วันเบาๆ ของมือเก๋าจากต่างโลก 0103
บทที่ 33 บ้านที่จากไปค่อนข้างนาน (1)
* * *
กำแพงที่แบ่งแยกทะเลทรายออกจากเอลซิน·พอเรียลี่ ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของเบสแคมป์และตะวันตกของทะเลทราย มีลักษณะเป็นกระจกเงาด้านหนึ่งและกระจกใสด้านหนึ่ง
จะบอกว่าเหมือนกับกระจกห้องสอบสวนก็ไม่ผิดนัก กล่าวคือ เบดูอินมองไม่เห็นฉัน แต่ฉันยังมองเห็นพวกเขา
พวกเรายืนมองจนกระทั่งกลุ่มเบดูอินลับสายตาไปจากเนินทรายลูกใหญ่
เรลิกซิน่าเร่งเร้าให้พวกเราขึ้นขี่หลัง
เนื่องจากยังรู้สึกผิดต่ออีกฝ่าย ครั้งนี้ฉันจึงยอมตามใจเป็นพิเศษ
แชะ!
ท่ามกลางทะเลทรายอันกว้างใหญ่ ชาวเรืออย่างเบดูอินแล่นเรือกลับเข้าไปในพายุลมทราย
จากตรงนี้จะมองเห็นเพียงภาพอันเลือนรางของเมืองยักษ์
ฉันตัดสินใจถ่ายรูปเก็บไว้ ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไร แต่ตอนนี้รู้สึกว่ากล้องของจินซอยอนมีประโยชน์มาก
กล้องตัวนี้ไม่มีระบบดิจิทัลเพราะถูกออกแบบเพื่อความสมบุกสมบัน พวกเราจึงเช็กภาพไม่ได้
จะมีร้านล้างฟิล์มไหมเนี่ย?
“หืม…”
“เจ้ากำลังคิดอะไร”
ฉันหันไปสบตากับลิลี่ที่กำลังจ้องมา
ดูเหมือนว่าเธอจะมีปัญหาทางสภาพจิตใจเล็กน้อย หลังจากต้องอยู่ท่ามกลางวิกฤติหลายครั้งหลายครา
ทันใดนั้น ความอยากรู้อยากเห็นของฉันผุดขึ้น
“ลิลี่ เธอรู้จักกล้องถ่ายรูปไหม”
“กล้องถ่ายรูป?”
ลิลี่จ้องกล้องในมือฉัน สีหน้าคล้ายกับเต็มไปด้วยคำถาม
แน่นอนว่าถึงจะมีเทคโนโลยีที่คล้ายกัน แต่ไม่มีทางที่จะชื่อเหมือนกัน เพราะกล้องถ่ายรูปคือชื่อที่ชาวโลกตั้งขึ้น
ลิลี่รับกล้องไปถือ สำรวจสักพักก่อนจะส่ายหน้า
“ข้าไม่เคยเห็น”
อาจจะมี แต่ลิลี่ไม่รู้
อย่างไรก็ดี ดูเธอจะไม่สนใจสักเท่าไร
ฉันจินตนาการถึงรูปสามสิบหกใบข้างในก่อนจะขึ้นขี่เรลิกซิน่า
พวกเราผ่านเนินลาดเพื่อมุ่งหน้าไปยังยอดเขาที่มีไบฟรอสต์
เรลิกซิน่าเดินเล่นอย่างไม่รีบร้อน
ผ่านไปประมาณห้าร้อยก้าวจากริมกำแพงที่แบ่งแยกสภาพแวดล้อมป่าเขียวขจีกับทะเลทราย
ทางเดินอาจไม่ลาดชันมากนัก แต่ก็ไม่ใช่ยอดเขาที่จะเดินถึงได้ภายในหนึ่งวัน ถ้าไม่มีเรลิกซิน่าคงลำบากกว่านี้มาก
ขณะครุ่นคิด ฉันลูบไล้แผงขนเรลิกซิน่าตามความเคยชิน
เหม่อไปสักพักเพราะมีเรื่องให้คิดมากมาย จนกระทั่งสัมผัสถึงน้ำหนักจากแผ่นหลัง
ลิลี่เอนศีรษะมาพิง
เธอตัวหนักขนาดนี้เชียว?
“ไบฟรอสต์น่ะ”
ลิลี่พึมพำในสภาพดังกล่าว ฉันสัมผัสถึงแรงสั่นเบาๆ จากหน้าผาก
“ข้าคิดว่ามันแปลก”
“เพิ่งเอะใจหรือว่าประตูที่สร้างสายรุ้งได้มันไม่ปกติ?”
“ไม่ใช่เรื่องนั้น”
ฉันรู้สึกเหมือนถูกดึงชายเสื้อเบาๆ
“มันไม่ใช่ประตูที่มีอยู่ทุกที่ แต่ดูเหมือนกำลังนำทางพวกเรา”
“นำทาง?”
“ทุกครั้งที่พวกเรามาถึงไบฟรอสต์จะมีเหตุการณ์พิเศษเสมอ คิดว่าจะมีสักกี่คนได้เจอมังกรกับยักษ์ในปีเดียวกัน?”
พอจะเข้าใจสิ่งที่เธอต้องการสื่อแล้ว
กล่าวคือ ไบฟรอสต์ไม่เคยโยนพวกเราเข้าไปในที่ธรรมดาๆ
ถึงจะยังเร็วเกินไปที่จะสรุปเชิงสถิติ เพราะพวกเราเพิ่งเคยผ่านไบฟรอสต์แค่สองอัน แต่ที่ลิลี่พูดมาก็มีเหตุผล
“ไม่ใช่เพราะมีใครบางคนรู้ว่าเจ้าจะมาที่โลกนี้หรอกหรือ? นั่นคือสิ่งที่ข้าคิด”
ฉันหลังหันกลับตามความเคยชิน แต่ถึงอย่างนั้นก็มองไม่เห็นหน้าผากลิลี่
“…เหมือนกับเป็นชะตากรรม”
ชะตากรรม
จะมีสักที่คนบนโลกมนุษย์ที่เชื่อในชะตากรรม? หากใครนำไปพูดที่นั่นคงดูเหมือนคนบ้า
ทว่า ต่างโลกคือดินแดนที่ไม่ควรใช้สามัญสำนึกตีกรอบ
“โลกอาจกำลังรอคอยยุคสมัยนี้อยู่ก็ได้ เหมือนกับที่เมืองของยักษ์ทำ”
นั่นคือข้อสันนิษฐานของฉัน
ลิลี่ชะงักไปเล็กน้อยเพื่อตรวจสอบความคิดตัวเอง
“…ก็ฟังดูเข้าท่า”
เราสองคนไม่มีทางรู้จริงเท็จ ต่างโลกก็เป็นแบบนี้ ไม่มีทางยืนยันอะไรได้หากไม่ได้เห็นด้วยตา
ประสบการณ์ระหว่างผจญภัยจึงเป็นสิ่งที่มีค่า
ฉันตัดสินใจเร่งความเร็ว ถ้าใช้ไบฟรอสต์คงกลับไปถึงได้ภายในหนึ่งสัปดาห์
พวกเรามองว่าไม่ควรเสียเวลาแวะจุดที่เคยผ่านมาแล้ว ชีวิตในทะเลทรายยาวนานกว่าที่คิด ระดับความเหนื่อยล้าถูกสั่งสมไว้ค่อนข้างมาก
สายลมแห้งๆ พัดมาจากยอดเขา แผงขนไฟสีฟ้าอ่อนของเรลิกซิน่ากระพือไปตามแรงลม
พวกเราหยุดยืนมองทะเลทรายเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินเข้าไบฟรอสต์
อากาศที่เต็มไปด้วยฝุ่นทรายและเมืองยักษ์อันเลือนราง
ฉันสัมผัสได้ว่า ยักษ์กำลังยืนอยู่ที่นั่น
และเธอคงกำลังมองมาทางเรา
จะมองเห็นฉันด้วยดวงตาของยักษ์ไหม?
ฉันโบกมือโดยหวังว่าจะเป็นแบบนั้น
ก่อนจะหันหลังกลับ เราสองคนสัมผัสได้ว่า ใครบางคนกำลังโบกมือจากบนเมือง
* * *
โรงแรมแห่งหนึ่งในเบสแคมป์
จินซอยอน ชาโซฮี และซอจีอาที่ซ่อนตัวอยู่ในนี้มานานเกือบสัปดาห์ กำลังจับกลุ่มสนทนากันภายใต้แสงเทียน
จินซอยอนพูดขึ้น
“ทุกวันนี้โลกเต็มไปด้วยคุณธรรมจอมปลอม ทุกย่างก้าวต้องคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนเป็นสำคัญ ดังนั้นธุรกิจอย่าง OWIC จึงเล่นการเมืองได้ลำบาก ต้องคอยมอบกระเช้าให้กลุ่มสิทธิมนุษยชนอยู่เนืองๆ …”
“เท่าที่ดู พวกเขาก็ไม่ได้พยายามปกปิดเท่าไร”
จินซอยอนพยักหน้า
“ทว่า บริษัทเราให้ความสำคัญกับการล็อบบี้และความเห็นของสาธารณชนมากเป็นพิเศษ จึงควบคุมบรรยากาศภาพรวมได้ดี เรียกว่ายอดเยี่ยมจนน่าทึ่ง ยิ่งกว่าพวกส.ส.ในสมัยเลือกตั้งซะอีก”
“เรื่องแบบนี้นำออกมาเล่าจะดีหรือคะ?”
ยุนมินจีผู้เป็นเจ้าของโรงแรม พูดนัยๆ ขณะเดินผ่าน
“แล้วยังไงต่อน่ะหรือ? แค่เพราะประชาชนเชื่อว่ามันไม่อันตราย ใช่ว่าอันตรายในต่างโลกจะหมดไปสักหน่อย ที่นี่ไม่ต่างอะไรกับการสร้างโคโลนีบนดาวอังคาร มีมนุษย์เสียชีวิตเพิ่มขึ้นทุกวัน”
“เฮ้อ…”
ชาโซฮีกอดแขนซอจีอาประหนึ่งกำลังนั่งฟังเรื่องผี
ซอจีอาไม่ได้ห้ามแม้จะค่อนข้างรำคาญ เพียงนำบุหรี่ออกจากเสื้อ กวาดสายตาเล็กน้อยก่อนจะยัดกลับเข้าไป
จินซอยอนเล่าต่อ
“แม้จะมีหลายครั้งที่ต้องตกที่นั่งลำบาก แต่พวกเราไม่ได้โง่ ไม่นานก็คิดหาวิธีรับมือสำเร็จ นั่นคือการใช้สัญญาณเตือนความเสี่ยงระดับสูงสุดด้วย <โค้ดคัลเลอร์>” (Code Color)
“เหมือนกับที่ใช้ในกองทัพ?”
จินซอยอนพยักหน้า
“โค้ดเรดคือภัยความรุนแรง ส่วนใหญ่จะเป็นสัตว์ประหลาด พูดง่ายๆ ก็คือความเสี่ยงที่ต้องจัดการด้วยกำลัง เป็นสัญญาณเตือนระดับสูงสุด จึงไม่ได้นำมาใช้กับการจู่โจมของหมาป่าฝูงเล็กๆ แต่จะใช้กับการบุกรุกของปรสิตโตเต็มวัยหรือสัตว์ร้ายขนาดใหญ่… สัญญาณที่สอง โค้ดแบล็ก ใช้สำหรับแจ้งปัญหาทางการทูตระหว่างชาวต่างโลก ตัวอย่างเช่น เมื่อมีทูตจากอาณาจักรหรือจักรวรรดิต่างโลกมาเยือน ฉันได้ยินว่าในกรณีนี้จะส่ง ‘เอเจนท์แบล็ก’ ออกมารับมือ แต่ก็ไม่รู้รายละเอียดมากนัก มันเป็นความลับสุดยอด”
ซอจีอาจ้องเทียนไขสักพักก่อนจะพูด
“แล้วสัญญาณในคราวนี้คืออะไร?”
“โค้ดไวโอเล็ต”
“ใช้กับอะไร”
“การโจมตีจากตัวตนเหนือธรรมชาติที่ปราศจากข้อมูล”
“…อย่างเช่นฝูงผี?”
จินซอยอนพยักหน้า
“…ไอ้ตัวที่อยู่ข้างนอกสินะ”
ซอจีอา จินซอยอน และชาโซฮีต่างพากันไหล่สั่นเมื่อหวนนึกถึง ‘ฝูงผี’
มีเพียงซอจีอาที่รู้จักตัวจริงของมัน
“โดยทั่วไปแล้ว ลูกหลานของเหล่าเทวราชา หรือในภาษาของพวกเจ้าคือ ‘สิ่งมีชีวิตทรงปัญญา’ จะต้องจัดงานศพให้กับคนตายเสมอ มิเช่นนั้น มีโอกาสที่พลังเวทจะสั่งสมอยู่บนพื้นจนกระทั่งกลายเป็นผี”
“สยองชะมัด…”
“มันคือเรื่องจริงของโลกใบนี้ ดูท่าแล้ว พวกเจ้าคงไม่ได้จัดการกับศพคนตายให้เรียบร้อยสินะ?”
ชาโซฮีสั่นสะท้าน ขณะเดียวกัน ยุนมินจีเดินเข้ามานั่งพร้อมกับแก้วหนึ่งใบ
แสงตะเกียงในมือฉาบลงบนผมบ๊อบ ใบหน้าที่ดุเป็นทุนเดิมของเธอทำให้เกิดรูปลักษณ์อันน่าพรั่นพรึง
ยุนมินจียื่นแก้วมาทางสามสาว
“กาแฟ?”
“ไม่มีชาคาโมมายล์?”
“แก้วก่อนหน้าเป็นชุดสุดท้ายแล้วค่ะ”
“แต่ฉันจะนอนไม่หลับ…”
“ไม่ดื่มใช่ไหม? ฉันเอง”
ซู้ด! ชาโซฮีดื่มกาแฟด้วยใบหน้าอิดโรย
“พวกเราอยู่ในสถานะผู้อพยพมาหนึ่งสัปดาห์แล้วใช่ไหม?”
“ก็คงงั้น”
“แต่เธอยังดูสบายใจอยู่เลย”
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงร้องไห้ไปแล้วค่ะ แต่ฉันทำธุรกิจที่นี่มาหลายปี เรื่องแบบนี้ใช่ว่าจะเพิ่งเคยเกิด ตอนนี้ฉันโตขึ้นมาก และอย่างน้อยในโรงแรมก็ปลอดภัย”
“ไม่ใช่ทุกคนที่จะเปิดกิจการในต่างโลกได้สินะ”
“เมื่อครู่ฉันได้ยินพวกคุณคุยเรื่องน่าสนุก ช่วยเหล่าเกี่ยวกับวิธีรับมือโค้ดไวโอเล็ตได้ไหม?”
“คิดอะไรออกก็ทำไปเลย… ไม่มีวิธีที่แน่นอนสำหรับรับมือตัวตนเหนือธรรมชาติ”
“แผนก็คือไม่มีแผนสินะคะ สมกับเป็น OWIC ดี”
จินซอยอนไม่แยแสว่าอีกฝ่ายจะวิพากษ์วิจารณ์บริษัท และเหนือสิ่งอื่นใด พวกนักวิจัยมักไม่ได้รักบริษัท
“แล้วพวกเราจะต้องอยู่แบบนี้ไปตลอดหรือคะ?”
จินซอยอนตอบคำถามยุนมินจีไม่ได้
ทุกคนทราบดีว่าปัญหานี้ไม่มีทางแก้ เว้นเสียแต่จะเป็นนักบวชของต่างโลก
วิกฤติดำเนินมาเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว แต่ยังไม่มีสัญญาณของทีมช่วยเหลือ อาหารในโรงแรมก็ร่อยหรอ
“…ดื่มเหล้าได้ไหม? นี่คือโอกาสได้ดื่มฟรีเชียวนะ!”
“ข้าไม่ขัดข้อง”
“เผื่อว่าจะยังไม่รู้กัน หากต้องการเก็บแรง เหล้าคือสิ่งต้องห้าม”
“จีอารอบคอบกว่าที่คิดนะเนี่ย ไม่เข้ากับภาพลักษณ์เลย”
“เธอประมาทเกินไปต่างหาก”
ชาโซฮีเม้มฝีปากด้วยความเจ็บใจ
ซอจีอากล่าวพลางสางผมสีดำที่เริ่มจางและเผยให้เห็นประกายสีทอง
“แต่ฉันคิดว่าเรายังมีโอกาส”
“…โอกาสอะไร?”
ดวงตาจินซอยอนพองขึ้นพร้อมกับหันไปทางซอจีอา
อีกฝ่ายเล่าต่อพลางเกาหัวคิ้วด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน
“น่าจะได้เวลาที่เขา… กลับมาแล้วไม่ใช่หรือ?”
“…”
บรรยากาศเงียบงันเข้าครอบงำสักพัก จนกระทั่งใครบางคนยิ้ม
อาจจะฟังดูไร้สาระ แต่เมื่อคิดว่านั่นคือความหวัง พวกเธอจึงอดไม่ได้ที่จะขำ
ทันใดนั้น
「โฮกกกก!」
เสียงร้องโหยหวนดังทะลุกำแพงไม้เข้ามากระแทกโสตประสาท
「มนุษย์! มนุษย์! 」
「ก้อนเนื้อที่บกพร่อง!」
เสียงร้องของภูตผี
คล้ายกับพวกมันพบบางสิ่ง
ซอจีอาลุกขึ้นยืนและมองไปยังทิศทางของเสียง
ผีกำลังพูดอยู่กับใครบางคน ระบุให้ชัดเจนก็คือ เป็นการข่มขู่มากกว่าสนทนา
เอลฟ์อย่างซอจีอาคือคนเดียวที่ได้ยินเสียงพูดคุยชัดเจน
จากนั้น หญิงสาวมองไปทางกำแพงครู่หนึ่งด้วยสีหน้าที่ไม่รู้ว่ายิ้มหรือขมวดคิ้ว
“…โลกของพวกเธอมีสำนวน ‘พูดถึงเสือ เสือก็มา’ อยู่สินะ”
ทุกคนเดาได้ทันทีว่าใครมา
สี่สาวค่อยๆ เดินไปทางประตูและหน้าต่างอย่างระมัดระวัง
สัญลักษณ์ทางศาสนาที่นักบวชศาสนจักรเทวราชาเคยมอบให้เป็นของขวัญ ยังคงถูกแขวนไว้บนกำแพง
พวกเธอมีชีวิตรอดมาได้ด้วยสิ่งนี้ แต่ชะตากรรมเดียวคือการถูกขัง
ซอจีอาย่องไปทางประตู ส่วนคนที่อยากรู้อยากเห็นแอบมองผ่านหน้าต่าง
แอ๊ด—!
ทิวทัศน์ของถนนหน้าโรงแรมถูกฉายเข้ามา
บนถนนมีผีหน้าตาคล้ายผ้าขี้ริ้วโปร่งแสง
ไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่มากถึงห้าหรือหกตนกำลังซ้อนทับกันในหนึ่งร่าง
ผีกำลังเผชิญหน้ากับใครบางคน
ม้าที่มีเปลวไฟสีฟ้าลุกโชน และแวมไพร์ที่ถือมีดสั้น
ชายคนดังกล่าวกระโดดลงจากม้าและจ้องหน้าผี
“ว้าว… ผีของจริง”
คังซอนฮูหยิบเข็มชี้สีทองออกจากเสื้อ จากนั้นก็นำอัญมณีสีฟ้าใส่มือพร้อมกับส่องแสง
“อะ...อะ…อุ๊บ!”
กลุ่มผู้อพยพที่กำลังมองดูผ่านหน้าต่าง เกือบหลุดคำอุทานออกจากปาก
คังซอนฮูกำลังถือดาบที่พวกเธอไม่เคยเห็นมาก่อน
สมบัติของต่างโลก?
ดาบที่แม้แต่ซอจีอาก็ไม่รู้จัก สภาพดูค่อนข้างเก่าในสายตาทุกคน
「มนุษย์เอ๋ย… จงมาเป็นพวกเดียวกับเรา… นั่นคือหนทางเดียว… ที่จะได้รับความเป็นนิรันดร์」
ผีพุ่งเข้าใส่คังซอนฮูทันที
เห็นภาพดังกล่าว ซอจีอารีบเปิดประตูออกไป
“ดาบทำอะไรมันไม่ได้!”
คังซอนฮูชำเลืองสายตามาทางซอจีอา
“ปืนยังทำอะไรไม่ได้เลย! ส่งธนูมา! ฉันจัดการได้!”
ซอจีอาจะดึงศักยภาพของนักพเนจรออกมาได้สูงสุดก็ต่อเมื่อมีคันศร
ขณะหญิงสาววิ่งเข้าหาอีกฝ่ายพลางชักมีดห่วยๆ ที่เหน็บอยู่ตรงเอว เธอเห็นท่าทีเก้ๆ กังๆ ของคังซอนฮู
หัวใจซอจีอาพลันตกไปอยู่ตาตุ่ม
ไอ้บ้านี่คิดจะทำอะไร? เขาไม่ใช่คนที่ชอบทำเท่สักหน่อย…
เกิดอะไรขึ้น?
ทันใดนั้น
「จงกลายเป็นพวกเราซะ!」
ทุกคนในหมู่บ้านที่กำลังแอบมองจากหน้าต่าง ล้วนเห็นเต็มสองตา
มนุษย์ที่เคยพูดกับต้นไม้ ขี่มังกร และเผชิญหน้ากับกองทัพโลกวิญญาณ
ในครั้งนี้ เขาผ่าสิ่งมีชีวิตอมตะออกเป็นสองซีก
______________________
ตอนฟรีลงทุกวันอังคาร พุธ เสาร์ และอาทิตย์ (4/4)
ติดตามผลงานของผู้แปล และนิยายทุกตอนได้ที่เพจเฟสบุค:
https://www.facebook.com/bjknovel/
หรือพิมพ์ค้นหา: bjknovel