บทที่ 23 รัศมีมหาคุรุ ‘โง่เง่าปัญญาอ่อน’
“ผู้นำของโรงเรียนได้พูดคุยกันเสร็จแล้วและพวกเขาตัดสินใจที่จะอนุญาตให้ครูฝึกสอนรับสมัครนักเรียน ตราบใดที่ครูฝึกสอนมีนักเรียนห้าคนพวกเขาก็สามารถเป็นครูสำรองและเข้าร่วมงานโรงเรียนอย่างเป็นทางการได้”
หลังจากหลู่ตี๋พูดจบ หยวนฟงก็กระโดดขึ้นอย่างตื่นเต้น
“นี่มันสุดยอดเกินไปแล้ว!” หยวนฟงใช้กำลังของเขาและโบกมือด้วยความตื่นเต้น“การขึ้นเงินเดือนและการเลื่อนตำแหน่งอยู่ต่อหน้าต่อตาเรา”
“อย่าเพิ่งดีใจจนเกินไป ตำแหน่งครูฝึกสอนไม่ดึงดูดใจนักเรียนใหม่อยู่แล้ว”
หลู่ตี๋เหมือนเทถังน้ำเย็นลงบนหัวของหยวนฟง
เช่นเดียวกับที่นกตัวหนึ่งจะเลือกต้นไม้ที่ดีเพื่ออยู่อาศัยการยอมรับอาจารย์ก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง นักเรียนทุกคนยอมรับเฉพาะครูแท้ๆ เป็นอาจารย์และแสวงหาโอกาสที่จะเป็นศิษย์ส่วนตัวอย่างจริงใจหลังจากเรียนที่สถาบันเป็นเวลาสองถึงสามปีหรือจนกว่าพวกเขาจะคุ้นเคยกับสถานการณ์ของครูอย่างสมบูรณ์
แน่นอนว่ามหาคุรุย่อมเป็นข้อยกเว้นแต่จะมีนักเรียนสักกี่คนที่มีความสามารถเพียงพอจริงๆ ที่พวกเขาจะถูกคัดเลือกโดยมหาคุรุ?
ครูจะไม่ยอมรับศิษย์ง่ายๆเมื่อนักเรียนกลายเป็นศิษย์สายตรงแล้ว พวกเขาต้องปฏิบัติต่อนักเรียนเหมือนบุตรธิดาและคอยชี้แนะพวกเขาอย่างตั้งใจ
ในทำนองเดียวกันนักเรียนจะปฏิบัติต่อครูเหมือนบิดามารดาและให้ความเคารพและความรักแก่พวกเขาหากพวกเขาเปลี่ยนใจอยู่ไปครึ่งทางแล้วหันไปหาครูคนอื่นพวกเขาจะถูกประณามและการปฏิเสธอย่างมากจากคนส่วนใหญ่
แต่แม้แต่ปลาเค็ม (ขยะ) ก็ยังมีความฝัน!
มันไม่ง่ายเลยที่จะเข้าไปอยู่ในความดูแลของมหาคุรุดังนั้นนักเรียนหลายคนจึงยอมรับครูอาวุโสที่มีประสบการณ์หลายปี ส่วนครูฝึกสอนที่เพิ่งเข้าทำงานในสถาบันแต่ไม่รับประกันว่าจะได้ทำงานต่อหรือไม่? ถ้าพูดตามจริงแล้วเว้นแต่ใครจะมีวิธีการใช้คำพูดหรือประสบความสำเร็จบ้างพวกเขาก็จะสามารถดึงดูดนักเรียนได้เพียงสอง…หรือสามคนเท่านั้น
เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้ หยวนฟงก็นั่งลงอย่างเศร้าใจแต่หลังจากที่เขาเห็นซุนม่อ เขาก็รู้สึกพึงพอใจอีกครั้ง “ถ้าข้าทำไม่ได้ ไอ้หนุ่ม 'ข้าวนุ่ม'คนนี้คงไม่มีโอกาสอย่างแน่นอน”
ซุนม่อนอนอยู่บนเตียงตาซ้ายของเขากะพริบสองครั้งขณะที่เปิดตู้เก็บของ
หีบสีทองปรากฏ ส่องแสงเจิดจ้า
“ข้าจะเพิ่มโอกาสในการได้รับสิ่งดีๆได้อย่างไร? ข้าควรไปหาสาวทรงโต และสัมผัสหน้าอกของนางเพื่อเพิ่มโชคของข้าดีหรือไม่”
การเปิดหีบสมบัติเสี่ยงโชคเป็นเรื่องเลื่อนลอยแต่ซุนม่อรู้ดีว่า ตอนที่เขาเล่นเกม สิ่งที่เขาต้องการไม่เคยถูกเปิดออก
"เปิด!"
ขณะที่ซุนม่อพึมพำหีบสมบัติสีทองก็เปิดออก หนังสือที่เปล่งแสงสีทองจางๆ ลอยอยู่ในอากาศ หมุนคว้างรอบตัวช้าๆ
“โง่เง่าและปัญญาอ่อน?”
เมื่อเขาเห็นชื่อบนหน้าปก ซุนม่อก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วในท้ายที่สุด หัวของเขากระแทกเข้ากับแผ่นไม้ที่อยู่เหนือเตียงสองชั้นของเขา
โป๊ก!
ซุนม่อซู้ดปากด้วยความเจ็บปวดอย่างไรก็ตาม เขาไม่สนใจแม้แต่น้อย ความสนใจของเขาถูกดึงดูดโดยหนังสือทองคำ
'โง่เง่าและปัญญาอ่อน’ โดยรัศมีมหาคุรุ เมื่อนักเรียนไม่ต้องการลงมือหรือทำงานหนัก กลายเป็นเด็กขี้เกียจที่รู้เพียงหาเวลาว่างและจากไปกลายเป็นขยะที่รู้แค่วิธีเล่นและสนุกกับตัวเอง…ท่านสามารถใช้รัศมีมหาคุรุนี้ได้เพื่อลงโทษและช่วยให้พวกเขากลับสู่เส้นทางที่ถูกต้อง'
'หลังจากที่ครูใช้รัศมีนี้นักเรียนที่ถูกตำหนิจะรู้สึกเหมือนถูกตีที่ศีรษะเพื่อปลุกให้ตื่นขึ้นทันทีนักเรียนจะเข้าสู่สภาวะมึนงงทันทีและสูญเสียความสามารถในการคิด'
'ระดับเริ่มต้น'
“ฮ่าฮ่า จริงๆ แล้วมันเป็นรัศมีของมหาคุรุจริงๆเหรอนี่?”
ซุนม่อหัวเราะออกมาโดยไม่ตั้งใจ“เป็นไปได้ไหมว่าการได้อยู่ร่วมกับสาวเหล็กคนนั้น จะเพิ่มโชคให้ข้า? ชื่นชมหลี่จื่อฉีดีมาก!”
ซุนม่อตัดสินใจว่าในอนาคตเมื่อเขาได้รับหีบสมบัติทองคำอีกหีบเขาจะสนทนากับหลี่จื่อฉีเป็นเวลาสามวันก่อนเปิดกล่อง
“ไอ้บ้า เจ้าเป็นครูผู้ช่วยสอนไม่ได้แต่หัวเราะออกมาดังๆ ได้ด้วยเหรอ? น่าไม่อายจริงๆ”
หยวนฟงจ้องมองซุนม่อที่กำลังยิ้มด้วยความรู้สึกดูถูก (เมื่อเจ้าถูกไล่ออก ข้าจะซื้อเนื้อหัวหมู 1 กก. ไปส่งเจ้าแน่นอน)
ซุนม่อไม่สามารถทำอะไรกับความสุขที่เขารู้สึกได้นี่เป็นรัศมีมหาคุรุ! ที่คนผู้หนึ่งได้ด้วยความรู้แจ้งเองและไม่ได้ผ่านการศึกษาหากใครอยากเป็นมหาคุรุระดับหนึ่งดาว อย่างน้อยพวกเขาก็ต้องเข้าใจรัศมีมหาคุรุอย่างน้อยสามแบบและมีอาชีพรอง
ข้อกำหนดเบื้องต้นในการเป็นครูธรรมดาคือการเข้าใจรัศมีของ'การเรียนรู้ด้วยตนเอง' เพราะนั่นเป็นพื้นฐานจึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นรัศมีของมหาคุรุได้
ซุนม่อคนปัจจุบันมีรัศมี 'คำแนะนำล้ำค่า'และ 'โง่เง่าปัญญาอ่อน' ถือได้ว่าเป็นก้าวเล็กๆบนเส้นทางการเป็นมหาคุรุ
ซุนม่อรอไม่ไหวเขารีบออกจากหอพักและพบสถานที่ห่างไกลที่ไม่มีคนอื่นจากนั้นเขาก็หยิบหนังสือทองคำออกมาวางตรงหน้า จมูกของเขา หายใจเข้าลึกๆ
“ช่างหอมเหลือเกิน นี่คงเป็นกลิ่นของมหาคุรุ”
ซุนม่อพึมพำ หลังจากนั้นเขาก็ทำลายคัมภีร์ทักษะ
เพล้ง!
หนังสือแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกลายเป็นลูกกลมแสงสีทองที่พุ่งเข้าตรงกลางคิ้วของซุนม่อ ในความคิดของซุนม่อความลับลึกลับและลึกซึ้งบางอย่างปรากฏขึ้นในใจเขาทันที
‘เมื่อใช้กับนักเรียนแล้วจะบังคับให้นักเรียนเป็นโรคสมองเสื่อม? สูญเสียความสามารถในการคิด?”
เมื่อเขาเหลือบมองผลของรัศมีมหาคุรุ ซุนม่อไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าการหาคนมาทดลองใช้
…
ณ ห้องรับรองของแผนกรับส่งวัสดุ
หลี่กงจ้องไปที่ถ้วยน้ำชาที่อยู่ข้างหน้าเขาและใบหน้าของเขาดูมีความขัดแย้ง ใบหน้าของเขาตอนนี้เชิดขึ้นเหมือน 'รูทวารหนัก'
“ท้องผูกอีกแล้วเหรอ”
เฉินมู่ส่งลูกพลัมแห้งให้
เมื่อหลี่กงต้องการจะตอบ เขาเห็นชายอ้วนเดินเข้าไปในห้องรับรองหลี่กงรีบยืนและเค้นรอยยิ้มที่ดูสดใสที่สุดที่เขารวบรวมได้
“หัวหน้าแผนกหยาง!”
เอี๊ยด! เอี๊ยด!
ได้ยินเสียงกระทบกันที่เกิดจากการเสียดสีของเก้าอี้ที่เคลื่อนไปกับพื้นรวมทั้งเสียงทักทายก็ดังขึ้นพร้อมกัน
“เอาล่ะ พวกเจ้าออกไปให้หมด!”
หยางไจ๋พยักหน้าอย่างพึงพอใจหลังจากเห็นว่าพนักงานทุกคนในแผนกรับส่งพัสดุยืนขึ้นเขาวางมือไพล่หลังและเดินไปหาหลี่กง ไขมันในท้องของเขามีมากเกินไป เมื่อเขาเดินไปเนื้อตรงนั้นก็สั่นกระเพื่อมเหมือนคลื่น
พนักงานขนส่งรีบโค้งคำนับพวกเขาก้มศีรษะและออกจากห้องรับรอง
“จัดการแล้วเหรอ?”
หยางไจ๋ ยืนอยู่ต่อหน้าหลี่กงและยกถ้วยน้ำชาของหลี่กงขึ้นโดยไม่ตั้งใจ
“อา..ใกล้เสร็จแล้ว”
หลี่กงหดคอ
ปั้ก!
หยางไจ๋ขว้างถ้วยน้ำชาไปที่จมูกของหลี่กงและดุว่า “เจ้าเป็นใบ้เหรอ? ผ่านไปกี่วันแล้ว?จัดการเรื่องง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้เหรอไง?”
“ซุนม่อเจ้าเล่ห์มาก!”
หลี่กงยิ้มอย่างขมขื่น
ปัง
หยางไจ๋หยิบถ้วยน้ำชาและขว้างใส่หลี่กงอีกครั้ง
“หมายความว่ายังไงเขาเจ้าเล่ห์? เจ้าเพียงแค่ต้องสร้างปัญหาให้เขาเมื่อเรื่องมันใหญ่โต ข้าจะเป็นคนกลบเกลื่อนให้เอง”
หยางไจ๋แค่นเสียงเย็นชา ซุนม่อเป็นเพียงครูฝึกสอนในขณะที่เขาเป็นหัวหน้าแผนกรับส่งพัสดุตราบใดที่ซุนม่อทำผิด เขาจะมีข้ออ้างที่จะจัดการกับเขา
“ข้าจะจัดการทันที”
เพื่อไม่ให้ถูกทำร้ายอีกหลี่กงจึงรีบรับประกัน
“ข้าจะให้เวลาเจ้าอีกสามวัน หากเจ้าไม่สามารถจัดการกับมันได้ก็ออกไปจากที่นี่”
หยางไจ๋จ้องมองหลี่กงจากนั้นเขาก็เดินผ่านโต๊ะทำงานสองสามตัวแล้วดึงลิ้นชักออกมาหลังจากที่เขาทำการตรวจสอบคร่าวๆ เขาก็ออกจากแผนก
“บัดซบ โง่จัง”
หยางไจ๋ถ่มน้ำลายใส่ดอกไม้ข้างๆเขาเขากำลังพิจารณาใช้วิธีอื่น เบื้องบนกล่าวว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนมากและกำลังเร่งรัดให้เขารีบจัดการถ้าเขาไม่รีบไล่ซุนม่อออกไป เขาจะต้องโดนดุอีกครั้ง
“ข้าจะทำอะไรได้บ้าง? ข้ายังสิ้นหวังจนปัญญา!”
หลี่กงถอนหายใจเขานั่งบนเก้าอี้ดูเหมือนไม่มีเรี่ยวแรง เลือดไหลออกจากจมูกของเขาแต่เขาไม่มีอารมณ์จะเช็ดมันออกไป
…
ดวงอาทิตย์อัสดงค์
หลี่กงเปิดประตูไปหอพักของซุนม่อ
“เจ้ากำลังมองหาใครอยู่?”
หลู่ตี๋ถือขาหมูในขณะที่จ้องมองหลี่กงด้วยความสงสัย
“ข้ากำลังตามหาซุนม่อ อาจารย์ซุน”
หลี่กงยิ้ม
“ซุนม่อ มีคนกำลังตามหาเจ้า”
หลู่ตี๋ร้องเรียกแล้วกลับมาที่โต๊ะถอนขนขาหมูต่อไป อย่างไรก็ตาม ดวงตาของเขาหันไปหาหลี่กงโดยไม่ตั้งใจ บุรุษวัยกลางคนที่ขาง่อยเปลี้ยคนนี้สวมเครื่องแบบพนักงานจากแผนกขนส่งพัสดุทำไมเขาถึงตามหาซุนม่อ?
“อาจารย์ซุน”
เมื่อหลี่กงเห็นซุนม่อนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างเตียงเขาก็หัวเราะแล้ววางถุงใบชาที่เขาซื้อมาไว้ข้างๆ “นี่คือชาถวนหลงจากภูเขาซีลอน ข้าเก็บไว้มายี่สิบปีแล้ว”
เมื่อได้ยินคำว่า 'ชาถวนหลงแห่งเขาซีลอน'คิ้วของหลู่ตี๋ก็กระตุกอย่างไม่ได้ตั้งใจ นี่คือชาที่มีชื่อเสียงใบชาแห้ง 50 กรัมสามารถขายได้ในราคามากกว่า 1,000 ตำลึงเว้นแต่จะเป็นคนมั่งคั่งหรือข้าราชการ พวกเขาก็ไม่สามารถจ่ายได้
หลู่ตี๋เหลือบมอง หลี่กงนำใบชาประมาณ 250 กรัมมาถุงหนึ่ง แม้ว่ามันอาจจะไม่มาก แต่ถ้าเป็นใบชาถวนหลงจริงๆนั่นก็หมายความว่ามันมีมูลค่าประมาณ 5,000 ตำลึงเงิน
ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้อาณาจักรถังมีสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยประเทศเจริญรุ่งเรือง ประชาชนก็สงบสุข อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายประจำปีของครอบครัวสามคนอยู่ที่ประมาณ 100 ตำลึงเงิน
"บุรุษผู้นี้กำลังทำอะไรกับการลงทุนมหาศาลเช่นนี้?"
หลู่ตี๋ตกใจไม่หยุดอย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือฉากที่ตามมา ดวงตาของซุนม่อไม่ได้เหลือบมองแม้แต่ใบชาเขาไม่สามารถแม้แต่จะใส่ใจที่จะยอมรับการปรากฏตัวของหลี่กง
แววโกรธปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลี่กงแต่เขาไม่กล้าที่จะระบาย เขายังคงยิ้มและยืนอย่างเชื่อฟังที่ด้านข้าง
หลังจากผ่านไปสิบนาทีในที่สุดหลี่กงก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป “ข้าจะไปต้มน้ำชงชา!”
หลี่กงหยิบกาต้มน้ำทองแดงบนโต๊ะใกล้ๆแล้วออกจากหอพัก ทันทีที่เขาออกไป เขาก็อดไม่ได้ที่จะสบถด่า
“เด็กบัดซบ กล้าดียังไงมาทำกับบิดาของเจ้าเช่นนี้เมื่อเจ้าตกอยู่ในมือข้า ข้าจะทำให้แน่ใจว่าเจ้าต้องตายด้วยความเจ็บปวด”
หลังจากที่น้ำเดือด หลี่กงที่โกรธจัดก็เจตนาขากสองครั้งจากนั้นเขาก็พ่นเสลดสีเหลืองลงในกาต้มน้ำ แต่เมื่อเขากลับถึงหอพักรอยยิ้มของเขาก็เปล่งประกายอีกครั้ง
ซุนม่อเป็นคนเดียวที่สามารถรักษาขาของเขาที่ง่อยเปลี้ยมากว่าสิบปีถ้าเขาต้องการจะฟื้นตัว เขาทำได้แค่อดทนกับสิ่งนี้
“แก่นแท้ของชาถวนหลงจะถูกดึงออกมาอย่างเต็มที่ในการแช่ครั้งที่สองเจ้าต้องดื่มในขณะที่มันร้อนอย่างแน่นอน!”
เมื่อหลี่กงแนะนำเสร็จเขาก็ดื่มชากลิ่นชาเข้มข้นอบอวลไปทั่วบรรยากาศของหอพัก ทำให้คนน้ำลายหก
เอื๊อก!
หลู่ตี๋กลืนน้ำลายอย่างเงียบๆจากกลิ่นหอมใบชาเหล่านี้น่าจะเป็นชาถวนหลงจากภูเขาซีลอน
“ครูท่านนี้ ทำไมท่านไม่มาลองดื่มด้วยกันเล่า”
หลี่กงเรียกหลู่ตี๋
“ถ้าอย่างนั้นข้าไม่เกรงใจละนะ”
หลู่ตี๋เดินไปยกจอกน้ำชาของเขาขึ้นเป่าสองสามครั้ง จากนั้นได้ยินเสียงร้อน ๆ ในขณะที่เขาเม้มปากและดื่มคำหนึ่งคำในขณะนั้น กลิ่นหอมก็ไหลเข้าสู่ก้นบึ้งของหัวใจทันที เขาเผลอร้อง 'ชาดีๆ'ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจหลังจากที่ดื่มเข้าไป
“ฮ่า ฮ่า อาจารย์ซุน มาลองดู”
หลี่กงยิ้มกว้างแต่หัวใจของเขามีเลือดออก นี่เป็นใบชาที่เขาเก็บไว้นานกว่าสิบปี ต้องยอมเสียไปในลักษณะนี้
ซุนม่อเหลือบมองชาและเปิดใช้งานเนตรทิพย์ของเขา
‘ชาถวนหลง ภูเขาซีลอน เกรดชั้นดี.เมื่อบริโภคเข้าไป จิตก็จะปลอดโปร่งและความเมื่อยล้าจะคลายไปดีต่อสุขภาพลำไส้และการย่อยอาหาร'
อายุของใบชานานแล้วแต่ก็ถือว่ามีคุณภาพสูงไม่ได้ ด้วยสถานะและความสามารถทางการเงินของหลี่กงความสามารถในการรับ 250 กรัมนั้นถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว
“ซุนม่อ มาลองชิมดู มันหอมมาก ดีจริงๆ”
หลู่ตี๋กระตุ้น คุณธรรมของเขาไม่ได้แย่เขารู้ว่าหลี่กงปฏิบัติต่อเขาด้วยชานี้ไม่ใช่เพราะเขาใจกว้าง เป็นเพราะหลี่กงต้องการความช่วยเหลือจากเขาในการยกย่องด้วยชานี้
หลี่กงเติมถ้วยชาอีกใบอย่างแนบเนียนและส่งต่อ
“เจ้าดื่มเถอะ!”
ซุนม่อพูด
"อะไรนะ?"
หลี่กงตกตะลึง
“ดื่มชาให้หมดอย่าให้เหลือแม้แต่หยดเดียว”
น้ำเสียงของซุนโม่เย็นชา (ให้ตายสิ คนผู้นี้ถ่มน้ำลายใส่ชาได้อย่างไรเขาน่าขยะแขยงไปกว่านี้อีกไหม)
“ซุนม่อ เขาใจดีพอที่จะให้ใบชาแก่เจ้าทัศนคติของเจ้าไม่แล้งน้ำใจเกินไปหรือ?”
หลู่ตี๋พูดและดื่มอีกคำหนึ่งรสชาติก็ไม่เลว
"จริงเหรอ? งั้นเจ้าช่วยเขาดื่มเลย!"
ซุนม่อหัวเราะเบาๆ