MDB ตอนที่ 220 ผู้เชี่ยวชาญมาถึงแล้ว
‘ซื้อวานรยักษ์ขาว?’
หลินจินเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
อสุรกายในร่างมนุษย์นี้คงสังเกตเห็นร่างที่แท้จริงของเจ้าลิงขาว เนื่องจากพวกเขาเป็นอสุรกายทั้งคู่ พวกเขาควรจะสามารถรับรู้กันและกันได้ อีกฝ่ายจึงเลือกที่จะพูดกับเจ้าลิงขาวอย่างลับ ๆ
แต่ที่น่าแปลกใจคือ เจ้าลิงขาวยังไม่ได้เรียนรู้ทักษะการสื่อสารเลย
ผู้ชายคนนี้อาจพยายามซื้อเจ้าลิงขาวเพื่อพยายามช่วยเหลือเผ่าพันธุ์ของมัน
หลินจินตัดสินใจสะบัดเข็มลวดขดของเขาออกมาอย่างเงียบเชียบ เมื่อเข็มประทบกับเป้าหมาย ความสงสัยของเขาก็ได้รับการยืนยัน
เขาเป็นอสุรกายที่สามารถแปลงร่างได้ เขายังเป็นปีศาจวานรอีกด้วย
ไม่น่าแปลกใจเลยที่ร่างของเขาจะผอมเพรียวและทำไมเขาถึงมีขนตามร่างกายมากถึงเพียงนี้
แม้จะแปลงร่างแล้ว คุณลักษณะบางอย่างก็ยังหลงเหลืออยู่
อย่างไรก็ตาม หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียด หลินจินก็สังเกตเห็นว่าอสุรกายมีบางอย่างพันรอบเอวของเขา หากสมมติฐานของเขาถูกต้อง มันต้องเป็นหางของเขา ดูเหมือนว่าการแปลงร่างของเขาจะมีข้อบกพร่องหรือเขายังไม่เชี่ยวชาญทักษะอย่างสมบูรณ์
เมื่อเห็นว่าหลินจินไม่คิดจะขายวานรยักษ์ขาว ดังนั้นเขาจึงส่ายหัว ขณะที่หลินจินกำลังจะถามคำถามเพิ่มเติม ดูเหมือนว่าปีศาจวานรจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างและเดินจากไป จากนั้นก็หายตัวไปในกระแสของฝูงชน
ในไม่ช้า หลู่ปิ่นก็ปรากฏตัวขึ้น
“ผู้ประเมินหลิน ท่านจะไปที่ใด? ข้าออกตามหาตัวท่านไปทุกที่เลย!”
หลินจินหกล่าวขอโทษอีกฝ่ายทันที เขาไม่ได้บอกหลู่ปินเกี่ยวกับปีศาจวานรและตัดสินใจว่าเขาจะเก็บเรื่องนี้ไว้ก่อน
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าทางการจะไม่ทราบถึงตัวตนของอสุรกายเหล่านี้ หรือปีศาจวานรได้หลบหนีไปไกลแล้ว
เนื่องจากเขาต้องอยู่ในเมืองหลวงชั่วขณะหนึ่ง เขาจึงไม่ต้องรีบร้อน เขาสามารถใช้เวลาในการตรวจสอบเรื่องนี้ในภายหลังได้
หลู่ปิ่นแจ้งเขาว่าเขาสามารถพบผู้ป่วยได้แล้ว
เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว หลู่ปิ่นก็พาหลินจินมาในที่เงียบ ๆ เขาได้อธิบายว่าเจ้านายของเขาคือเจ้าหญิงคนที่หกของอาณาจักรมังกรหยก เหอหยู่
หลินจินพยักหน้าอย่างเรียบ ๆ
นามสกุลของเธอคือ 'เหอ' ซึ่งตรงกับสิ่งที่หลินจินสงสัย
หลู่ปิ่นไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับคำสาปของเหอหยู่มากนัก เขาแค่บอกหลินจินว่ามันเป็นคำสาปที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน
หลินจินไม่เข้าใจเรื่องนี้ ดังนั้นหลู่ปิ่นจึงเริ่มอธิบายอย่างละเอียด
จากนั้น เขาก็พบว่ามันคำสาปจึงมีมาห้าชั่วอายุคนแล้ว ซึ่งส่งต่อ ๆ ภายในเชื้อพระวงศ์ของราชวงศ์มังกรหยก
ประมาณ 50 ปีที่แล้ว เจ้าหญิงองค์หนึ่งได้รับคำสาปนี้และไม่สามารถมีชีวิตรอดผ่านพิธีการบรรลุนิติภาวะของพระองค์ จากนั้นคำสาปก็ปรากฏแก่เจ้าหญิงอีกองค์หนึ่งในราชวงศ์และเจ้าหญิงต้องทนทุกข์ทรมานพระวรกายจนกระทั่งพระองค์สิ้นพระชนม์ไป
คราวนี้คำสาปได้ปรากฏบนองค์หญิงเหอหยู่
เห็นได้ชัดว่าคำสาปนี้ร้ายแรงเพียงใด เนื่องจากราชวงศ์มีอำนาจควบคุมทรัพยากรของประเทศ จึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะรวบรวมสมุนไพร ยารักษาโรคหรือหาหมอที่เก่งกาจ
และหลังจากผ่านไปหลายชั่วอายุคน ไม่มีเจ้าหญิงผู้ต้องคำสาปแห่งราชวงศ์พระองค์ใดรอดชีวิต ชัดเจนว่าแม้แต่ทางราชวงศ์ก็ยังไม่สามารถหาทางรักษาได้ แม้ว่าพวกเขาจะมีทรัพยากรมากน้อยเพียงใดก็ตาม
หลินจินตระหนักถึงรายละเอียดที่สำคัญจากคำอธิบายของหลู่ปิ่น เขาจึงถามขึ้นมาว่า
“พิธีบรรลุนิติภาวะขององค์หญิงเหอหยู่ จะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่?”
หลู่ปิ่นพยักหน้า “ในอีก 10 วัน!”
"อืม..."
หลินจินไม่ถามอะไรเพิ่มเติม เขาไม่น่าแปลกใจเลยที่ก่อนหน้านี้หลู่ปิ่นดูรีบร้อนมาก เพราะว่ามันใกล้จะหมดเวลาแล้ว
โดยที่หลินจินไม่ได้ถาม หลู่ปิ่นก็พูดขึ้นมาว่า “แต่เราโชคดีที่มีสูตรยาที่ท่านให้มา ถ้าไม่ใช่เพราะผลลัพธ์อันน่าทึ่งของเม็ดยาเมฆาเหนือวารี เจ้านายของข้าคงจะต้องล้มป่วยและรอความตายเหมือนเช่นองค์หญิงคนก่อน ๆ ไปนานแล้ว”
เม็ดยาเมฆาเหนือวารีนั้นช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ และประสิทธิภาพในการขับไล่คำสาปก็โดดเด่นไม่แพ้กัน อย่างไรก็ตาม แม้องค์หญิงจะเสวยเม็ดยาไปแล้ว แต่ก็ยังไม่หายดี สิ่งนี้ยังพิสูจน์ได้ว่าคำสาปขององค์หญิงเหอหยู่นั้นแข็งแกร่งมากเพียงใด
แต่เนื่องจากพิพิธภัณฑ์มีทางแก้ไข มันจึงไม่มีอะไรต้องกลัว
สีหน้าของหลินจินยังคงสงบตามเดิม ตลอดเวลาที่เขารับฟังอธิบายคำสาปที่น่าสยดสยองนี้ หลู่ปิ่นลอบสังเกตปฏิกิริยาของหลินจินอยู่ตลอด เมื่อเห็นว่าฝ่ายหลังไม่สะทกสะท้าน หลู่ปิ่นจึงสันนิษฐานว่าเขามีความมั่นใจในทักษะของเขาอย่างสมบูรณ์ หรือเขาไม่กลัวเพราะเขายังไม่ได้เห็นมัน
เขาจึงมีความหวังมากขึ้น หลู่ปิ่นได้เห็นสิ่งที่หลินจินสามารถทำได้ ยิ่งไปกว่านั้น เย่หยู่โจวยังบรรยายภัณฑารักษ์ว่าเป็นไร้เทียมทานเพียงใด ราวกับไม่มีอะไรที่เขาไม่สามารถบรรลุได้ในโลกนี้
ดังนั้นหากหลินจินไม่สามารถจัดการได้ เขาอาจจะขอความช่วยเหลือจากภัณฑารักษ์
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร แต่ตราบใดที่สามารถช่วยองค์หญิงเหอหยู่ได้ เขาก็พร้อมจะแลกทุกอย่าง
ถึงตอนนี้พวกเขาก็มาถึงประตูวังแล้ว
วังมังกรหยกซึ่งสร้างขึ้นเมื่อกว่า 400 ปีที่แล้ว มีกลิ่นอายอันน่าเกรงขาม เหนือกำแพงสูงตระหง่าน อาจมีศาลาสูงอยู่ข้างใน ทหารยามมีชุดเกราะโลหะและอาวุธยุทโธปกรณ์ครบครัน คนขี้ขลาดจะตกใจกลัวได้ง่ายด้วยรูปลักษณ์อันน่าหวั่นเกรง
แต่เมื่อทหารยามเหล่านี้เห็นหลู่ปิ่น พวกเขาก็ปล่อยให้เขาผ่านไปอย่างสุภาพโดยไม่ถามอะไร
แต่ถึงคราวหลินจิน เขากลับได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างอย่างชัดเจน
“ท่านแม่ทัพลู่ เขาคือ…” หัวหน้าองครักษ์ในวังสังเกตเห็นว่าหลู่ปิ่นกำลังพาใครบางคนเข้ามา ดังนั้นเขาเอ่ยปากถามขึ้นมา
หลู่ปิ่นมองอย่างเย้ยหยันก่อนพูดว่า “นี่คือหมอที่ข้าเชิญมารักษาองค์หญิงหก”
“เขาเป็นหมอนี่เอง ถ้าอย่างนั้นช่วยเขียนชื่อของท่านลงตรงนี้ด้วย!” หัวหน้าองครักษ์ยื่นสมุดโน้ตให้พวกเขา บุคคลภายนอกจะต้องลงชื่อตัวเองก่อนเข้าวัง
นี่เป็นกฎและหลู่ปิ่นก็รู้เรื่องนี้ดี เขามองหลินจินชำเลืองมองและอธิบายว่า “ผู้ประเมินหลิน ตอนนี้เราอยู่ในเขตพระราชวัง มันค่อนข้างลำบากนิดหน่อย แต่ได้โปรดช่วยลงชื่อของท่านไว้เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่สร้างปัญหาให้กับท่านในอนาคต”
หลินจินพยักหน้า “ได้สิ เรื่องแค่นี้เอง”
เขาหยิบพู่กันขึ้นมาและเขียนชื่อลงไป
จากนั้นเขาก็ตามหลู่ปิ่นเข้าไปในวัง
ภายในวังเหมือนเป็นเมือง ๆ หนึ่ง บางคนเรียกมันว่า 'เมืองชั้นใน' เมื่อเทียบกับความเร่งรีบและคึกคักด้านนอก ที่นี่เงียบกว่ามาก เหล่าสาวใช้ในวังหรือองครักษ์ที่พวกเขาพบมักจะรีบวิ่งไปที่ไหนสักแห่ง พวกเขาเหยียบอย่างระมัดระวังโดยไม่ส่งเสียงดัง
บรรยากาศนี้สมกับเป็นพระราชวังอย่างแท้จริง
ท้ายที่สุด นี่คือที่พักนักของจักรพรรดิ มันจึงมีกฎมากมายที่นี่
หลินจินนึกย้อนถึงเหอฉิงโดยไม่รู้ตัว ที่เธอเป็นเด็กสาวช่างพูดก็เพราะเธอต้องฝืนใจอยู่ในที่แบบนี้งั้นเหรอ?
แต่นั่นไม่ถูกต้อง เหอหยู่ที่แต่งตัวเป็นผู้ชาย เธอเป็นคนเงียบและเย็นชาราวกับภูเขาน้ำแข็ง
หลินจินตบหน้าผากของตัวเองและรำพึงในใจ ‘ใช่แล้ว ฉันลืมไปเลย เหอหยู่รู้ว่าเธอถูกสาป ดังนั้นอาการของเธอจึงเทียบได้กับผู้ป่วยมะเร็ง เนื่องจากเธอรู้อยู่แล้วว่าเธอจะตายเมื่อไร เธอจะมีชีวิตชีวาเหมือนเหอฉิงได้อย่างไร?’
“เฮ้อ ช่างน่าสงสารเสียนี่กระไร!” หลินจินพึมพำกับตัวเอง
ทันใดนั้น หลู่ปิ่นที่อยู่ข้างหน้าได้กล่าวว่า "ผู้ประเมินหลิน เรามาถึงแล้ว"
‘นี่มัน!’
หลินจินมองขึ้นไปเห็นบริเวณที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสั้นพร้อมสนามหญ้าและอาคารด้านใน นี่ต้องเป็นตำหนักของเจ้าหญิงหก เหอหยู่
หลู่ปิ่นมักจะแวะมาที่นี่บ่อย ๆ ดังนั้นทหารยามไม่ได้หยุดเขาขณะที่เขาเข้าไป เหล่าสาวใช้ในวังที่ผ่านไปมาต่างก็มาทักทายและเรียกเขาว่าท่านแม่ทัพหลู่
หลังจากลานบ้าน พวกเขาเข้าไปในห้องโถงใหญ่ เมื่อเข้าไปข้างใน นอกเหนือจากการได้กลิ่นหอมแล้ว หลินจินก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย
“พี่หยู่ ทำไมท่านพี่ถึงไม่เชื่อข้า? ข้าบอกท่านพี่ว่าจะมีคนมาที่นี่เพื่อมารักษาและทำลายคำสาปที่ชั่วร้ายไปจากท่านพี่ ท่านพี่เพียงแค่ต้องพักผ่อน กินและดื่มเหมือนปกติ ท่านพี่ไม่ควรปล่อยให้จิตใจของท่านพี่ตรอมตมแบบนี้”
หลินจินจำเสียงนี้ได้ทันทีว่าเป็นของเหอฉิง
จากนั้นเสียงผู้หญิงที่อ่อนแออีกคนหนึ่งตอบว่า “ฉิงเอ๋อร์ เจ้าควรอ่านหนังสือมากขึ้นและเพิ่มพูนความรู้ของเจ้าจะดีกว่า มิฉะนั้นข้าจะไม่สามารถพักผ่อนได้อย่างสงบสุข”
"พี่หยู่ ท่านพี่กำลังพูดเรื่องอะไร โอ้! ข้ารู้แล้ว ท่านพี่ไม่เชื่อข้าใช่ไหม? ท่านพี่คงคิดว่าข้าพูดเรื่องเหลวไหลใช่มั้ย?”
“ไม่ ไม่ ไม่”ฉิงเอ๋อร์ เจ้าคิดมากเกินไปที่นี่ ลืมมันไปเถอะ ข้าจะรอผู้เชี่ยวชาญที่เจ้าพูดถึง”
“ผู้เชี่ยวชาญที่กำลังมาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทั่ว ๆ ไป ท่านพี่ต้องหายอย่างแน่นอน จริงสิ ทำไมช่วงนี้ ข้าไม่เห็นลุงหลู่เลย?”
“ลุงหลู่ออกไปทำธุระบางอย่าง เขาควรจะกลับมาในเร็ว ๆ นี้”
พวกเธออาจได้ยินเสียงฝีเท้าของหลู่ปิ่น เมื่อการสนทนาหยุดลง พวกเธอก็หันมามองทางต้นเสียง
หลู่ปิ่นให้หลินจินรออยู่ที่ห้องโถงด้านหน้าก่อนจะเข้าไปข้างในคนเดียว