บทที่ 21 รอบนี้ชีเซิ่งเจี่ยชนะ!
“ชีเซิ่งเจี่ย…”
ขณะที่จูถิ่งต้องการประกาศว่า ชีเซิ่งเจี่ยยอมแพ้และเผิงว่านลี่เป็นผู้ชนะทันใดนั้นเขาก็ได้ยินคำว่า 'มาแล้ว' สะท้อนผ่านโถงประลองทั้งหมด
ชีเซิ่งเจี่ยพุ่งไปข้างหน้าและกระโดดเมื่อเขาเข้าใกล้เวทีการต่อสู้
เสียงกระซิบกระจายโดยทั่วไปดังขึ้นในขณะนี้หนึ่งในสามของนักเรียนในโถงประลองได้ออกไปแล้วเหตุผลที่พวกเขามาที่นี่ก็เพราะพวกเขาอยากเห็นการต่อสู้ของอัจฉริยะอันดับ 50อันดับแรก อย่างมากที่สุดอาจเป็น 100 อันดับแรกแล้วก็กลับหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรน่าดู
“เริ่มเร็วๆ!”
บรรดาศิษย์ที่เตรียมออกไปสู้ในระยะใกล้เริ่มเร่งเร้าพวกเขาเกลียดคนที่เสียเวลามากที่สุด หากผู้ท้าชิงรู้ว่าเขาทำไม่ได้ ก็ไม่ต้องออกมาสู้มันน่าขายหน้า
“ข้ายังคิดว่าชีเซิ่งเจี่ยจะถูกปรับแพ้!”
หวังฮ่าวรู้สึกประหลาดใจ
“ซุนม่อต้องให้กำลังใจเขาและเขาก็ขึ้นไปอย่างหุนหันพลันแล่นทำไมเขาไม่ฉุกคิดอะไรสักหน่อย มีความแตกต่างถึงสองระดับในการฝึกปรือของพวกเขาเขาจะชนะได้อย่างไร”
โจวชี่ส่ายหัว
บนเวทีจูถิ่งกล่าว “ทั้งสองฝ่ายโปรดทักทายซึ่งกันและกัน”
“เผิงว่านลี่ ระดับ 6 ขอบเขตการปรับสภาพร่างกายโปรดชี้แนะ!”
เผิงว่านลี่ที่เตี้ยและแข็งแรงได้สำรวจชีเซิ่งเจี่ยสภาพจิตใจของชีเซิ่งเจี่ยดูเหมือนจะไม่เลว แต่ก็ดีฐานการฝึกปรือของพวกเขาห่างกันสองระดับเขาจะชนะอย่างแน่นอน
เมื่อนักเรียนต้องการเข้าร่วมการต่อสู้ท้าทายพวกเขาต้องรายงานข้อมูลของตนในระหว่างการลงทะเบียน เผิงว่านลี่เป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการของหอโถงประลองดังนั้นเขาจึงถามเพื่อนๆ ของเขาที่รับผิดชอบการลงทะเบียนและในไม่ช้าก็รู้ข้อมูลของฝ่ายตรงข้าม
“ชีเซิ่งเจี่ย ระดับ 5 ขอบเขตปรับสภาพร่างกาย โปรดชี้แนะ!”
ชีเซิ่งเจี่ยตั้งท่าต่อสู้ เขาจำคำสอนของซุนม่อได้เมื่อกรรมการสั่งให้เริ่ม เขาจะโจมตีทันที
“เขาอยู่ที่ระดับ 5 จริงๆ เหรอ? มิน่าเล่าเขาถึงมีความมั่นใจมาก!”
เผิงว่านลี่กระตุกริมฝีปากของแต่เขาก็ไม่ได้สนใจเลย อย่างไรก็ตามโจวชี่และหวังฮ่าวในกลุ่มผู้ชมต่างตกตะลึง
“ข้าได้ยินผิด หรือว่าเซิ่งเจี่ยพูดผิด? ระดับ 5 ของขอบเขตปรับสภาพกาย? ถ้าเขาโกหกเขาจะถูกไล่ออก!”
หวังฮ่าวเป็นกังวล เขาคิดว่าชีเซิ่งเจี่ยกำลังโกหกเผิงว่านลี่เพราะเขาต้องการชนะ
“โง่จริงๆ ลูกไม้เล็กน้อยนี้ไม่มีประโยชน์!”
โจวชี่เกลียดเหล็กที่ไม่เป็นเหล็กอาจารย์ซุนต้องเป็นคนที่สอนเรื่องนี้แก่เขา ถ้าไม่เช่นนั้นชีเซิ่งเจี่ยที่ซื่อสัตย์จะไม่ทำอย่างนั้น
สำหรับชีเซิ่งเจี่ยที่บรรลุไปถึงระดับ 5 แม้ว่าพวกเขาสองคนจะถูกทุบตีจนตาย พวกเขาก็จะไม่เชื่อ นอกจากความจริงที่ว่า ชีเซิ่งเจี่ยใช้เวลามากกว่าครึ่งปีก่อนที่เขาจะก้าวเข้าสู่ระดับที่4 ของขอบเขตปรับสภาพกาย ทักษะของเขานั้นด้อยกว่ามากและเขาเพิ่งประสบความสำเร็จในการก้าวไปถึงระดับ 4 เพียงไม่กี่วันที่ผ่านมา เขาจะบรรลุอีกครั้งได้อย่างไร?
"เริ่ม!"
ขณะที่เสียงของจูถิ่งดังขึ้น ชีเซิ่งเจี่ยก็เหมือนหมาป่าหิวโหยที่พุ่งเข้ามาหมัดของเขาโลดแล่นอยู่ในอากาศ ทำให้เกิดลมกระโชกรุนแรงส่งไปยังเผิงว่านลี่
“ฮึ่ม!”
เผิงว่านลี่ไม่สนใจที่จะหลบเลี่ยงและเขาก็เผชิญกับการโจมตีอย่างรุนแรง
ปัง ปัง ปัง
หมัดกับฝ่ามือชนปะทะกันผลกระทบทำให้คลื่นพลังงานระเบิดออกมา
“อาจารย์ซุนพูดถูก!”
ชีเซิ่งเจี่ยรู้สึกกระวนกระวายใจในขณะที่เขานึกถึงสิ่งที่ซุนม่อพูดกับเขา
“คนหนุ่มสาวทุกคนจะมีความภาคภูมิใจในใจของพวกเขานับประสาอะไรกับคู่ต่อสู้ของเจ้าที่สูงกว่าเจ้าหนึ่งระดับ เขาจะเลือกเผชิญหน้ากับเจ้าอย่างแน่นอนในตอนนั้นเล็งการโจมตีทั้งหมดของเจ้าไปที่ไหล่ขวาของเขา!”
ทันทีที่การต่อสู้เริ่มขึ้นได้พิสูจน์แล้วว่าซุนม่อพูดถูกเรื่องนี้ทำให้ความมั่นใจของชีเซิ่งเจี่ยเพิ่มขึ้นทั้งยังทำให้พลังของเขาเต็มเปี่ยม
“จำไว้! แลกอาการบาดเจ็บกับอาการบาดเจ็บอย่าถอยแม้แต่ครึ่งก้าว แค่โจมตีไหล่ขวาของเขา”
ชีเซิ่งเจี่ย จำคำแนะนำของซุนม่อ เขากัดฟันและต่อสู้อย่างกล้าหาญ18 ฝ่ามืออรหันต์ของเผิงว่านลี่นั้นทรงพลังจริงๆการโจมตีแต่ละครั้งบนร่างกายทำให้เขาเจ็บปวดอย่างมาก เขารู้สึกว่าหากเป็นเขาในอดีตเขาจะไม่สามารถต้านทานพลังนี้ได้อย่างแน่นอน แต่วันนี้อาการของเขาดีมากจนน่ากลัว แม้ว่ามันจะเจ็บปวดแต่ก็เหมือนกับความอดทนของเขาเพิ่มขึ้นเช่นกัน
“ใช่ ต้องเป็นผลจากหัตถ์มังกรโบราณ!”
ชีเซิ่งเจี่ยเดาเขาโง่เกินไป และเขาลืมไปว่าหลังจากที่เขายกระดับพลังความแข็งแกร่งของร่างกายเขาก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน
"เกิดอะไรขึ้น?"
เผิงว่านลี่ขมวดคิ้ว และกระบวนท่าของสิบแปดฝ่ามืออรหันต์ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเห็นได้ชัดว่าเป็นการต่อสู้ที่ผ่อนคลาย แต่ทำไมมันถึงรู้สึกยากลำบาก? คู่ต่อสู้ของเขาเป็นเหมือนสุนัขบ้าไม่ยอมล่าถอยเขายืนกรานที่จะแลกอาการบาดเจ็บกับเขา
ปัง ปัง ปัง
หลังจากการโจมตีอีกรอบ เผิงว่านลี่ซึ่งได้รับบาดเจ็บที่ไหล่ขวามากกว่าสิบครั้งก็ถอยห่างออกไปอย่างต่อเนื่องเพื่อยืดระยะห่างระหว่างพวกเขา
หน้าอกของชีเซิ่งเจี่ยกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรงในขณะที่เขาหอบ
"น่าเสียดาย!" หลี่จื่อฉีถอนหายใจ
ความแข็งแกร่งของชีเซิ่งเจี่ยอยู่ในระดับนี้เท่านั้นถ้าเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ เขาสามารถโค่นเผิงว่านลี่ได้ในตอนนี้ ถ้าเขาทุ่มเทแรงทั้งหมดอีกครั้ง
จินมู่เจี๋ยนั่งหลังโต๊ะยาวทำจากไม้มะฮอกกานีนางกำลังดื่มชาและพูดคุยกับนักเรียนสองสามคน ชี้แนะข้อบกพร่องของพวกเขา หลังจากที่ชีเซิ่งเจี่ยขึ้นเวทีสายตาของนางก็เปลี่ยนไปทันที
เขายกระดับพลัง? เขากินสุดยอดโอสถมาหรือไม่?ไม่สิ ครูฝึกสอนคนนั้นไม่น่าเป็นคนโง่เขาจะไม่ทำอะไรที่ไร้ความหมายเช่นให้สุดยอดโอสถกับนักเรียนเพียงเพื่อชัยชนะในการต่อสู้ครั้งนี้”
จินมู่เจี๋ยวิเคราะห์ “แต่ถ้าเขาไม่กินโอสถเขาจะยกระดับพลังได้อย่างไร?”
หญิงงามทรงเสน่ห์ที่สง่างามนางนี้ขมวดคิ้วเมื่อใบหน้าของนางดูงุนงงในฐานะมหาคุรุ 3 ดาว การตัดสินของนางนั้นไม่ธรรมดาและสามารถเห็นสภาพก่อนหน้าของชีเซิ่งเจี่ยได้โดยธรรมชาติการฝึกปรือในปัจจุบันของชีเซิ่งเจี่ยที่ระดับ 5 ของขอบเขตปรับสภาพกายจึงเกิดจากสิ่งที่อาจารย์ฝึกสอนทำ
“พระเจ้า...อะไรวะเนี่ย”
โจวชี่ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ ชีเซิ่งเจี่ยสามารถต่อสู้กับเผิงว่านลี่ได้อย่างไร? เป็นไปได้ไหมว่าอันดับของเผิงว่านลี่เป็นของปลอม?
“วันนี้เผิงว่านลี่ท้องเสียหรือเปล่า?”
หวังฮ่าวก็งงงวยเช่นกัน “ถ้าพูดอย่างนั้นเซิ่งเจี่ยแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอีกใช่ไหม?”
“ใช่ เขาไม่น่าจะอยู่ที่ระดับ 5 ของขอบเขตปรับสภาพร่างกายได้จริงๆ ใช่หรือเปล่า?”
ในฐานะที่เป็นผู้มีพลังที่ระดับ 6 ของขอบเขตปรับสภาพร่างกาย โจวชี่ตระหนักถึงประสิทธิภาพที่โดดเด่นของเซิ่งเจี่ย หากมีใครพูดถึงสภาพจิตใจและท่าทางที่สง่างามของพวกเขาชีเซิ่งเจี่ยอาจแข็งแกร่งกว่าเขา!
“เป็นไปได้ไหมว่าเขาสามารถชนะได้จริงๆ?”
หลังจากที่หวังฮ่าวพึมพำกับตัวเองเขาก็ส่ายหัวโดยไม่ยินยอม “ข้าคิดมาก เผิงว่านลี่ไม่ใช่เป้าที่เคลื่อนที่ไม่ได้!”
“ข้าสามารถชนะได้!”
บนเวทีคำสามคำนี้ปรากฏในหัวใจของชีเซิ่งเจี่ย
ฉากนี้ไม่ต่างจากที่อาจารย์ซุนพูด
“หลังจากนั้นไม่นานเขาจะไม่ต้องการต่อสู้กับเจ้าโดยตรงและเริ่มมีความคิดล่าถอย ในเวลานั้น หลังจากการระเบิดพลังครั้งก่อนของเจ้าเจ้าจะไม่สามารถตามเขาทัน อย่างไรก็ตามอย่ากังวล ใช้โอกาสที่จะรวบรวมลมหายใจและพลังความแข็งแกร่งของเจ้าเจ้าควรใช้คำพูดเพื่อรบกวนสมาธิและสภาพจิตใจของเขา”
เมื่อเขานึกถึงคำแนะนำของอาจารย์ซุน ฉีเซิ่งเจี่ยก็พูดขึ้น
“เผิงว่านลี่ ข้าเห็นจุดอ่อนของเจ้าแล้ว”
"ฮ่าฮ่า!"
เผิงว่านลี่หัวเราะอย่างเย็นชาราวกับว่าเขาไม่ได้ใส่ใจอย่างไรก็ตาม หัวใจของเขาเต้นแรงด้วยความกลัว
“ความถนัดของข้าไม่ดีและครอบครัวของข้าก็ยากจนถ้าข้าไม่สามารถเข้าไปใน โถงประลองได้ในครั้งนี้ ข้าจะต้องออกจากโรงเรียนและถูกขายให้กับกลุ่มใหญ่ในฐานะคนรับใช้ดังนั้นวันนี้ข้าขอสู้ตายในการต่อสู้ครั้งนี้”
ชีเซิ่งเจี่ยมองตรงเข้าไปในดวงตาของเผิงว่านลี่น้ำเสียงของเขาจริงใจและเต็มไปด้วยความอ้างว้าง
ซุนม่อปิดหน้าของเขา ชีเซิ่งเจี่ยไม่มีฝีมือด้านการแสดงเลยโชคดีที่สถานการณ์ปัจจุบันของเขาใกล้เคียงกับที่เขาพูดดังนั้นการแสดงออกของเขาจึงยังคงอยู่บนความเหมาะสม
"เจ้าหมายถึงอะไร? เจ้าต้องการให้ข้าแสดงความเมตตาใช่ไหม?”
เผิงว่านลี่ไม่ใช่คนประเภทที่จะคำนึงถึงสถานการณ์ของผู้อื่น
ชีเซิ่งเจี่ยไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรแต่อาจารย์ซุนเคยพูดก่อนหน้านี้ไม่ว่าเผิงว่านลี่จะพูดอะไรเขาแค่ต้องพูดคำที่อาจารย์ซุนสอนเขาซ้ำๆ
“เจ้ากับข้าแตกต่างกัน เจ้าเป็นอัจฉริยะและแม้ว่าเจ้าจะสูญเสียสิ่งนี้ไป เจ้าก็สามารถเข้าร่วมโถงประลองได้ในอีกสามเดือนต่อมา”
“ฮึ่มม นั่นมันเป็นเรื่องธรรมดา!”
เผิงว่านลี่มีความเย่อหยิ่งปรากฏบนใบหน้าของเขา
“อย่างไรก็ตาม หากเจ้าต่อสู้เพื่อปิดฉากข้าให้ได้แม้ว่าเจ้าจะชนะ แต่เจ้าก็ยังได้รับบาดเจ็บบางส่วน แม้ว่าเจ้าจะฟื้นตัว แต่สถานะฝีมือสูงสุดของเจ้าจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป!”
หลังจากพูดจบชีเซิ่งเจี่ยก็รีบจู่โจมทันที
หมาป่าล่าเหยื่อ! ครู่ต่อมาเงาหมัดยี่สิบชุดก็พุ่งจู่โจมเข้ามา
โห่วววว!
เสียงโห่กระจายดังออกมาจากหมู่ผู้ชมและวิพากษ์วิจารณ์ชีเซิ่งเจี่ยที่ใช้กลอุบายสกปรก อย่างไรก็ตามนักเรียนส่วนใหญ่ไม่สนใจเรื่องนี้มันเป็นแค่เรื่องไร้สาระมิใช่เหรอ? ไม่มีปัญหาตราบใดที่ชีเซิ่งเจี่ยไม่ได้ใช้อาวุธที่ซ่อนอยู่หรือวิธีการที่น่าอับอาย
จูถิ่งเบื่อหน่ายแทบตายได้สำรวจชีเซิ่งเจี่ยอย่างจริงจังหลังจากได้ยินคำพูดของเขาเขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ชีเซิ่งเจี่ยรู้จักวิธีใช้สงครามจิตวิทยาจริงๆ เหรอ?”
จินมู่เจี๋ยพยักหน้า การโจมตี'หัวใจ'ของคู่ต่อสู้เป็นวิธีการต่อสู้ที่สุดยอด!
"ว่าไงนะ?"
เผิงว่านลี่ถอยร่นครั้งแล้วครั้งเล่าความเจ็บปวดที่ไหล่ขวาของเขาดูเหมือนจะรุนแรงขึ้น หมอของเขาเคยบอกเขาว่าเนื่องจากอาการบาดเจ็บของเขาเขาต้องไม่ต่อสู้ในระหว่างนี้ มิฉะนั้นจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของเขา
อย่างไรก็ตามไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงการทดสอบในโถงประลองได้เมื่อเขาได้รับเลือกจากชีเซิ่งเจี่ย เผิงว่านลี่ก็ดีใจ เขาคิดว่าเขาพบคู่ต่อสู้ที่ง่ายดายแต่ใครจะรู้ว่าชีเซิ่งเจี่ย เป็นเผือกร้อน!
จิตใจของเผิงว่านลี่ไม่มั่นคงความภาคภูมิใจของเขาทำให้เขาไม่ต้องการปกป้อง อย่างไรก็ตามคำพูดของหมอทำให้เขารู้สึกราวกับว่ามีกระดูกติดอยู่ที่คอของเขาเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตั้งรับแทนการโจมตี
ในขณะนี้ขวัญกำลังใจของชีเซิ่งเจี่ยเพิ่มมากขึ้นในขณะที่เขาโจมตีอย่างดุเดือดยิ่งขึ้น
“เขาจะชนะไหม?”
มือของหลี่จื่อฉีกำแน่นเนื่องจากความกังวลใจสามารถเห็นได้บนใบหน้าของนาง
"ไปกันเถอะ!"
ซุนม่อหันหลังเดินออกไปไม่จำเป็นต้องดูอีกต่อไป ท่าทางการป้องกันของ เผิงว่านลี่ บ่งบอกว่าหัวใจของเขาอยู่ในสภาพสับสนวุ่นวายแล้ว
“จะทำอย่างไร? จะทำอย่างไร”
ใจของเผิงว่านลี่กระวนกระวายและเต็มไปด้วยความวิตกกังวลเขาไม่รู้ว่าเขาควรทำอย่างไร
เขาควรเพิกเฉยต่ออาการบาดเจ็บที่แย่ลงและเอาชนะชีเซิ่งเจี่ยหรือไม่? อย่างไรก็ตามผลที่ตามมาจะรุนแรงถ้าเขาแพ้ตอนนี้เขาสามารถเข้าร่วมโถงประลองอีกครั้งได้เสมอหลังจากที่เขาฟื้นฟูร่างกายในอีกสามเดือนต่อมา
สำหรับชายหนุ่มอายุ 14 ปีทางเลือกที่จะส่งผลต่ออนาคตของเขา มีแต่จะทำให้เขากดดันมากเกินไป
สำหรับชีเซิ่งเจี่ย ความมั่นใจของเขาทะยานพุ่งสูงขึ้นเพราะจนถึงตอนนี้ทุกสิ่งที่ซุนม่อพูดได้กลายเป็นจริงแล้ว
“ข้าสามารถชนะการต่อสู้ครั้งนี้ได้!”
ชีเซิ่งเจี่ยก้าวและชกด้วยพลังรุนแรง
หมาป่าฟ้าหอนรับจันทรา
ฮ่าาาาห์!
ปราณจิตส่งเสียงหวีดหวิวแสงเส้นใยของมันสานตัวกลายเป็นหัวหมาป่าแล้วยิงไปที่เผิงว่านลี่ ราวกับจะกัดเขา
ปั้ก! ปั้ก!
เผิงว่านหลี่ยังคงล่าถอยต่อไป เขาใช้หัตถ์สลายใจของฝ่ามืออรหันต์หลังจากทำลายหัวหมาป่าได้แล้ว ก็พบว่าชีเซิ่งเจี่ยได้ใช้โอกาสนี้พุ่งเข้ามาปรากฏตัวต่อหน้าเขามันสายเกินไปแล้วแม้ว่าเขาต้องการจะตั้งรับต่อไปก็ตาม
ปัง
ไหล่ขวาของเผิงว่านลี่ถูกต่อย และเขาถูกกระแทกตกเวที
“สำหรับการประลองครั้งนี้ ชีเซิ่งเจี่ย เป็นผู้ชนะ!”
จูถิ่งประกาศ
ผู้ชมทั้งหมดอยู่ในสภาวะเงียบสนิทดวงตาของนักเรียนเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาและดูถูกเมื่อพวกเขามองไปที่ชีเซิ่งเจี่ยไม่มีใครรู้สึกว่าเขาสมควรได้รับชัยชนะ
พวกเขารู้สึกว่าชีเซิ่งเจี่ยไม่ชนะด้วยความแข็งแกร่งของเขาแต่เป็นเพราะเผิงว่านหลี่บังเอิญได้รับบาดเจ็บและเจอเขาถ้าพวกเขาต่อสู้กับเผิงว่านลี่ พวกเขาจะชนะเช่นกัน
“พระเจ้า เซิ่งเจี่ยชนะหรือนี่?”
หวังฮ่าวขยี้ตาแรงๆเขารู้สึกว่าเขากำลังฝันไป
แปะๆๆๆๆ!
จู่ๆก็มีเสียงปรบมือดังขึ้น ทุกคนหันมามองและพบว่ามหาคุรุ 3 ดาว จินมู่เจี๋ย เป็นที่มาของเสียงปรบมือ นางสวมชุดยาวสีขาวปักดิ้นทองสามเส้นเสื้อคลุมขับเน้นรูปร่างของนางอย่างเต็มที่แสดงออกถึงความสูงส่งและงดงาม