ตอนที่11: บททดสอบ (2)
ในโซลโซไซตี้นั้น การต่อสู้ระหว่างยมทูตอาจจบที่ความตายได้เลย.
เมื่อพลังจากทั้งสองฝ่ายต่างกันมาก, มันจะไม่ใช่เรื่องที่ใครแกร่งหรือใครอ่อนแออีกต่อไป มันจะกลายเป็นเรื่องของผู้ล่าและผู้ถูกล่าแทน.
แรงดันวิญญาณนั้นคืออาวุธที่อเนกประสงค์ที่สุดที่ยมทูตมี.
แม้แต่แรงดันวิญญาณของแฝดเองก็ไม่เหมือนกัน. คนที่มีแรงดันวิญญาณสูงสามารถขยี้คนที่มีแรงดันวิญญาณน้อยกว่าได้ง่ายๆโดยไม่ต้องใช้อาวุธเลย.
หากระดับต่างกันเกินไป คนที่อ่อนแอกว่าอาจจะหมดสติหรือตายไปเลยก็ได้.
จิดันโบ อิคคันซากะคือยมฑูตที่ทำหน้าที่เป็นผู้เฝ้าประตูเมืองมากว่า300ปี.
ต่อให้เขาไม่มีวิชาอื่นเลย, พลังของเขาก็สามารถเทียบกับพวกลำดับสามและสี่ได้เลย ถ้าไม่ใช่เจ้าบ้าหัวหน้าหน่วย11ล่ะนะ.
หากเขาปล่อยแรงดันวิญญาณออกมาหมด คงไม่มีวิญญาณตนไหนผ่านบททดสอบนี้ได้.
ทุกคนทราบเรื่องนี้ดี.
โชคดีที่จิดันโบเป็นคนใจดีและเป้าหมายของบททดสอบก็ไม่ได้จะทำให้ทุกคนล้มเหลว.
หลังจากผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง, จากคนหนึ่งหมื่นคนที่อยากเข้าเรียน มีแค่หนึ่งพันเท่านั้นที่ผ่านเข้าไปได้. ขนาดผู้คุมรู้ว่าจิดันโบแอบลดแรงดันลงให้คนเข้าไป เขาก็ไม่ว่าอะไรเลย.
เพราะเขาเองนั้นก็มาจากรุคงไก. ต่อให้การโกงจะเป็นเรื่องที่ผิด เขาก็ไม่รังเกียจที่จะยอมปิดตาข้างหนึ่งไว้.
เมื่อถึงเวลาที่กำหนดแล้ว เขาก็ปรบมือพร้อมประกาศปิดการทดสอบด้วยความเสียใจ. โชคดีที่สามารถกลับมาลองใหม่ได้เรื่อยๆ.
‘ขนาดฮิซากิคุงเองยังมาทดสอบตั้งสองรอบถึงจะผ่าน. ตอนนี้เขาได้เป็นหนึ่งในนักเรียนปี6ที่เยี่ยมที่สุดแล้ว’
---
“เอาล่ะ, พวกคุณทุกคนอาจจะเรียกได้ว่าเป็นนักเรียนได้แล้ว. แต่ความจริงนั้นนักเรียนทุกคนไม่ได้เท่าเทียมกันเสมอไป. พวกเราจึงต้องมีบททดสอบที่สอง”
ผู้คุมสอบเริ่มหันไปคุยกับยมทูตที่ใส่ชุดดำปิดหน้าปิดตาทีละคนๆ.
“เจ้าหน้าที่เหล่านี้คือสมาชิกในหน่วยวิถีมาร. ที่พวกเขาถืออยู่นี้คือเครื่องวัดพลังวิญญาณอย่างแม่นยำ. พวกคุณก็แค่มาแตะลูกแก้วคริสตัลนี่แล้วถ่ายพลังวิญญาณลงไป”
แน่นอนว่าไม่ใช่แค่นี้. แบบทดสอบนี้ซ่อนสิ่งหนึ่งไว้อยู่. มีพลังไว้มันจำเป็นก็จริง แต่การควบคุมมันได้ต่างหากคือสิ่งที่ต้องมี.
ใครที่ถ่ายพลังลงไปในลูกแก้วไม่ได้จะไม่ถูกนับว่าเป็นนักเรียน.
แบบทดสอบนี้มีไว้ให้นักเรียนที่มีความสามารถเก่งแต่ไม่มีพลังเยอะ. ยมฑูตทุกคนไม่ใช่นักสู้หัวกะทิหรอกนะ.
แต่ก่อน แบบทดสอบยากกว่านี้เสียอีก แต่สงครามกับพวกควินซี่เมื่อ150ปีทำให้จำนวนของยมฑูตลดลง การเข้าเรียนจึงง่ายขึ้นกว่าเดิม.
“ไม่ผ่าน”
“ไม่ผ่าน”
“ไม่ผ่าน”
“ห้องสอง”
“ไม่ผ่าน”
‘ว่าแล้ว, ถึงคุณสมบัติที่ต้องการจะไม่เยอะ แต่จำนวนคนที่ไม่ผ่านก็เยอะมาก. คงไม่มีใครได้ห้องหนึ่งหรอกนะ”
“หะ-ห้องหนึ่ง.”
ผู้คุมตกใจมากแล้วหันไปทางเสียงนั้น.
“โอ้! โทชิโร่ผ่านแหะ! ดีใจจัง!”
ผู้คุมเงยหน้าขึ้นไปแล้วถาม “จิดันโบ นายรู้จักเด็กนี่ด้วยเหรอ?”
“ครับ! โทชิโร่เป็นเด็กดี. โทชิโร่คือเพื่อนผม”
“เห, น่าสนใจ”
ผู้คุมจำเด็กคนนี้เอาไว้ในใจ. ปกติแล้วห้องหนึ่งมักจะมีแต่พวกลูกจากบ้านใหญ่ๆ. มีน้อยคนจากรุคงไกนักที่ได้เข้าแถมมีแต่พวกเก่งๆด้วย.
‘ผมสีเงินของเขาทำให้นึกถึงอิจิมารุ งินเลยแหะ. เจ้าหมอนั่นก็เก่งเกินหน้าเหมือนกัน’
“ห้องหนึ่ง!”
‘อีกแล้วเหรอ?’
เขาแทบจะร้องออกมาและตกใจกว่าเดิมที่ครั้งนี้เป็นชายหน้าตาหล่อผมสีเงิน มีผ้าพันแผลปิดตาอยู่.
สิ่งแรกที่เขาคิดคือ ‘ตาบอดรึป่าวนะ?’
สิ่งสองที่เขาคิดตอนเห็นผมสีเงินก็คือ ‘มีผมสีเงินช่วยให้ฉลาดรึเปล่าเนี่ย?’
เขาสงสัยจริงๆว่าตัวเองเกิดมามีผมผิดสีหรือเปล่า.