บทที่ 11: นี่ไม่ถูกต้อง
บทที่ 11: นี่ไม่ถูกต้อง
การแต่งงานเป็นไปอย่างราบรื่น
ไม่มีใครในบ้านสือสร้างปัญหาให้กับพวกเขา
ลูกชายคนโตของผู้ใหญ่เซียวและคนอื่นๆต่างรู้สึกว่า คนบ้านสือกำลังโล่งใจอย่างมาก
แต่ทุกคนในบ้านสือกลับทำหน้าตาไม่น่าดู
บิดาสวะของนางกับคนอื่นๆต่างช่วยกันเคลื่อนย้ายหีบและตำราที่สือชิงลั่วนำกลับมาจากวัดเต๋าขึ้นไปไว้บนเกวียนวัวที่ใช้สำหรับรับเจ้าสาว
จากการข่มขู่ของสือชิงลั่ว พวกเขาจึงโยนธัญพืชห้าถุงไปบนเกวียนวัวด้วยสีหน้ามืดครึ้ม
ลูกชายสามบ้านสือมองไปทางสือชิงลั่วและพูดเสียงเย็น “เจ้าเป็นคนตัดสินใจเรื่องการแต่งงานเอง แล้วอย่าได้ร้องไห้กลับมาล่ะ”
พวกเขาไม่ได้รับเงินค่าสินสอดแม้แต่เหลียงเดียว
พวกเขารู้สึกว่าได้เลี้ยงดูบุตรสาวคนนี้ขึ้นมาโดยที่ไม่ได้อะไรกลับคืนมาเลย
ที่สำคัญคือ พวกเขาไม่เคยต้องประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่เช่นนี้มาก่อน
ล้วนเป็นความผิดของบุตรสาวทั้งสิ้น
สือชิงลั่วยิ้มกว้างให้เขา “ไม่ต้องกังวล ข้าไม่กลับมาที่นี่อีกแน่”
“ข้าแค่กลัวว่า พวกเจ้าจะร้องไห้มาหาข้าในอนาคตมากกว่า” นางพูด
ลูกชายสามบ้านสือยิ้มเยาะ “ฝันไปเถอะ”
สือชิงลั่วยกยิ้ม นางรู้สึกว่า วันนั้นจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน สำหรับคนบ้านสือแล้ว เมื่อเป็นเรื่องของผลประโยชน์ หน้าตาก็ไม่สำคัญสำหรับพวกเขาอีกต่อไป
นางพูดสิ่งที่อยู่ในใจ “แต่ถึงพวกเจ้าจะร่ำไห้และขอร้องข้า ข้าก็ไม่มีทางสนใจ”
นางมีวิธีจัดการกับตัวปัญหาเหล่านี้อยู่นับไม่ถ้วนเชียวล่ะ
ลูกชายสามบ้านสือกับคนอื่นๆต่างรู้สึกรำคาญ “เช่นนั้นพวกข้าจะรอดูว่าเจ้าจะทำให้พวกข้าร่ำไห้ได้อย่างไร และเจ้ายังจะหยิ่งยโสไปได้อีกนานแค่ไหน”
ลูกชายสี่บ้านสือพูด “เจ้าต้องชดใช้บาปกรรมที่เจ้าได้ทำลงไป”
สือชิงลั่วเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าหมายถึงตระกูลหวูต้องการแก้แค้นข้าอย่างนั้นหรือ?”
ลูกชายสี่บ้านสือพึมพำ หลานสาวคนนี้กลายเป็นคนฉลาดแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
หรือเพราะนางกลับมาจากวัดเต๋าและพยายามทำตัวให้ดูฉลาด?
“ดูเหมือนเจ้าจะรู้อะไรมาสินะ”
เมื่อสือชิงลั่วเห็นสีหน้าของเขา นางก็รู้ได้ทันทีว่าสวะคนนี้ยังติดต่อกับคนตระกูลหวูอยู่
นางจึงนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสองวันที่แล้วที่นางออกไปข้างนอก แล้วกลับมาเห็นห้องเก็บฟืนที่นางอาศัยอยู่ถูกรื้อค้นจนเละเทะไปหมด
นางถามด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า “หรือตระกูลหวูจะสนใจลูกบอลสีดำที่อาจารย์มอบให้ข้าเอาไว้?”
สีหน้าของลูกชายสี่บ้านสือเปลี่ยนไปเล็กน้อยและกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว “ข้าไม่รู้เรื่องที่เจ้าพูด”
สือชิงลั่วยกยิ้ม “ข้าคิดไว้อยู่แล้ว แต่ข้ากลัวว่า พวกเขาคงไม่มีวาสนาที่จะได้มันไปหรอก”
ในเมื่อตระกูลหวูเป็นถึงตระกูลพ่อค้าร่ำรวยอยู่ในอำเภอนี้ ผู้นำตระกูลก็ต้องไม่ใช่คนโง่อย่างแน่นอน โดยเฉพาะเรื่องที่พวกเขาสามารถสานสัมพันธ์กับนายอำเภอได้
นางเคยใช้ระเบิดข่มขู่ตัวปัญหาบ้านสือ รวมไปถึงมามาและคนจากตระกูลหวู
ผู้นำตระกูลหวูต้องคิดออกอยู่แล้วว่าของสิ่งนี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่นได้ เช่น ในสงคราม
หากตระกูลหวูมีของสิ่งนี้อยู่ในมือ พวกเขาก็จะประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้นไปอีก
แน่นอนว่าเป็นเพราะมีเพียงมามาและคนอื่นที่ได้เห็นอานุภาพของมัน ผู้นำตระกูลหวูจึงยังไม่มั่นใจและตัดสินใจให้ลูกชายสี่บ้านสือขโมยมัน
แต่นางได้เตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว และย้ายพวกมันทั้งหมดไปเก็บไว้ในช่องว่าง นางจึงไม่หวั่นกลัวถึงสิ่งที่คนตระกูลหวูคิดจะทำ
นางโบกมือให้บิดาสวะและคนบ้านสือ “เอาล่ะ ไว้พบกันใหม่!”
คนบ้านสือต่างคิดในใจ ใครอยากจะพบเจ้าอีกกัน
พวกเขาไม่ต้องการเห็นหน้าตัวสารเลวอีกเป็นครั้งที่สอง
ตาเฒ่าสือโบกมือไล่ด้วยสีหน้าหงุดหงิด “ไป ไป๊”
สือชิงลั่วถือถุงใบเล็กเอาไว้แล้วหันหลังให้กับบ้านสือโดยไม่แม้แต่จะคิดหันกลับไปมอง
เมื่อเห็นแบบนี้ ตาเฒ่าสือกับคนอื่นๆก็อดที่จะถอนหายใจอย่างโล่งอกไม่ได้
ในที่สุด ตัวซวยก็ไปได้เสียที
ยายเฒ่าสือกับสตรีคนอื่นในครอบครัวของหนิวซื่อล้วนไม่ออกมาส่งสือชิงลั่ว
นี่แสดงให้เห็นว่าพวกนางไม่ชื่นชอบสือชิงลั่ว
แต่สือชิงลั่วก็ไม่สนใจเรื่องนี้
นางยังรู้สึกว่า มันคงจะดีกว่านี้หากพวกเขาไม่ออกมาให้รกสายตา
หลังจากที่นางเดินออกประตูมาแล้ว นางก็ยิ้มทักทายลูกชายคนโตของผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นๆ
ใบหน้าของเซียวเอ้อร์หลางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้ ข้ามารับท่านแทนพี่ชายขอรับ!”
สือชิงลั่วยิ้มและยื่นมือออกไปตบไหล่เขา “เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ!”
เมื่อลูกชายคนโตของผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นเห็นว่า ไม่มีใครในบ้านสือออกมาส่งเจ้าสาวเลยสักคน พวกเขาต่างก็รู้สึกแปลกใจ
เมื่อสือชิงลั่วเห็นสีหน้าของพวกเขา นางจึงยิ้มและพูดว่า “พวกเขาทนแยกจากข้าไม่ได้ พวกเขากลัวว่า ตนเองอาจห้ามน้ำตาไม่ได้หากต้องออกมาส่งข้า ข้าก็เลยบอกให้พวกเขาไม่ต้องออกมาเจ้าค่ะ”
คนบ้านสือที่ยังคงยืนอยู่ที่ลานบ้านต่างเงียบกริบ
ใครที่ไม่อยากแยกจากเจ้ากัน? ไร้ยางอาย
ลูกชายคนโตของผู้ใหญ่บ้านจึงคิดว่า คนบ้านสือคงไม่ต้องการให้บุตรสาวของพวกเขาแต่งเพื่อแก้ชง แต่พวกเขาก็ปฏิเสธความต้องการของสือชิงลั่วไม่ได้
ไม่แปลกใจเลย ที่เมื่อครู่พวกเขาถึงได้มีสีหน้าไม่เหมือนคนที่บุตรสาวกำลังจะแต่งออกไป
แต่กลับมีสีหน้าคล้ายมีคนตายอยู่ในบ้านเสียมากกว่า
เขาจึงยิ้มอายๆ “ขึ้นเกวียนเถอะ”
นี่เป็นเกวียนวัวของครอบครัวเขา บิดาของเขาสั่งให้เขาขี่มาเพื่อรับตัวเจ้าสาว
เดิมทีก่อนที่จะมารับตัวเจ้าสาว พวกเขาต่างก็คิดว่าคนบ้านสือนั้นรับมือได้ยาก พวกเขาไม่คิดเลยว่ามันจะราบรื่นเพียงนี้
สือชิงลั่วไม่คิดโต้แย้งและขึ้นนั่งบนเกวียนอย่างเรียบร้อย “ต้องรบกวนพวกท่านแล้ว!”
จากนั้น ทั้งคณะก็เดินทางไปยังหมู่บ้านเซี่ยซี
การแต่งงานในชนบทนั้น สตรีล้วนแล้วแต่มีฐานะยากจนและมักสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดาตามไปอยู่ที่บ้านสามีเลย
มีเพียงครอบครัวที่ร่ำรวยและมีอำนาจเท่านั้นที่สามารถแต่งบุตรสาวของพวกเขาออกไปพร้อมกับชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์
พวกนางมีผ้าคลุมหน้าและนั่งอยู่ภายในเกี้ยวเจ้าสาว
สือชิงลั่วนั่งอยู่บนเกวียนวัวและมองดูทิวทัศน์สองข้างทางอย่างสบายอารมณ์
นางถอนหายใจเงียบๆ
นางไม่คิดเลยว่า ตนเองจะต้องมาแต่งงานในยุคสมัยโบราณ ทั้งที่นางยังไม่เคยแต่งงานเมื่ออยู่ในยุคปัจจุบันด้วยซ้ำ
เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงบ้านเซียว สือชิงลั่วก็กระโดดลงจากเกวียนวัวด้วยตนเอง
แม่เซียวกับเซียวป๋ายหลี่มายืนรออยู่ที่ประตูนานแล้ว
เมื่อนางเห็นว่าพวกเขามาถึงแล้ว แม่เซียวก็เดินตรงเข้าไปจับมือสือชิงลั่วเอาไว้
“ชิงลั่ว เจิงเอ่อร์ยังไม่ฟื้นเลย”
“อีกสักพัก พวกเจ้าต้องเข้าพิธี เอ้อร์หลางจะเป็นผู้ถือเสื้อของเขาและคำนับเจ้าแทนเขา”
“เมื่อไหร่ที่เจิงเอ่อร์ฟื้นขึ้นมา พวกเจ้าทั้งสองค่อยทำพิธีกันอีกครั้ง”
“ลำบากเจ้าแล้ว!”
สือชิงลั่วยิ้ม “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”
มันเป็นเรื่องดีที่เอ้อร์หลางทำแทนพี่ชายของเขาได้
หากเซียวหานเจิงฟื้นขึ้นมาและไม่สามารถเข้ากับนางได้ มันก็จะเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขาในการแยกทางกันในอนาคต
เพราะพวกเขายังไม่ได้เข้าพิธีแต่งกันอย่างเป็นทางการ
คนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับแม่เซียว และคนที่คอยให้ความช่วยเหลือครอบครัวพวกนางหลังจากที่แยกบ้านล้วนแล้วแต่ได้รับเชิญ
รวมไปถึงผู้ใหญ่บ้านและบุตรชายของเขา พวกเขานั่งกันจนเต็มโต๊ะทั้งสามที่เอามาตั้งไว้
แม่เซียวพาสือชิงลั่วเข้าไปในบ้าน
นางคำนับให้กับเสื้อผ้าของเซียวหานเจิงที่โถงบ้านภายใต้สายตาของทุกคน
จากนั้น พวกเขาก็เข้าไปในห้องของเซียวหานเจิง
เมื่อเข้ามาในห้องแล้ว สือชิงลั่วก็นำห่อผ้าไปวางไว้และเดินไปที่ข้างเตียงเพื่อมองดูสามีของนางที่ยังคงไม่ฟื้น
นางยื่นมือไปแตะที่หน้าผากของเขา
มันไม่ร้อนแล้ว
หลังจากดึงมือกลับมา นางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไข้ก็ลดแล้ว ทำไมเขาถึงยังไม่ฟื้นอีก?”
นี่ไม่ถูกต้อง
จากนั้น นางก็เลิกผ้าห่มขึ้นและม้วนขากางเกงของเขาขึ้น
มีบาดแผลไม่ลึกมากอยู่ที่บริเวณน่องและต้นขาของเขา
แผลเริ่มตกสะเก็ดและสมานกันแล้ว
มันไม่มีอาการอักเสบหรือบวมช้ำเลย
เธอยื่นมือไปจับขาทั้งสองข้างของเขา “กระดูกก็ไม่ได้หัก”
นางต้องการหาว่ามีบาดแผลอื่นซ่อนอยู่บนตัวของเซียวหานเจิงหรือไม่
หลังจากจับขาของเขาดูแล้ว นางก็ถอดเสื้อของเขาออกเพื่อดูว่าไม่มีบาดแผลอื่นตามตัว
นางก้มหน้าตรวจสอบร่างกายของเขาอย่างละเอียด โดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่า นิ้วมือของคนที่ไม่ได้สติเริ่มขยับ และร่างกายของเขาก็แข็งเกร็งขึ้น
เขาดิ้นรนเพื่อที่จะฟื้นขึ้นมา แต่เขากลับไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้
สำหรับสือชิงลั่ว นางไม่ได้มีความคิดอย่างอื่นอยู่ในหัวเลย แต่กับอีกคนนั้นไม่ใช่...