บทที่ 12 : สวัสดี สามี!
บทที่ 12 : สวัสดี สามี!
สือชิงลั่วไม่พบบาดแผลบนตัวของเซียวหานเจิง
นางวางมือไว้บนหน้าอกของเซียวหานเจิงและจมอยู่กับความคิดของตัวเอง
ตามหลักแล้ว หลังจากที่กินยาลดไข้เข้าไปแล้วไข้ก็ควรจะลดลง และเขาก็กินยาแก้อักเสบไปแล้วด้วย
บนร่างกายของเขาก็ไม่มีบาดแผลอื่น แล้วทำไมเขาถึงยังไม่ฟื้น?
ในตอนที่นางกำลังใช้ความคิดอยู่นั้น นางก็เผลอเคาะนิ้วโดยไม่รู้ตัว และลืมไปว่านี่ไม่ใช่โต๊ะแต่เป็นร่างเปลือยของคนอื่น
“จับแล้วรู้สึกดีหรือไม่?”
อยู่ๆก็มีน้ำเสียงแหบแห้งและอ่อนแรงดังขึ้น ทำให้สือชิงลั่วรู้สึกตัว
นางจึงตอบกลับไปตามสัญชาตญาณ “ก็ดี แต่ออกจะผอมไปสักหน่อย”
หลังจากพูดไปแล้ว นางก็จับดูอีกครั้ง
ผิวของเขาเรียบลื่น แต่น่าเสียดายที่เขาผอมเกินไป
มันคงจะดีกว่านี้ หากเขามีกล้ามเนื้อที่หน้าท้องเพิ่มขึ้นมา
เซียวหานเจิงที่เพิ่งหลุดพ้นจากฝันร้ายและลืมตาขึ้นมาสำเร็จ
สือชิงลั่วก้มหน้าลงสบสายตากับแววตามุ่งร้ายของเขา ที่ราวกับสามารถทำลายโลกได้ทั้งใบ
แต่เขาก็กลบเกลื่อนมันได้อย่างรวดเร็ว และเปลี่ยนเป็นสายตาที่เย็นชาและสงบนิ่ง
หากสือชิงลั่วไม่มั่นใจว่านางรู้สึกถึงมันจริงๆ นางอาจคิดว่าสายตาของนางคงมีปัญหา
ทำไมเขาถึงตื่นขึ้นมาแล้วมีท่าทีมุ่งร้ายแบบนี้?
“เจ้าฟื้นแล้ว!” สือชิงลั่วยิ้มให้เซียวหานเจิง
เซียวหานเจิงมองสตรีแปลกหน้าและขมวดคิ้ว
เมื่อเขารับรู้ได้ว่ามือของนางยังอยู่ที่หน้าอกของเขา ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อ “เจ้าเอามือออกได้หรือไม่?”
สือชิงลั่วจึงเพิ่งรู้ตัวว่ามือของนางยังคงอยู่บนหน้าอกของเขา
ไอ้หยา น่าอายจริงๆ!
“เอาออกแล้ว!” นางกระพริบตาและเอามือออกจากหน้าอกของเขา
เซียวหานเจิงคิดกับตัวเอง นางเป็นใครมาจากไหน? ช่างใจกล้าและไร้ยางอายจริงๆ
เขามองดูรอบๆ แล้วดวงตาของเขาก็หดตัว
ที่นี่ช่างคุ้นตาเหลือเกิน นี่คือที่ที่เขาเคยอาศัยอยู่เมื่อเขายังเด็ก แต่ก็เป็นสถานที่ที่เขาไม่อยากนึกถึงที่สุดเช่นกัน
แล้วเขาก็สงบใจลงได้อย่างรวดเร็ว เขามองสตรีที่เตะต้องตัวเขาและถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”
สติของเขาค่อยๆกลับคืนมา
เมื่อครู่ เขารู้สึกได้ว่ามีคนจับตัวเขาไม่หยุด
แล้วในที่สุดเขาก็สามารถตื่นขึ้นมาได้ หลังจากถูกใครบางคนจับต้องตั้งแต่ขามาจนถึงหน้าท้องของเขา
สือชิงลั่วยิ้มและยกมือขึ้นมาทักทายเขาอย่างงดงาม “ข้าคือภรรยาของเจ้า สือชิงลั่ว สวัสดี สามี!”
เซียวหานเจิงมึนงง เขามีภรรยาตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำไมเขาถึงไม่รู้เลย?
หรือเขากำลังฝันอยู่?
เขาหลับตาแล้วลืมตาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เด็กสาวยังคงมองมาที่เขาด้วยรอยยิ้ม
แล้วเขาก็รู้สึกเจ็บจากการโดนหยิกที่แขน
เขามองหน้าสือชิงลั่ว “เจ้ากำลังทำอะไร?”
สือชิงลั่วพูดด้วยใบหน้าใสซื่อ “เจ้าดูเหมือนคนที่กำลังคิดว่าตนเองกำลังฝันอยู่ ข้าเลยหยิกเพื่อช่วยให้เจ้ารู้ตัวว่านี้คือความจริงอย่างไรเล่า”
สีหน้าเหม่อลอยของเขาก็หมายถึงเขาคิดว่าตนเองกำลังฝันอยู่
“ไม่ต้องขอบใจข้าหรอกนะ!” นางพูด
เซียวหานเจิงคิดอยู่ในใจ ข้าต้องขอบใจที่เจ้าทำให้ร่างกายของข้าแย่ลงสินะ
แต่ความเจ็บปวดนี้ก็ทำให้เขารู้สึกถึงความเป็นจริงได้มากขึ้น นี่ไม่ใช่ความฝัน
สือชิงลั่วคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดออกไปว่า “รอเดี๋ยวนะ ข้าจะไปเรียกมารดาของเจ้ากับคนอื่นให้”
หากแม่เซียวกับคนอื่นๆรู้ว่า เซียวหานเจิงฟื้นขึ้นมาแล้ว พวกเขาต้องโล่งใจเป็นแน่
แววตาของเซียวหานเจิงหดตัวอีกครั้ง “เจ้าบอกว่าจะไปเรียกมารดาของข้าอย่างนั้นหรือ?”
สือชิงลั่วพยักหน้า “ใช่ มารดา น้องชาย น้องสาวของเจ้า”
“ตอนนี้ ผู้ใหญ่บ้านกับคนอื่นๆกำลังเลี้ยงฉลองกันอยู่ที่ด้านนอก ข้าจะออกไปแจ้งพวกเขาว่าเจ้าฟื้นแล้ว”
เซียวหานเจิงยกมือขึ้นมาด้วยความยากลำบาก เขามองดูมือที่ขาวเนียนและอ่อนเยาว์ เขาจึงพอคาดเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง
“เช่นนั้น ข้าคงต้องรบกวนให้เจ้าไปเรียกนางมาที” เขาอยากเห็นหน้าพวกเขาและยืนยันเรื่องทุกอย่างด้วยตนเอง
สือชิงลั่วลุกขึ้นยืน “ได้ รอสักครู่”
เมื่อเห็นว่านางกำลังจะเดินออกไป อยู่ๆเซียวหานเจิงก็นึกขึ้นได้เกี่ยวกับสภาพร่างกายของเขา
เขาจำต้องสูดลมหายใจเข้าลึกและกัดฟันพูดออกไป “เจ้าช่วยสวมเสื้อกับกางเกงให้ข้าก่อนได้หรือไม่?”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกลวนลามและแตะต้องเนื้อตัว โดยสตรีที่เหมือนจะไม่รู้ตัวว่าได้ทำอะไรลงไป
นางคงไม่เข้าใจว่าเขารู้สึกอึดอัดเช่นไรบ้าง
เขาใช้แรงแทบทั้งหมดในการยกมือขึ้น และเขาก็ไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะสวมเสื้อผ้าด้วยตนเอง
หากมารดาและผู้ใหญ่บ้านเข้ามาเห็นภาพไม่หน้าดูของเขาอาจจะดูอุจาดตาเกินไป
สือชิงลั่วถึงพึ่งนึกขึ้นได้ว่า นางได้ถอดเสื้อผ้าของเขาออก
นางคิดในใจ ข้าไม่อาย แต่เซียวหานเจิงอาย แค่ก แค่ก!
“ไม่มีปัญหา!”
นางรีบสวมเสื้อและกางเกงให้กับเซียวหานเจิง และคลุมตัวเขาด้วยผ้าห่ม
“เอ่อ เมื่อครู่ข้าไม่ได้คิดล่วงเกินเจ้า ข้าเพียงต้องการตรวจดูแผลบนร่างกายของเจ้าเท่านั้น”
“ถึงมันจะรู้สึกดีก็เถอะ แค่ก แค่ก... ข้าไปล่ะ!” นางเผลอพูดความจริงออกไป
หลังจากอธิบายจบแล้ว สือชิงลั่วก็วิ่งออกไปทันที
เซียวหานเจิงไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือหัวเราะดี สตรีนางนี้ช่าง...
แล้วเขาก็หันหัวเพื่อมองดูห้องที่คุ้นเคยในความทรงจำของเขา
ในขณะที่เขากำลังจมอยู่ในห้วงความคิด แววตาของเขาก็ถูกปกคลุมไว้ด้วยม่านหมอกของความเกลียดชัง
ทางด้านสือชิงลั่วที่เพิ่งเดินออกมาจากห้อง นางก็บังเอิญพบเข้ากับเซียวป๋ายหลี่ที่เดินมาพร้อมกับอาหาร
เซียวป๋ายหลี่ก็เห็นสือชิงลั่วเช่นเดียวกัน “พี่สะใภ้ ท่านออกมาทำไมหรือเจ้าคะ?”
นางยิ้ม “ข้าเอาอาหารมาให้ท่านกินรองท้องไปก่อน”
เมื่องานเลี้ยงเริ่ม แม่เซียวก็ตักอาหารใส่จานและสั่งให้นางนำไปให้พี่สะใภ้
สือชิงลั่วรู้ว่าแม่เซียวเป็นคนใส่ใจผู้อื่นและได้ให้เซียวป๋ายหลี่นำอาหารมาให้นางกินรองท้องก่อน
การตัดสินใจของนางนั้นถูกต้อง
นางยิ้มและพูดว่า “พี่ชายของเจ้าฟื้นแล้ว ข้าจึงได้ออกมาแจ้งข่าว”
เซียวป๋ายหลี่นิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนที่นางจะเบิกตากว้าง “พี่สะใภ้ ท่านบอกว่าพี่ชายฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ?”
“ถูกต้อง เขาฟื้นแล้ว!”
สือชิงลั่วยิ้มและบีบแก้มอีกฝ่าย “เขาได้สติแล้ว เจ้ารีบไปเรียกมารดากับผู้ใหญ่บ้านมาเร็วเข้า”
เซียวป๋ายหลี่หลั่งน้ำตาด้วยความยินดี “ดีเหลือเกิน! พี่ชายฟื้นแล้ว!”
จากนั้น นางจึงยัดอาหารใส่มือของสือชิงลั่ว “ข้าจะไปเรียกพวกเขามาเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
สือชิงลั่วจึงเปิดประตูและเดินกลับไปที่ห้องของเซียวหานเจิงพร้อมกับอาหาร
ในเวลานี้ เซียวหานเจิงกลับมามีสีหน้าเป็นปกติแล้ว
เขามองไปทางสือชิงลั่วที่เดินกลับเข้ามาด้วยแววตาใคร่รู้
เขาได้ยินเสียงนางกับน้องสาวของเขาที่พูดคุยกันเมื่อครู่
เสียงนั้นคือน้ำเสียงของน้องสาวที่อยู่ในความทรงจำของเขา
และน้องสาวของเขายังเรียกสตรีผู้นี้ว่าพี่สะใภ้ นั่นก็หมายความว่านางเป็นภรรยาของเขา
เช่นนั้นมันคือช่วงเวลาไหนกันแน่?
ทำไมเขาถึงได้มีภรรยา?
สือชิงลั่วถืออาหารเข้ามานั่งที่โต๊ะที่ตั้งอยู่ไม่ไกล
นางหิวมาก เพราะเมื่อเช้านางไม่ได้กินอะไรเลย
นางจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาและกินอาหารต่อหน้าเซียวหานเจิงโดยไม่รู้สึกอาย
เซียวหานเจิงมองนางกินข้าวโดยไม่กระพริบตา
เขาพบว่า ความเร็วในการกินอาหารของนางนั้นไม่ช้าเลยสักนิด แต่นางกลับกินได้อย่างเรียบร้อยและสง่างาม
เพียงแค่มองดู เขาก็รู้ได้ว่านางได้รับการสั่งสอนมาเป็นอย่างดี
อีกทั้งนางยังเป็นคนเลือกกิน
นางคีบเนื้อติดมันที่นางไม่ชอบออก
นางดูไม่เหมือนสาวชาวบ้านเลยแม้แต่น้อย
แต่นางทั้งผ่ายผอมและเหลืองซีด มันตรงกันข้ามกับเสื้อผ้าที่นางใส่ซึ่งเต็มไปด้วยรอยปะชุน ไม่ต่างจากเด็กสาวจากครอบครัวยากจน
เมื่อเซียวหานเจิงมองนางไม่ละสายตา นางจึงลังเลที่จะกินต่อ แม้ว่านางจะยังหิวอยู่ก็ตาม
นางจึงเงยหน้าขึ้นมองเขา “เจ้าหิวหรือ?”
“น่าเสียดายที่เจ้าพึ่งฟื้นหลังจากที่หมดสติไปสิบกว่าวัน เจ้ายังกินของพวกนี้ไม่ได้หรอก”
ดังนั้น อย่าได้คิดแย่งอาหารของข้า
เซียวหานเจิงรู้ว่านางกำลังพยายามจะบอกอะไร แต่เขาไม่ได้ต้องการอาหารของนางเลยจริงๆ