บทที่ 18 ทดสอบโถงประลอง
ซุนม่อไม่ชอบผู้คนพลุกพล่านดังนั้นเขามักจะตื่นเช้าหน่อยเพื่อจะได้รับประทานอาหารเช้าก่อนชั่วโมงเร่งด่วนในตอนเช้าในโรงอาหาร
“ข้าจะเอาเกี๊ยวนึ่งและโจ๊กหนึ่งห่อสำหรับซื้อกลับที่พักไม่เอาผักดองเค็ม”
ซุนม่อคำนวณเงินออมในกระเป๋าของเขาแม้ว่าการกินเนื้อสัตว์ในตอนเช้าจะไม่ดีต่อสุขภาพ แต่เกี๊ยวนึ่งในโรงอาหารก็อร่อยมาก
หลังจากออกจากอาคารหอพักแล้วเลี้ยวไปทางสนามกีฬาจะเห็นมีครูฝึกสอนหลายคนออกกำลังกายตอนเช้าเสร็จและกำลังเดินกลับ
เพราะพวกเขาเป็นคู่แข่งกันพวกเขาแทบจะไม่ทักทายกัน แค่เพียงชำเลืองตาหรือไม่ก็เพิกเฉย
“อาจารย์ซุน!”
ซุนม่อได้ยินใครบางคนพูดกับเขาอย่างให้เกียรติและเขาก็อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ เมื่อเขาเหลือบมองไปทางเสียง เขาเห็นเด็กสาวผู้งดงามยืนอยู่ใต้ต้นเมเปิลที่ด้านข้าง
“อ๋อเจ้าเองเหรอ?”
ซุนม่อรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเด็กสาวสวมเสื้อผ้าผู้ชายที่เหมาะกับนาง อย่างไรก็ตาม ผิวที่ขาวเนียนของนางรูปลักษณ์ที่ดูอ่อนโยนของนาง รูปร่างเพรียวบางของนาง… ทุกคนสามารถบอกได้ว่านางเป็นสตรีแม้เพียงด้วยการชำเลืองมอง
สตรีคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลี่จื่อฉี คนที่ต้องการช่วยเขาแต่จบลงด้วยการจมน้ำตาย ระบบยังได้ออกภารกิจต้องการให้ซุนม่อยอมรับนางเป็นศิษย์ของเขา
“อาจารย์ซุน!”
หลี่จื่อฉียิ้มหวาน ดวงตาของนางซึ่งมีเฉดสีขาวและดำตัดกันอย่างชัดเจนและโค้งงอเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวสองดวงในทันทีอย่างไรก็ตาม ขณะที่นางวิ่งเหยาะๆ เท้าของนางก็สะดุดกับกระเบื้องปูพื้นหลังจากก้าวเท้าไม่กี่ก้าว
ป้าบ!
หลี่จื่อฉีนอนเหยียดยาวขณะที่นางล้มลงและกระแทกเข้ากับแผ่นหินปูน
“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?”
ซุนม่อรู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก เขารีบเข้าไปช่วยนาง แต่ไม่นานเขาก็หยุดหลี่จื่อฉี ใช้แขนกุมศีรษะของนางโดยตรงและม้วนตัวเกลม
“แง้...ข้าเสียหน้าอีกแล้ว ทำไมข้าซุ่มซ่ามจัง”
หลี่จื่อฉีต้องการแทรกแผ่นดินหนีในนั้นจริงๆ
“เพราะความใจดีของเจ้า มดตัวนี้จึงรอดชีวิตสามารถชื่นชมทัศนียภาพของโลกนี้ต่อไปได้”
ซุนม่อไม่ได้ไปช่วยนาง แต่เขานั่งยองๆอยู่ด้านข้างและจ้องมองที่มดที่ผ่านไปมา
“เอ๊ะ?”
หลี่จื่อฉีตกตะลึง
“เจ้าเป็นสตรีที่จิตใจดีงามจริงๆ!”
ซุนม่อยิ้ม เขาหยิบมดตัวนั้นขึ้นมาและแสดงให้นางดู
“เอ๋?”
หลี่จื่อฉียังคงมึนงง แต่ในไม่ช้านางก็เข้าใจซุนม่อคิดว่านางตั้งใจล้มลงเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เหยียบมด นางเปลี่ยนจากสาวซุ่มซ่ามเป็นสาวใจดีในทันทีหลังจากจัดการเพื่อรักษาใบหน้าของนาง ในหัวใจของหลี่จื่อฉีก็เบ่งบานไปด้วยความสุข
“ไม่เคยมีใครทำกับข้าแบบนี้!”
หลี่จื่อฉีรู้สึกแปลกใจมาก ในอดีตเมื่อนางล้มลง คนรับใช้ผู้คุ้มกันและป้าของนางจะตกใจอย่างมากและรีบเข้าไปปลอบนางแต่วันนี้นี่เป็นครั้งแรกที่นางมีประสบการณ์ที่แตกต่างออกไป
เมื่อพูดคำนี้นางก็ไม่รู้สึกถึงความอับอายที่นางเคยรู้สึกในอดีตนางกลับรู้สึกสนุกสนานขึ้นมาบ้างแทน
"กินข้าวหรือยัง?”
ซุนม่อวางมดลงและส่งผ้าเช็ดหน้าให้
“ใช่ ข้ากินมาแล้ว”
หลี่จื่อฉีหยิบผ้าเช็ดหน้าก็ชะงักเล็กน้อยจากนั้นนางก็รู้ว่าบริเวณเหนือปากของนางเปียกเห็นได้ชัดว่าผิวของจมูกของนางถลอกเล็กน้อยและมีเลือดไหลออกมา นางรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเลือด
"เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
ซุนม่อไม่ได้หลงตัวเองมากพอจนเชื่อว่านางมาที่นี่เพื่อตามหาเขา
“การประชุมคัดเลือกนักเรียนจะเริ่มขึ้นในอีกสามวันข้างหน้าและวันนี้มีการทดสอบโถงประลอง ดังนั้นข้าจึงล่วงหน้ามาก่อนเพื่อสำรวจดู”
หลี่จื่อฉี เหลือบมองไปที่เลือดบนผ้าเช็ดหน้าและนางก็หน้าแดง“ข้าจะคืนให้ท่านหลังจากซักทำความสะอาดแล้ว!”
…
โถงประลองของสถาบันจงโจวค่อนข้างมีชื่อเสียงในเมืองจินหลิงนักเรียนในนั้นล้วนเป็นยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญในการต่อสู้
หากมีนักเรียนที่ต้องการจะประสบความสำเร็จในการใช้วิทยายุทธ์ก็ไม่ผิดหากพวกเขาเลือกที่จะเข้าร่วมที่นี่
“คนเยอะมาก!”
หลี่จื่อฉีเห็นนักเรียนจำนวนมากรวมตัวกันอยู่นอกหอโถง นางพูดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ “พวกเขาทั้งหมดเป็นผู้ท้าชิงใช่ไหม?”
"ใช่!"
ซุนม่อกำลังค้นหาภาพเงาของชีเซิ่งเจี่ยนักเรียนเหล่านี้บางคนกำลังสวดอ้อนวอน บางคนใช้เวลาอุ่นเครื่องบางคนมีใบหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจ และบางคนก็สนทนาอย่างเฉยเมยกับคนข้างๆ
ชื่อเสียงของโถงประลองนั้นยิ่งใหญ่โด่งดังเหลือเกินดังนั้นสำหรับการสอบเข้าที่จัดขึ้นทุกๆ สามเดือน จำนวนผู้เข้าร่วมจะเต็มไปหมด ความจริงมีบางสถานการณ์ที่สมาชิกบางคนในโถงประลองต้องต่อสู้สามหรือสี่ครั้งในหนึ่งวันเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ดังกล่าว หัวหน้าห้องโถงของโถงประลองจึงตั้งกฎขึ้นและนั่นคือถ้าผู้ท้าชิงล้มเหลวในการท้าทายของเขาเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกคำท้าอื่นสำหรับการทดสอบครั้งต่อไปเขาต้องรอครึ่งปีหลังจากนั้น
นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของชีเซิ่งเจี่ย แม้ว่าพ่อของเขาจะไม่บ่นเรื่องค่าธรรมเนียมแต่ชีเซิ่งเจี่ยจะลาออกจากสถาบันฯ หากเขาเข้าร่วมเป็นสมาชิกโถงประลองไม่ได้ในครั้งนี้
ค่าเล่าเรียนแพงเกินไป ถ้าเขาไม่ดีขึ้นเขาก็จะไม่มีหน้าที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป เมื่อถึงแปดนาฬิกา เสียงกลองก็ดังขึ้น
ต้ง! ต้ง! ต้ง!
นักเรียนทั้งหมดรวมตัวกันก่อนที่โถงประลองจะตกอยู่ในความเงียบพวกเขาเอียงศีรษะและจ้องไปที่ทางเข้า
บุรุษหนุ่มที่มีความสูงเกือบสองเมตรยืนอยู่ตรงนั้น ร่างของเขาเหมือนเจดีย์เหล็กและประกาศด้วยเสียงที่สดใสและชัดเจน
“ผู้ท้าชิงทุกคน เข้าแถวก่อนที่ทางเข้า หลังจากนั้นจะดำเนินการจับสลากพวกเจ้าจะเข้าร่วมการแข่งขันตามหมายเลขที่พวกเจ้าจับได้ หากเจ้าพลาดหมายเลขของเจ้าเมื่อถูกขานเรียกจะถือว่าเจ้าตัดสินใจยอมแพ้”
หลังจากนั้นเหล่านักเรียนพุ่งแย่งกันขึ้นมาข้างหน้าทันทีราวกับฝูงผึ้ง เมื่อได้ยินดังนั้นพวกเขาทั้งหมดต้องการที่จะคว้าตำแหน่งที่ดี
"เงียบ! ใครก็ตามที่ยังคงเบียดกระแทกและสร้างความโกลาหลจะถูกยกเลิกคุณสมบัติในการท้าทาย”
บุรุษหนุ่มด่าว่า เสียงของเขาไม่ดังแต่เหมือนเสียงฟ้าร้องกรอกหูของทุกคน
นักเรียนเข้าแถวอย่างเชื่อฟังทันที คนที่พูดคือ จูถิ่งจัดอยู่ในอันดับที่ 5 ในสมาชิกโถงประลอง เขาเป็นคนเป็นกลางอย่างยิ่งและปฏิบัติตามกฎของโรงเรียนอย่างเคร่งครัดเนื่องจากเขาพูดคำเช่นว่าตัดคุณสมบัติท้าทาย มันหมายความว่าเขาจะทำอย่างนั้นจริงๆ
ทุกคนไม่ต้องการที่จะสูญเสียคุณสมบัติของตนเองเพียงแค่คว้าตำแหน่งที่ดีนั่นจะเป็นเรื่องน่าเศร้าเกินไป
เมื่อทุกคนจัดแถวเรียบร้อย ประสิทธิภาพก็เร็วขึ้นมาก นักเรียนเดินไปที่กล่องเหล็กขนาดใหญ่แล้วยื่นมือล้วงจับสลาก
“ขอสวรรค์ประทานพรแก่ข้า!”
ทันทีที่นักเรียนตะโกนเสร็จจูถิ่งก็ถ่มน้ำลายสาปส่ง
“สวรรค์จะไม่อวยพรเจ้า การฝึกปรืออย่างหนักของพวกเจ้าเองเป็นสิ่งเดียวที่พวกเจ้าสามารถพึ่งพาได้ถ้าพวกเจ้าไม่มั่นใจ ให้รีบไปเสียเดี๋ยวนี้ อย่าเสียเวลาของทุกคน”
จูถิ่งกล่าวต่อ “นอกจากนี้ สำหรับพวกเจ้าที่เหลือ ข้าอยากให้พวกเจ้าเคลื่อนไหวให้เร็วขึ้นพวกเจ้าคิดว่ากล่องเป็นอิสตรีหรือ? ทำไมพวกเจ้าแช่มือข้างในนานอย่างนี้”
คำพูดของจูถิ่งตลก แต่ไม่มีนักเรียนคนไหนกล้าหัวเราะ
ทุกคนไม่กล้าที่จะชักช้าอีกต่อไปรีบดึงสลากออกจากกล่องอันที่จริงพวกเขาไม่มีเวลาดูเลขในป้ายสลากของพวกเขาด้วยซ้ำและรีบจากไปเพื่อให้มีที่ว่างสำหรับผู้เข้าร่วมรายต่อไป
“พรุ่งนี้ที่เหลือค่อยจับฉลากต่อ!”
เมื่อนักเรียน 500 คนจับฉลากเสร็จแล้ว จูถิ่งก็หยุดนักเรียนคนต่อไปทันที เพราะจำนวนสลากยังคงอยู่ที่ 500
“ไปเตรียมตัวของพวกเจ้าก่อน การท้าประลองจะเริ่มในอีกสิบนาทีต่อจากนั้น!”
หลังจากที่จูถิ่งพูด เขาถือกล่องโลหะที่มีน้ำหนักมากกว่า 50 กก. ด้วยมือเดียว จากนั้นก็กลับเข้าไปในห้องโถงประลอง
"จบกัน!"
หลังจากที่ภาพเงาร่างของจูถิ่งหายไปนักเรียนคนหนึ่งก็โยนสลากไม้ในมือลงบนพื้นและคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดอย่างไม่อายใคร
ผู้คนที่อยู่ข้างๆ เขาเหลือบมองที่สลากไม้และแสดงความเห็นอกเห็นใจในทันที
บนแผ่นไม้ขนาดเท่าหัวแม่มือ มีตัวอักษรสามตัว '1 ฟางเหยียน’
ฟางเหยียนเป็นนักเรียนปี 7 เขาคือนักสู้อันดับ 1 ของโถงประลองที่สาธารณชนยอมรับและนักเรียนที่โชคร้ายคนนี้จับสลากชื่อของเขาจากนักเรียน 500 คนโชคของเขาแย่มากจนไม่มีใครจะแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว
อย่างไรก็ตามไม่ใช่เขาคนเดียวที่คร่ำครวญและถอนหายใจบรรดาผู้ที่จับสลากได้ประลองกับนักสู้ 100 อันดับแรกดูราวกับว่าพวกเขากำลังเข้าร่วมงานศพ
สลากไม้ที่ใช้จับคือบัตรสมาชิกโถงประลองนอกจากชื่อแล้วเลขข้างหน้าคืออันดับนักสู้ของนักเรียนที่ประจำในหอประลอง
นอกจากนี้ยังมีการแข่งขันต่างๆในหอประลองกันเอง ตามผลการแข่งขัน การจัดอันดับจะปรับปรุงทุกๆ หกเดือน
ซุนม่อไม่เสียเวลามากนัก ในไม่ช้าก็พบชีเซิ่งเจี่ย ชีเซิ่งเจี่ยนั่งอยู่บนบันไดและจ้องมองไปที่พื้นอย่างเฉยเมยดวงตาของเขาแดง เห็นได้ชัดว่าเขาเพิ่งผ่านการร้องไห้
“จับสลากโชคไม่ดี?”
เมื่อเห็นสถานะของชีเซิ่งเจี่ย ซุนม่อก็เดาคำตอบได้แล้ว
“คู่ต่อสู้ของเขาคือเผิงว่านลี่”
โจวชี่ส่งสลากไม้ไป แต่ซุ่นม่อไม่ได้หยิบขึ้นมาเขาเห็นเลข 106 อยู่บนนั้นแล้ว
“ทุกคนสามารถเห็นความเพียรพยายามอย่างหนักของเจ้าหากเจ้ายังคงฝึกซ้อมต่อไป ครึ่งปีหลัง เจ้าต้องเอาชนะคนที่อยู่ในอันดับที่ 100 ได้แน่”
หวังฮ่าวปลอบโยน แต่ตัวเขาเองก็ไม่เชื่อในคำพูดของตัวเอง
ในช่วงสองสามวันนี้ ชีเซิ่งเจี่ยเต็มไปด้วยความมั่นใจและเขาก็กลายเป็นช่างพูดมากขึ้นเขาที่ขี้อายมาโดยตลอด ยังสามารถพูดคำเหมือนเขาจะผ่านการทดสอบได้อย่างแน่นอนแต่หลังจากจับฉลากแล้ว มันก็เหมือนกับว่าพลังงานและจิตวิญญาณของเขาถูกสูบแห้งหมดไป
"อาจารย์!"
เมื่อเขาเห็นซุนม่อ ชีเซิ่งเจี่ยทักทายเขาด้วยน้ำเสียงที่โศกเศร้าสร้อยราวกับนกกาเหว่าร้องไห้เป็นจนน้ำตาเป็นสายเลือด
“เฮ้! นักเรียนคนนี้ ชีเซิ่งเจี่ย ไม่ใช่เหรอ? เมื่อเจ้าประกาศต่อสาธารณชนว่าเจ้าจะต้องผ่านการทดสอบหอประลองการแสดงออกของเจ้า มันไม่ควรเป็นแบบนี้”
เหยียนลี่มาเป็นพิเศษเพื่อดูชีเซิ่งเจี่ยพ่ายแพ้เพื่อที่เขาจะได้เยาะเย้ยในภายหลังอย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้คาดหวังว่าโชคของชีเซิ่งเจี่ยจะแย่ขนาดนี้ไม่จำเป็นต้องมีความท้าทายและเกือบจะแน่ใจว่าเขาจะแพ้
“ให้ข้าดูว่าใครคือคู่ต่อสู้ของเจ้า”
เหยียนลี่ตื่นเต้น “เผิงว่านลี่? ฮะฮะ เจ้าผู้นี้เป็นรุ่นเดียวกับเราแต่เขาอยู่ที่ระดับ 6 ของขอบเขตการปรับสภาพร่างกาย ฝ่ามือ 18 อรหันต์ของเขามีชื่อเสียงมากเจ้าอยู่ระดับ 3 ของการปรับสภาพร่างกายเท่านั้นเจ้าจะเอาชนะได้อย่างไร?”
“เซิ่งเจี่ยอยู่ที่ระดับ 4”
หวังฮ่าวกลอกตา
“ระดับ 4? เจ้าเพิ่งระดับใหม่เมื่อเร็วๆ นี้?”
เหยียนลี่รู้สึกประหลาดใจ ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็สบถด่าด้วยเสียงต่ำแม้ว่าเหยียนลี่จะอยู่ที่ระดับ 5 และชีเซิ่งเจี่ยยังอ่อนแอกว่าอยู่หนึ่งระดับแต่เขารู้สึกไม่มีความสุขเมื่อเห็นคนที่เขาไม่ชอบจะทะลวงผ่านระดับใหม่
“เสร็จหรือยัง? รีบออกไปเลย!” โจวชี่ขมวดคิ้ว
“ข้าแค่เตือนเขาด้วยความปรารถนาดี อย่าถูกทุบตีจนตายเสียเล่า?อย่าว่าแต่ระดับ 4 แม้ว่าเขาจะอยู่ที่ระดับ 6 เขาก็ไม่สามารถเอาชนะเผิงว่านลี่ได้”
เหยียนลี่หัวเราะคิกคักขณะที่เขาจากไป ในที่สุดผียาจกผู้น่าสงสารที่น่ารังเกียจนี้ก็กำลังจะออกจากโรงเรียนมันยอดมาก คืนนี้เขาต้องออกไปสนุกกับงานฉลองอย่างแน่นอน
"มันจบแล้ว"
ชีเซิ่งเจี่ยยืนขึ้นและเดินไปอย่างช้าๆเห็นได้ชัดว่าเขาต้องการที่จะยอมแพ้
หวังฮ่าวและโจวชี่ไม่รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้ถ้าเขาเข้าสู่การต่อสู้ ไม่รู้ว่าอาการบาดเจ็บของเขาจะหนักหรือเบาหากอาการบาดเจ็บของเขาหนัก เขาจะต้องเสียค่ารักษาพยาบาลที่แพงมาก
ซุนม่อขมวดคิ้วแน่น
“ข้าไม่ควรมีความหวังใดๆ มากเกินไป … ฮืออออ!”
ชีเซิ่งเจี่ย ยกมือขึ้นเพื่อเช็ดน้ำตาในขณะที่เขาร้องไห้อย่างเศร้าโศก
ซุนม่อสำรวจดูชีเซิ่งเจี่ย เขาเห็นว่าศักยภาพของชีเซิ่งเจี่ยยังต่ำมากเรื่องแบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันด้วยเหตุผลเช่น 'ความเห็นอกเห็นใจ'หรือ 'เจ้าเป็นคนดี'
“ระบบ! เปิดร้านค้า!”
ขณะที่ซุนม่อคิดเงียบๆชั้นวางสินค้าก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา
รายการที่นี่มีน้อยอย่างน่าสมเพช ซุนม่อชำเลืองมองทุกอย่างและด้วยสายตาของเขาก็ไปหยุดที่หีบสมบัติที่มุมล่างซ้ายของชั้นวางสินค้า
“‘หีบสมบัตินำโชค’ มีมูลค่า 10 คะแนนความประทับใจมีโอกาส 0.1% ที่ท่านจะสามารถกวาดเคล็ดวิชา ของวิเศษ หรือศิลปะการฝึกปรือ ฯลฯ ได้”
ขณะที่เขาดูบันทึกเกี่ยวกับหีบสมบัตินำโชค ซุนม่อตัดสินใจเดิมพัน