. ดังนั้นถึงชั้นจะไม่เห็นด้วยอย่างมากก็ตาม ชั้นก็ไม่มีสิทธิไปห้ามได้ ขอแค่ทั้งสองฝ่ายยินยอมกันก็พอ”
จากนั้นเขาก็เริ่มจริงจังขึ้นมา “แต่ปัญหาหลักนั้นคือการกระทำของนายได้สร้างตัวอย่างที่ไม่ดีแก่นักเรียนคนอื่นๆ. นายอาจจะไม่ต้องการเรียนวิชาเหล่านั้นแต่สำหรับพวกนักเรียนทั่วไปแล้ว พอได้เห็นคนที่ไม่ทำอะไรเลยกับได้ดิบได้ดี มีแต่จะทำให้พวกเขาหมดกำลังใจและท้อแท้ต่อการเรียน”
“สรุปสั้นๆก็คือ พวกขี้งอแงยอมรับความจริงไม่ได้แล้วมาร้องให้ผมเป็นนักเรียนตัวอย่างเพื่อที่อย่างน้อยจะได้รักษาอีโก้และทำให้รู้สึกว่าพวกเขาไม่ใช่ขยะไร้ค่า...ถูกต้องมั้ย?”
หน้าของชูเฮย์กระตุกไป.
ถึงแม้คำพูดของโกโจจะรุนแรงมากๆ แต่ความจริงก็เป็นอย่างที่เขาพูดจริงๆ.
ยิ่งไปกว่านั้นนักเรียนส่วนใหญ่ที่ร้องมาก็มีแต่พวกผู้ดีที่ยอมรับคนจากรุคงไกที่เก่งกว่าไม่ได้.
ชูเฮย์ไม่ได้มาที่นี่โดยไม่ศึกษาโกโจก่อน.
เขารู้เรื่องการต่อสู้สั้นๆของโกโจกับอาจารย์สอนวิชาก้าวพริบตาด้วย เหตุนี้การตัดสินโกโจจากมาตรฐานของพวกเขาถือว่าเป็นเรื่องที่โง่มาก.
เขาไม่เข้าใจการกระทำที่อิจฉาแบบนี้จริงๆ. ถ้ารู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า ทำไมถึงไม่พยายามให้มากกว่าล่ะ?
ตั้งแต่ที่เขาถูกช่วยชีวิตมาจากพวกฮอลโล่วหลายปีก่อนโดยอดีตหัวหน้าหน่วยที่9 มุกุรามะ เค็นเซย์ ชูเฮย์ก็ไม่เคยย่อท้อเพื่อที่จะไปถึงระดับเดียวกับผู้ช่วยชีวิตเขาเลย.
เขาถึงขนาดว่ายอมสักตัวเลข69ด้วย แต่เป็นที่แก้มแทนหน้าอก.
แม้ว่าเค็นเซย์จะถูกตีตราว่าเป็นคนทรยศและผู้หลบหนีพร้อมๆกับหัวหน้าคนอื่นก็ตาม นั่นก็ไม่ได้ทำให้การสรรเสริญของเขาหายไปเลย.
แต่ถึงอย่างนั้น “ผมเข้าใจที่คุณพูด. แต่ได้โปรด, เห็นแก่โรงเรียนช่วยหยุดทำตัวแบบนั้นได้ไหม” ขณะที่พูด เขาเองก็คำนับลงต่ำมากด้วย.
พอเห็นดังนั้นโกโจก็ลดแว่นตาของเขาลงแล้วยิ้มทะเล้นให้ “ฮิซากิ ชูเฮย์สินะ? เหะเหะ~!คุณรู้มั้ย? ถ้าแค่คำนับแล้วจะขออะไรก็ได้ โลกนี้คงไม่ใช่แบบนี้”
เขาสวมแว่นตากลับแล้วเอามือล้วงกระเป๋าก่อนจะเดินผ่านฮิซากิที่คำนับอยู่ไปอย่างไม่สนโลกใดๆ.
ก่อนจะเลี้ยวจากไปเขาพูดทิ้งไว้ว่า
“ผมนับถือในคำพูดและความคิดของคุณนะ. แต่ผมไม่มีวันบังคับตัวเองให้เป็นไปตามคนที่ผมไม่รู้จักหรอก. เชื่อผมเถอะ มันไม่คุ้มเลย”
มันคือคติของเขา.
เขาไม่ใช่ฮีโร่ และก็ไม่ใช่แม้แต่คนดีด้วย.
เขาไม่ได้สู้เพื่อสิ่งจอมปลอมแบบความยุติธรรมหรืออยากจะเป็นตัวอย่างให้ใคร.
เขาก็แค่อยากใช้ชีวิตตามที่ใจอยาก โดยไม่สนสิ่งอื่นใด.